หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

Forrest Gump หนังสำหรับคนที่กำลังท้อแท้สิ้นหวังในชีวิต

โพสท์โดย พระเจ้าอา เล่าปี่

 

เราคงเคยได้รับการพร่ำสอนบอกกล่าวจากใครสักคนที่อาวุโสกว่าเรา ที่เขาอาจพูดกับเราว่า "มนุษย์ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ประเสริฐที่สุดในหมู่มวลสัตว์โลก" มาบ้าง

และเราก็คงเคยได้รับการกล่อมเกลี้ยจากใครสักคน พูดว่าเราคือ "ผู้ที่อยู่เหนือทุกสิ่งบนโลกนี้" ..และปลูกฝังให้เราเชื่อว่า เราคือ สัตว์ที่อัจฉริยะกว่าทุกสิ่งมีชีวิต ก็เพราะเราได้พัฒนาตัวเองมาถึงขั้นสูงสุดไปเรียบร้อย ตั้งแต่หลายพันปีก่อนมาแล้ว 

แต่ในหมู่มวลของสิ่งมีชีวิตที่พระเจ้าสร้างมาหมดทั้งโลกใบนี้นั้น ..มันช่างน่าขันยิ่งนัก เมื่อเราได้รู้และเห็นว่า ตัวของเราที่เป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ ก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอที่สุดในโลกใบนี้ไปพร้อมๆกันด้วย

ในแง่ของทางกาย มนุษย๋ย่อมถือว่ามีสรีระที่ดูสวย สามารถจะทำอะไรได้คล่องตัวกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นใด ...แต่ในแง่ของจิตใจ ที่ถูกพัฒนามาให้คิดเองได้เป็น ทำเองได้เป็น และที่สำคัญคือ มีความรู้สึกที่ลึกล้ำยิ่งกว่าใคร ..แทนที่จะทำให้เราแข็งแรง และทรงพลัง เหนือผู้ใด กลับกลายเป็นว่า เราสามารถพ่ายแพ้ทุกสิ่งทุกอย่างได้โดยง่าย เพียงถ้าใจต่อต้านต่อแรงกระทบกระเทือนใดๆไม่ไหว

แล้วยิ่งถ้ามนุษย์บางคนเกิดมาแล้ว กลับมีอะไรไม่ปกติเหมือนใครคนอื่นเขาด้วยอีก ...มันคงเป็นเรื่องที่ง่ายจะต่อต้าน ทั้งเจ้าของร่างกาย จิตใจ และคนรอบข้างที่ต้องอยู่เพื่อมีชีวิตเคียงข้างเขาไป 



เช่นในกรณีของคนที่เกิดมาแล้ว มีสมองที่ไม่สมประกอบดี หรือที่เราเรียกคนประเภทนี้ว่า "ออทิสติก" ..มันย่อมไม่ง่ายเลยที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ ที่แรกๆต้องเป็นคนรับรู้ความเป็นจริงเรื่องนี้ก่อนใคร จะยอมเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นแต่แรกรับ

และถึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนที่ให้ชีวิตใหม่กำเนิดขึ้นมา ..แต่จะผิดอะไรหรือไม่ ถ้าการให้ชีวิตครั้งนี้ จะกลายเป็นเรื่องที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นมาเสียเลยจะดีกว่า

เพราะแค่ให้หนึ่งชีวิตต้องมาตรากตรำกรำชีวิตสู้กับคนปกติมากมายที่แก่งแย่งชิงดี ในสังคมที่ล้อมกรอบไปด้วยความบ้าคลั่ง ...ถ้าลองให้หนึ่งชีวิตที่ไม่สมประกอบต้องยืนอยู่ในสังคมนี้ และถูกตราหน้าว่าเป็น ไอ้บ้า ..คนเป็นพ่อแม่ จะอดไม่คลั่งได้อย่างไร เมื่อลูกตัวเองโดนดูถูก เหมือนว่าไม่ใช่คนอย่างเขา

แต่ที่ว่านี้ ไม่ได้หมายความว่า พ่อแม่ทุกคนจะต้องคิดเหมือนกันไปหมด และไม่ได้อยากไม่ให้ลูกตัวเองมีชีวิตเป็นผู้เป็นคนเลย ...เพียงแต่จะมีสักกี่คนกันที่ให้ความดูแลลูกของตัวเองได้เสมือนว่าเขาเป็นเทวดา

และตัวอย่างของแม่ที่มีลูกเป็นออทิสติก โดยเหมือนจะไม่สะทกสะท้านอะไรที่มีลูกเป็นเช่นนี้ ก็สามารถหาได้ในหนัง ..และตัวอย่างหนึ่งที่เด่นชัด ก็คือ บทบาทแม่ของนักแสดงฝีมือเยี่ยม "แซลลี่ ฟิลด์" ในหนังที่มีชื่อเป็นชื่อของพระเอกว่า "Forrest Gump"



หลายคนคงจะจำได้กับจุดเริ่มต้นของหนังเรื่องนี้ ที่เปิดมาพร้อมกับภาพของขนนกลอยล่องอยู่ในอากาศ ปลิวไปตามสายลม กระทบกับสิ่งรอบตัว แล้วจึงตกลงพื้นอย่างสวยงามมาอยู่ต่อหน้าของ "ฟอเรสท์ กัมพ์"("ทอม แฮงค์ส" ..กับบทบาทภาพจำที่ทำให้เขาคว้าออสการ์ได้ 2 ปีซ้อน) ..เขาหยิบขึ้นมามองดูด้วยความสงสัยปนแววตาที่มึนงง ก่อนจะเก็บมันใส่ลงไปในหนังสือนิทาน ที่คนวัยผู้ใหญ่ทั่วไป เขาไม่มีใครพกมันติดตัวอีกแล้ว 

แค่จุดเริ่มต้นในฉากนี้ มันก็สื่อสารได้อย่างชัดเจน ต่อให้ใครไม่รู้เรื่องย่อมาก่อน ..ก็อดจะเข้าใจไม่ได้ว่า ผู้ใหญ่คนนี้ คงจะมีอะไรที่แตกต่างจากชาวบ้านชาวช่องเขาแน่

ยิ่งเมื่อ นายกัมพ์ เกิดการอยากปฏิสัมพันธ์กับคนที่มานั่งข้างเขา และเล่าเรื่องราวของตัวเอง ทั้งๆที่ไม่มีใครอยากจะสนใจใคร่รู้มาแต่ต้น ...ก็บ่งบอกได้ทันที ว่าหมอนี้ ผิดปกติเป็นแหง



หากเรื่องราวของเขา ไม่ใช่เป็นเรื่องราวไก่กา ว่าความกันถึงชีวิตประจำวันที่เขายืนอยู่บนโลกนี้ได้อย่างไร ..แต่มันคือ ชีวประวัติที่น่าสนใจของผู้ชายคนหนึ่ง ที่นอกจากจะเป็นคนไม่ธรรมดา ก็ยังมาพร้อมความพิเศษหลากหลายประการ ที่ถ้าคิดกันตามตรรกะในโลกความเป็นจริง ก็อาจมองว่า หมอนี้ เป็นคนที่บ้า..หรือเปล่า???

จะมีใครสักกี่คนกัน ที่จะเคยเจอ "เอลวิส เพรสลี่ย์" ในระยะประชิด สมัยที่เป็นเพียงเด็กหนุ่มสามัญทั่วไป ..พร้อมกับยังสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ ไอ้หนุ่มฝันถือไมค์ มือจับกีต้าร์คนหนึ่ง ได้มีอะไรที่เป็นเอกลักษณ์ จนกลายเป็นคนสำคัญระดับโลก 

จะมีใครสักกี่คนกัน ที่สามารถจะวิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่ง และวิ่ง แบบไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย เหมือนไม่คิดชีวิต ..แล้วยังสามารถใช้การวิ่ง เอาชนะโปลิโอ โรคร้ายที่ไม่ว่าเด็กคนไหนก็ไม่อยากเป็น ได้โดยง่ายดาย และที่สุดก็กลายมาเป็น นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลระดับมหาลัย ที่วิ่งเร็วที่สุด จนไม่สามารถมีคู่แข่งแห่งไหนจับล้มเขาได้เลยสักครั้ง

จะมีใครสักกี่คนกัน ที่ได้เคยมีส่วนร่วมไปรบในสงครามเวียตนาม ทั้งๆที่ไม่รู้ประสีประสาเลยว่า สงครามคืออะไร? ..หากแต่สุดท้าย เขาก็สามารถจะเป็นฮีโร่แห่งสมรภูมินี้ได้ และเมื่อกลับมาถึงบ้านเกิด ก็ได้รับเกียรติจากประธานาธิบดี เสมือนว่าเป็นนายทหารยศใหญ่ ยังไงยังงั้น (ณ จุดนี้ ก็มีการโปรอเมริกากันไป..ตามใจท่าน)



จะมีใครสักกี่คนกัน ที่บังเอิญจู่ๆ ก็ได้รับโอกาสขึ้นไปพูดปราศรัยบนเวทีใหญ่ ท่ามกลางประชารอบข้างนับหมื่นแสนที่ต่อต้านสงคราม ..กับใจความอย่างเดียวว่า "ผมบอกได้แค่นี้" ก็คือคำพูดที่กินใจคนรักสันติภาพอย่างเป็นที่สุด

จะมีใครสักกี่คนกัน ที่ชีวิตหนึ่งจะเคยได้ไปเยือน จีน ในห้วงเวลาที่ประเทศถูกปิดตายจากชาวต่างชาติ ..พร้อมกับได้รับหน้าที่เป็นตัวแทนของอเมริกา ช่วยเชื่อมสัมพันธ์ให้ระหว่างสองมหาอำนาจต่างทวีป ด้วยเกมปิงปอง ป้อกแป้ก ที่หนึ่งคน(เจ้าของกีฬา)ตีอย่างมีจุดหมายจะเอาชนะ หากอีกคนเดินทางมาเพื่อตอบโต้ โดยไม่รู้ว่าชนะแล้วจะได้อะไร

จะมีใครสักกี่คนกัน ที่จะเป็นเจ้าของกิจการ เรือตกกุ้ง เจ้าใหญ่ที่คนทั้งประเทศต้องบริโภคกุ้งจากพวกเขา ..ทั้งๆที่แต่แรกในหัวของเขาไม่เคยคิดจะทำการมักใหญ่ใฝ่สูงอะไร แท้จริงมันก็แค่ว่าเขารับปากตกคำกับเพื่อนรักที่ไม่อาจจะทำฝันตัวเองให้เป็นจริงได้ก็เท่านั้น



จะมีใครสักกี่คนกัน ที่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมายที่ได้เห็นเขาผ่านสื่อต่างๆ และกระทำการบางอย่างที่ไม่มีใครปกติเขาทำกันอย่าง การวิ่งข้ามเขต ข้ามรัฐ จดมหาสมุทรหนึ่ง ไปยังอีกมหาสมุทรหนึ่ง และไม่มีจุดหมายปลายทางที่แท้จริง ..หากมันขึ้นอยู่กับว่าเขาจะเหนื่อยถึงจุดไหนแค่นั้น

มีไม่กี่คนหรอก ที่จะสามารถผ่านอะไรมามากมาย มีประสบการณ์หลากหลายรูปแบบ ได้เจอะเจอ แล้วนำเอามาเล่ามาคุยฟุ้งเหล่านี้ เหมือนกับว่าทั้งหมดนี้ มีแต่เรื่องที่โม้แทบทั้งดุ้น



แต่กระนั้นแล้ว ชีวิตที่เหมือนว่าได้โลดโผนโจนทะยาน ไม่เหมือนใครคนอื่นทั่วไปเช่นนี้ ..กลับหาใช่ประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นสำหรับตัวของผู้ที่ได้ประสบมา ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็แค่สิ่งที่ผ่านมาแล้วผ่านไปในช่วงชีวิตหนึ่งของผู้ชายที่ชื่อ ฟอเรสท์ กัมพ์ ..ผู้ที่ชีวิตไม่คิดอะไรให้วุ่นวาย หากมีอยู่สิ่งเดียวที่ข้องใจคือ เรื่องของความรักกับหญิงสาวเพื่อนสนิทที่ชื่อนี้จำขึ้นใจว่า "เจนนี่" ("โรบิน ไรท์ เพนน์") เพียงเท่านั้น

เพราะ เจนนี่ เป็นทั้งเพื่อนคนแรกที่เขาได้รู้จัก และยังจะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เขาสามารถจะเชื่อใจได้เต็มร้อย นอกไปจากแม่ของเขา

ในสังคมที่โหดร้ายทารุณกับผู้คนที่ถูกมองว่าเป็นคนไม่ปกติ ทำเสมือนว่าโลกนี้ไม่มีคนอย่างเขา.. การที่มีใครสักคนเข้ามาพันผูกขอมีมิตรภาพ และยึดมั่นในความเป็นเพื่อนเอาไว้กับใจที่ใสสะอาด ทำให้เจนนี่ เป็นเพียงคนไม่กี่คน ที่สามารถเข้าถึงความเป็นคนปกติของฟอเรสท์ที่แฝงไว้ลึกๆข้างใน ..ซึ่งถ้าไม่ใช่พ่อ ไม่ใช่แม่แล้วละก็ เพียงลองได้มีใครสักคนทำความเข้าใจในความไม่ปกติ และรู้ว่าเขาก็ยังมีอะไรที่เป็นคนๆหนึ่งเหมือนใครๆ ...ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่คนไม่ปกติคนนั้นจะเข้าใจในความรัก และสามารถจะรักคนๆนั้นได้ โดยไม่แคร์สายตาของคนรอบข้างจะเห็นเป็นเช่นไร



ในฉากๆหนึ่ง(แต่แบ่งออกเป็นสองช่วงเวลา) ที่เจนนี่(ทั้งในวัยเด็กและสาวสะพรั่ง) ได้ตะโกนร้องบอกให้ ฟอเรสท์ วิ่งหนีไปจากคนใจทรามที่หมายจะทำร้ายตัวเขา ..ฉากๆนั้น อาจจะมองได้สองมุม ด้วยความคิดที่แตกแยกออกเป็นสองฝั่ง ...ฝั่งหนึ่งในแบบตื้นๆ เราอาจจะมองว่า เจนนี่ อยากให้ฟอเรสท์ เห็นแก่ตัว และสั่งดังเสมือนว่า เขาเป็นคนที่ไม่เหมือนใคร เลยไม่อยากให้เขาได้ลองตั้งหน้า กำมือสู้คน เหมือนกับคนทั่วไปจะควรทำกัน ..หากแต่เมื่อเรามามองกันอีกฝั่ง อย่างลึกๆด้วยแล้ว อาจจะเห็นได้ชัดเจนว่า นั่นคือ วิธีการแสดงความปรารถนาดี ที่คนปกติคนหนึ่งจะพึงหาทางออกให้กับคนไม่ปกติ ที่ถูกหยามเหยียดจากคนๆอื่นที่ไม่เคยจะทำความเข้าใจว่า คนที่อยากทำร้าย ก็ยังเป็นคนเหมือนๆกัน

แค่ฉากนี้ฉากเดียวในสองมุมมอง ..ก็ถือว่าเพียงพอจะเข้าใจแล้วว่า ทำไม ผู้ชายที่ไม่เหมือนใคร อย่าง ฟอเรสท์ ถึงได้ตกหลุมรัก ผู้หญิงบ้านๆ ที่หาได้ทั่วไป และมีใครอีกมากมายที่เป็นเหมือนเธอ ...หากแต่ เจนนี่ คือ คนเดียวเท่านั้นที่เขาต้องการ

ในแง่มุมความรักของหนังเรื่องนี้ อาจจะไม่ได้ถือเป็นเรื่องเป็นราวที่สลักสำคัญเท่าไหร่ เมื่อนำมาเทียบกับความเป็นดรามาที่หนังตั้งใจนำเสนอผ่านประสบการณ์เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวหลายหลากของพระเอก ..แต่เมื่อหนังได้เปลี่ยนมือมาแตะกับความโรแมนติกเอาเมื่อไหร่ ก็สามารถจะดึงผู้ชมให้อมยิ้ม ซึ้งใจ มีความสุขไปกับความรักอันใสซื่อของไอ้หนุ่มฟอเรสท์กันทันที เหมือนสั่งได้



อาจเพราะว่า ฟอเรสท์ เป็นคนที่น่าสงสารด้วยละมั้ง ..ถึงทำให้เราอยากเอาใจช่วยให้ความรักของเขาราบรื่น ไม่เหมือนชีวิตที่โลดโผนขึ้นๆลงๆเสียตลอดเรื่องกันอย่างนั้น

แต่ในความน่าสงสารของ ฟอเรสท์ ตามสถานการณ์ต่างๆ ที่ดูเหมือนว่าน่าจะเครียดได้หลายแหล่ ...มันยังกลับกลายเป็นเรื่องของความสุขได้โดยพลัน เมื่อเรื่องราวเหล่านี้ถูกเล่าผ่านมุมมองที่รักจะมองโลกในแง่ดีของไอ้หนุ่มออทิสติก ที่ชีวิตไม่คิดตีความอะไรมาก หากปล่อยตัวเองให้ลอยไปตามแต่ลม เสมือนดั่งขนนกที่ปลิวไปไกลหรือใกล้ขึ้นอยู่กับความแรงของสิ่งรอบข้างจะนำพา

เช่น ขณะที่ใครบางคนได้ไปรบในสงครามเวียดนาม และมีชีวิตรอดกลับมาเพื่อได้เล่าเรื่องราวความเจ็บปวด ทุกข์ทน ทรมาน ของตัวเองกับคนรอบข้าง ..แต่ พลทหาร ฟอเรสท์ กัมพ์ ได้รอดกลับมาบอกว่ามันไม่มีอะไร นอกเสียจากที่เขาได้วิ่ง วิ่ง และวิ่งหนีระเบิด ไปพร้อมๆกับช่วยเหลือเพื่อนทหารให้รอดกลับบ้านไปพร้อมๆกับเขา เพียงเท่านั้นเอง ที่เขาได้กลับมาเล่าให้ฟัง 



หนึ่งในเพื่อนทหารที่ได้รอดชีวิตกลับมาในครั้งนี้ และกลายเป็นเพื่อนสนิทอีกคนที่ชีวิตของฟอเรสท์เคยมี อย่าง "ผู้หมวดแดน" ("แกรี่ ซีนีส") ..อาจจะเคยคิดว่าเขาได้พบกับอะไรมากมายระหว่างปฏิบัติภารกิจที่เป็นชีวิตทั้งชีวิตของเขาอย่างการรักชาติ แต่เมื่อเขาได้เดินทางกลับบ้านในสภาพของคนพิการ ที่แทบไม่มีใครให้ความเคารพในฐานะของทหารผ่านศึก ..เขาก็ได้รู้ว่า ชีวิตยังมีอะไรมากกว่านั้น และมันก็เป็นเพราะ ฟอเรสท์ ที่ทำให้เขารู้ว่า การมองโลกในแง่ดี ทำให้ชีวิตของเขามีค่า จนต้องยอมอยู่ทนรับสภาพของตัวเองต่อไป

ไม่น่าแปลกใจอะไรเลยที่คนมองโลกในแง่ดีอย่างฟอเรสท์ จะสามารถรอดชีวิตอย่างครบถ้วนทุกอย่าง จากสงครามอันโหดร้ายเช่นนี้ได้ ..เพราะขณะที่หลายคนบอกย้ำชี้ชัดว่ามันเป็นการทำเพื่อประเทศที่รัก และศักดิ์ศรีของชายชาติทหารยอมแลกให้ร่างของตัวเองสลายหายไป ..แต่เมื่อลืมมองว่าสงครามไม่เคยให้อะไรเลย นอกจากความบ้าคลั่ง และป่าเถื่อนของคนเราที่รังแต่จะเคียดแค้น เข่นฆ่า เสมือนคนอื่นเป็นแค่ผักปลา มันก็ทำให้คนที่บ้าสงคราม เก่งแต่จะทำลายล้าง กลายเป็นได้แค่คนมองโลกแคบ และติดลบตลอดเวลา ..และมันก็ส่งผลร้ายให้โลก ไม่ว่าจะวันก่อน หรือวันนี้ ตลอดจนอนาคต กลายเป็นสถานที่ที่ทุกหนแห่งล้วนเป็นสมรภูมิรบได้หมดนั่นเอง

เพียงถ้าโลกนี้มีคนอย่าง ฟอเรสท์ กัมพ์ อย่างน้อยเกินกว่าครึ่งของจำนวนคนทั้งโลก ..เราก็คงจะได้เห็นเป็นอีกภาพตรงกันข้าม ว่าโลกนี้ เป็นสถานที่สวยงาม น่ามอง น่าอยู่ จนจะไปอาศัย ณ ตรงนั้นก็ปลอดภัยไปหมด



การใช้ชีวิตที่รักความปลอดภัยของ ฟอเรสท์ กัมพ์ อาจจะดูขัดกับหลักการของมนุษย์ที่มักจะชอบพาตัวเองไปเจอกับความเสี่ยงต่างๆ ได้ไม่เว้นเวลา เว้นสถานที่ ..แต่เพียงถ้ามนุษย์ทุกคนเลือกจะเลี่ยงอะไรก็ตามที่มันอันตราย ชีวิตของมนุษย์ก็คงไม่ต้องแบกรับความเจ็บปวดไว้ตลอดเวลา ในทุกสถานที่กันเช่นนี้หรอก

เพราะแม้ชีวิตของคนเรา อาจจะอยากหลีกหนีอะไรก็ตามที่เป็นความเจ็บปวดไปให้ไกล ..แต่ถ้าตราบใดไม่เลือกว่าที่ไหนที่เราควรหนีหายไม่เดินไปหา มันก็ไม่วายจะพาเราไปเจอความร้าวรานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ณ ที่แห่งนั้นได้ตลอดศก

เมื่อย้อนกลับมามองเรื่องนี้กับสถานการณ์ความตึงเครียดของโลกในวันนี้ มันก็เป็นแนวทางเดียวกันกับคนที่รักแต่จะหาเรื่อง(ร้าย)ใส่ตัว ..เพราะเมื่อลองอยู่ดีๆ มีชีวิตที่มีความสุขไม่เป็น มันก็ทำได้แค่รนหาที่แย่ๆ รังแต่จะทำให้รอบข้างของตัวเองและสังคมขนาดย่อมไปหาใหญ่ ได้ตึงตามกันไปด้วย

เพียงถ้าสังคมนี้ มีสักคนที่ยอมหย่อน ผ่อนปรน และล้มเลิกความคิดประหัสประหารกันให้ถึงชีวิต ทั้งบอกต่อถึงความมีคุณค่าของมนุษย์ไปยังอีกคนอื่น ..ต่อไปจากสังคมหนึ่ง ไปยังอีกสังคมที่ใหญ่กว่า นำทางไปสู่โลกทั้งใบ ก็จะเปลี่ยนไป และมีคนมองโลกกว้างมาก มาก และมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

ตราบใดคนเราสามารถลิขิตว่าอยากให้ชีวิตของตัวเองนั้นดีหรือร้ายได้เป็นฉันใด ..ตราบนั้นโลกของเราก็พร้อมจะลิขิตความน่าจะเป็นของมันไปได้ด้วยกันฉันนั้น



หากแต่ในมุมของผู้ชายที่ชื่อ ฟอเรสท์ กัมพ์ ..ผู้ที่ซื่อตรงแต่การใช้ชีวิตที่ปล่อยให้ตัวเองลอยไปตามแรงลม และขึ้นอยู่กับความปลอดภัยเหนือสิ่งอื่นใดแล้ว ...กลับหาใช่ว่าจะไม่เคยได้พบทางแยกใดๆ มาพารวนเรให้เขาต้องตัดสินใจที่จะเลือก 

ตลอดมาแต่เด็กยันโต ฟอเรสท์เคยเชื่อว่า แม่ของเขา สามารถจะกำหนดความเป็นไปอะไรให้กับชีวิตของเขาได้หมด ..เห็นแต่ว่าแผนทุกอย่างที่แม่วาง คือทางที่เขาจะได้เดินไปและปลอดภัยเป็นที่สุดได้ทั้งนั้น ...และเขาก็ไม่เคยคิดสงสัยเลยว่า ทำไมแม่ของเขาถึงห้ามนู้นห้ามนี่ บอกให้ระวังนั้นระวังนี้ ซึ่งมันก็เป็นเพราะความเข้าใจที่ว่า คำแม่สอน ดีที่สุด

แต่เมื่อถึงวันที่แม่ของเขาต้องจากไปยันอีกภพหนึ่ง ..ภพที่ยังไม่ถึงเวลาที่ฟอเรสท์จะได้ตามแม่ของเขาไป ...เขาก็ได้รับคำสอนสุดท้ายจากแม่ ที่แปลกและแตกต่างไปจากเดิม

เพราะหลังจากชีวิตที่ผ่านมา เขายอมให้ตัวเองได้เป็นลูกที่ดีของแม่ เหนือกว่าจะยอมให้อะไรมาบอกว่าเขาเป็นคนที่ไม่(ปกติ)ดี ..ความเชื่อที่เขาต้องทำตามแม่ มันก็ถูกเปลี่ยนแปลง ด้วยคำพูดที่แม่บอกเขาว่า ...ได้เวลาที่เขาต้องเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่ด้วยตัวเองแล้ว

แม่บอกเขาว่า คนเราย่อมมีลิขิตเป็นของตัวเอง ...หากแต่เราจะรู้หรือไม่ว่าอะไรที่เราสามารถลิขิตมันขึ้นมาได้ โดยไม่ขึ้นอยู่กับใคร หรือสิ่งใดจะนำพาให้ต้องเป็นไป



"ชีวิตก็เหมือนกล่องช็อกโกแลต เราไม่รู้ว่าเปิดมาจะได้เจอกับอะไร" คือ คำคมจากคนเป็นแม่ เป็นประโยคสุดท้ายที่ฝากไว้ก่อนจะลาโลกไป เพื่อทิ้ง ฟอเรสท์ ไว้ให้เข้าใจชีวิตตามลำพัง ..แม้มันอาจจะเป็นคำพูดที่เราคนดูไม่อาจจะเข้าใจในเนื้อความของมันได้อย่างถ่องแท้ เพียงเพราะที่แน่ๆ ก็รู้อยู่ว่าในกล่องช็อกโกแลต มันก็ต้องมีชิ้นช็อกโกแลตวางใส่เป็นหลุมอยู่ในนั้น 

แต่ ฟอเรสท์ กลับรู้ซึ้งถึงการอธิบายอย่างนี้ ...เพราะเขาอาจจะไม่ได้คิดถึงว่า ช็อกโกแลต คืออะไร ..เพียงแต่เข้าใจว่ามันเป็นกล่องๆหนึ่ง ที่สามารถจะใส่อะไรเอาไว้ข้างในก็ได้ และคนที่เปิดออกมาก็อาจจะเซอร์ไพรส์เมื่อเห็น เพราะมันเป็นอะไรที่เขาไม่รู้ว่ามันได้มาอยู่ในกล่องๆนี้ได้อย่างไร

บางทีคนเราอาจไม่จำเป็นต้องรู้หรือเข้าใจอะไรต่อมิอะไรก็ได้ว่า มันควรจะเป็นไปอย่างไร ..เพราะบางสิ่งที่ว่ามันคงต้องการ การได้เซอร์ไพรส์กับเรามากกว่า ..เพียงแต่ถ้าเราไม่คิดว่าในนั้นมันจะมีอะไรร้ายๆ หรือเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการรอเราอยู่ มันก็คงจะได้พบความสุข ณ จุดนั้นที่ได้เห็นความเป็นจริงของสิ่งที่เราอยากรู้

และถ้าเราคิดอย่างที่ ฟอเรสท์ กัมพ์ คิด รวมถึงมองทุกอย่างๆที่คนมองโลกในแง่ดีเป็น ..ชีวิตของเราก็จะพบกับความสุขในทันที ไม่เหลือความจำเป็นต้องคิดว่าจะมีอะไรที่ทุกข์ใจรอเราอยู่ ณ เบื้องหน้า

หากเรายังคิดแต่ว่า ข้างในกล่องช็อกโกแลต ก็ต้องมีช็อกโกแลตอยู่อย่างนั้น ..แล้วเราจะเซอร์ไพรส์กับความสุขที่รอเราอยู่ได้อย่างไรกันล่ะ ...จริงมั้ย?



สุดท้ายนี้ เพียงเราได้ลองเปลี่ยน และคิดแบบที่หนังเรื่องนี้อยากให้เราเป็นกันทุกๆคน ..เราก็จะสามารถกลับมาพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า "มนุษย์ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ประเสริฐที่สุดในหมู่มวลสัตว์โลก" ได้ครบถ้วน อย่างแน่แท้

ทำตัวเหมือนขนนกย่อมเบากว่า ..เป็นมนุษย์ที่หนักแผ่นดินเป็นไหนๆ ...จริงมั้ย?

 

ขอบคุณนะครับแหม๊ ! 

 

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
60 VOTES (4/5 จาก 15 คน)
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
โมเมนต์สุดอบอุ่นหัวใจ แมวจรคาบลูกตัวเองมาให้หลังจากหญิงสาวได้ให้ความช่วยเหลือมันแม่แบบนี้ควรไม่รู้จักต่อไป!! ตามคำยายมั้ยลิซ่าเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วนะรวมความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับการอาบน้ำ บางอย่างเพื่อนๆอาจจะเข้าใจผิดอยู่ก็ได้นะ
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
ฮือฮาทั้งโซเชียล พระเอกเกาหลีพูดชื่อเต็มกรุงเทพฯ ชัดมาก "Frankly Speaking พูดตรงๆ คงต้องรัก""แสวง" เลขาฯ กกต. ไม่ห้ามสื่อเสนอข่าว-จัดเวทีฯ ขู่จับตาดูผู้สมัคร ชี้ "ธนาธร" ทำได้ชวนลง สว."แจ็คแฟนฉัน" แจกพัดลมให้พี่น้องชาวไทย300ตัว"ลุงดอนใจดี" ย้ำอาหารที่ร้านไม่แพง และยังคงขายราคาเดิมหนุ่มสงสัย? ทำไมฝรั่งถึงไม่นิยมใส่ทองคำ และของมีค่าเวลาไปเที่ยว!!
ตั้งกระทู้ใหม่