เรื่องเล่า......ตายแล้วเกิด
เรื่องเล่า......ตายแล้วเกิด
จากนี้จะขอนำเรื่อง "ตายแล้วเกิด"ที่ได้จากหนังสือ "ภพอื่นและเรื่องควรคำนึง" ของ ท่านศาสตราจารย์นาย
แพทย์อวย เกตุสิงห์ ท่านผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือของผู้เขียน(คุณทองทิว สุวรรณทัต) ท่านหนึ่งมาเล่าดังต่อไปนี้
มีสามเณรรูปหนึ่งชื่อเลี่ยม อยู่บ้านน้ำก่ำ อำเภอพระธาตุพนม จังหวัดนครพนม ชาติก่อนเกิดที่จังหวัดอุบล
ราชธานี เมื่อเติบโตเป็นหนุ่มีความเลื่อมใสในพระธุดงค์คณะหนึ่งซึ่งมี ท่านอาจารย์ทอง เป็นหัวหน้า จึงถวาย
ตัวเป็นศิษย์ และได้อุปสมบทกับพระะดงค์คณะนั้น
ในเวลาต่อมาท่านอาจารย์ทองได้พาจาริกไปจำพรรษาอยู่ที่บ้านสามผง จังหวัดนครพนม เป็นสถานที่ที่มีไข้ป่า
ชุกชุมมาก สามเณรเลื่ยมซึ่งเป็นพระบัวในอดีตชาติ ก็ถึงแก่มรณภาพ ณ ที่นั่น
เมื่อใกล้จะมรณะภาพพระบัวมีสติสัมปชัญญะ ประคองจิตอยู่ในกรรมฐาน ถอดกายทิพย์ออกจากร่างเป็นพระ
บัวอีกรูปหนึ่งไปยืนดูสังขารของตนที่นอนมรณภาพแล้ว ได้เห็นพระเณรรวมทั้งชาวบ้านมาเยี่ยมเยี่ยมอูอาการ
ของตนเป็นอันมาก ที่น่าประหลาดก็คือ ไม่มีใครสนใจกับพระบัวที่ยืนอยู่เลย
ครั้นยืนดูอยู่จนเขาเผ่าศพตนเสร็จแล้ว จึงออกเดินทางเสมือนธุดงค์อย่างที่เคยกระทำมาเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่
ต่อไป
จากนั้นได้ไปพบยมบาลและวิญญาณที่ตายไปแล้วเป็นอันมาก มีทั้งคนดีและคนชั่ว
เมื่อพระบัวมาเกิดใหม่ในครรภ์ของผู้หญิงคนหนึ่งที่บ้านน้ำก่ำ อำเภอพระธาตุพนม จังหวัดนครพนม นั้น ขณะ
ที่คลอดก็รู้ตัวว่าได้เกิดใหม่เสียแล้ว แต่ไม่สามารถทำตามความรู้สึกได้ เพราะร่างกายยังอ่อนแออยู่มาก
แต่ในขณะที่คลอดออกมานั้น สัญญา(ความจำ) ในอดีตที่เคยเป็นพระ มิได้ลืมเลือนไปเลย แม้จะเป็นทารกตัว
แดงๆก็รู้สึกตัวว่ายังครองจีวร แบกกลด สะพายบาตร อยู่ในร่างของเด็ก ทั้งยังสามารถระลึกย้อนหลังไปได้
เป็นลำดับ จนกระทั่งบ้านที่เกิดในชาติก่อน บิดามารดา ญาติพี่น้อง จำได้หมดแต่พูดไม่ออกบอกไม่ได้
ครั้นพอหัดพูดได้บ้างก็เรียกตัวเองว่า "อาตมาๆ" แบบพระพูดกับฆราวาส เพราะรู้สึกว่าตนยังเป็นพระอยู่-
ตลอดเวลา แต่เมื่อพูดออกมาอย่างชัดเจนว่า "อาตมาๆ" บิดามารดาและญาติพี่น้องก็ห้ามไม่ให้พูด เกรงว่าจะ
บาป ด้วยเป็นคำที่พระเรียกตัวเอง ไม่ใช่คำพูดสำหรับเด็กหรือ ฆราวาส เมื่อถูกดุบ่อยๆ เข้าก็ตกใจกลัวและ
เสียใจ ความรู้สึกที่ว่าตัวเป็นบรรพชิตที่อยู่ในความทรงจำก็หายไป แต่การระลึกชาติได้ยังมีอยู่
ครั้นเติบโตขึ้น ความคิดถึงบ้านเก่า และบิดามารดา ตลอดจนญาติมิตรในชาติก่อนก็มีมากขึ้น จึงบอกบิดามาร
ดาในชาตินี้ว่า อยากไปเยี่ยมบ้านเก่า กลับถูกดุหนักเข้า โดยผู้ใหญ่อ้างว่าคำพูดเช่นนี้เขาถือว่าเป็นลาง
ในที่สุดได้ตัดสินใจเล่าเรื่องในชาติก่อนของตนให้บิดามารดาฟัง เมื่อบิดามารดาฟังแล้วจึงเห็นสมจริงและเกิด
สังเวชสลดใจถึงกับพากันร้องไห้
ครั้น สามเณรเลี่ยมไปในงานฌาปนกิจศพ ท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2493 ก็ได้พบท่าน
อาจารย์ทอง พระอาจารย์เก่าในอดีตชาติที่วัดป่าสุธาวาส จังหวัดสกลนคร และจำได้แม่นยำ ทั้งยืนยันว่าท่าน
อาจารย์ทองรูปนี้เคยเป็นอาจารย์เก่าของตนในอดีตชาติ
ต่อมาเมื่อศาสตราจารย์นายแพทย์อวย เกตุสิงห์ พบกับพระอาจารย์ทองเป็นการส่วนตัว จึงได้สอบถามความ
จริงโดยได้เล่าเรื่องพระบัวที่มาเกิดใหม่เป็นสามเณรเลื่ยมให้ฟัง ซึ่งท่านอาจารย์ทองรับสมจริงทุกประการว่า
ปีนั้นมีพระธุดงค์ไปอาพาธและมรณภาพที่บ้านสามผง สามรูป พระบัวเป็นรูปสุดท้าย ได้มรณภาพมา 16 ปี
แล้ว ขณะนั้นสามเณรเลี่ยมอายุได้ 15 ปี (พ.ศ.2493)
จากหลักฐานดังกล่าวจึงเป็นที่ยืนยันได้ว่า สามเณรเลี่ยมระลึกชาติได้จริง และการตายแล้วเกิดเป็นเรื่องที่มิใช่
พูดเล่น ทุกคนพึงสังวรณ์ไว้ แม้หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ศิษย์ของพระอาจารย์มั่น ซึ่งได้รับการยกย่องจาก
พระกรรมฐานด้วยกันว่าเลิศในด้านอภิญญาจากบรรดาศิษย์ทั้งปวงยังเคยบอกว่าก่อนจะเกิดมาเป็นมนุษย์ใน
ชาตินี้ ท่านได้ผ่านการเกิดมาจากการเป็นมนุษย์และสัตว์นับชาติไม่ถ้วน
ครั้นสุดท้ายท่านเกิดเป็นอีเก้งถูกพรานยิงตายที่บริเวณใกล้ๆ บ้านโคกมน ปัจจุบันหลวงปู่ชอบยังสร้างกุฏิไม้
หลังคามุงแฝก ครอบจอมปลวกตรงที่อีเก้งตาย
ใครอ่านเรื่องนี้แล้วคิดจะทำบาปทำกรรมต่อไป ขอให้เลิกเสียเถิด จะเป็นกุศลแก่ตัวเอง ตายไปแล้วจะได้ไม่
ไม่ต้องไปเกิดเป็นสัตว์ที่ต้องทนทุกขเวทนา สู้หมั่นทำบุญทำกุศล ชาติหน้าอย่างน้อยถ้าจะเกิดอีกก็ยังได้เกิด
เป็นมนุษย์กับเขา ไม่ต้องถึงกับเป็นสัตว์สี่เท้า สองเท้า เหมือนดังหลวงปู่เล่า
ท้ายสุดนี้อยากจะบอกว่า
"เมื่อยามเป็นๆอยู่ไม่ช่วยตัวเองแล้ว ยามตายจะให้ใครไปช่วยได้"