มนุษย์ต่างดาวช่วยเรา จากสงครามนิวเคลียร์หรือไม่?

     สื่อนอกรายงานว่า "เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 1945 อเมริกาได้ทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น อีกลำหนึ่งถูกทิ้งลงในนางาซากิ ตั้งแต่นั้นมา ถึงแม้จะมีวิกฤติการณ์ตึงเครียดหลายครั้ง อาวุธนิวเคลียร์ก็ไม่เคยถูกนำมาใช้อีกเลย บาง​คน​เชื่อ​ว่า​การ​เข้า​แทรกแซง​ของ​มนุษย์ต่างดาว ​ป้องกัน​การ​โจมตี​ที่​ก่อ​ความ​หายนะ​เช่น​นั้น..."

     โดยล่าสุดหลายๆคนสงสัยกันว่า "มนุษย์ต่างดาวช่วยเรา จากสงครามนิวเคลียร์ หรือไม่?"
ในประวัติศาสตร์และนิยายวิทยาศาสตร์ มนุษย์ต่างดาวมักเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลก ทั้งดีและไม่ดี สมมติฐานของสิ่งมีชีวิตนอกโลก ชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ต่างดาวกำลังเฝ้าดูเรา และ บันทึกการเติบโตของเรา ไปสู่อารยธรรมที่ก้าวหน้า นักวิจัยหลายคนเชื่้อว่ามนุษย์ต่างดาวกำลังสอดแนมเรา แต่เพื่อจุดประสงค์ในการทดลอง ที่โหดเหี้ยมที่เกิดกับโลกของเรา ในยุคสมัยที่ผ่านมา...

     ทฤษฎีเอเลี่ยนโบราณหลายทฤษฎี ได้เปิดเผยว่า "มนุษย์ต่างดาวสร้างอนุสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง ขณะเดียวกันก็มีการบันทึกการลักพาตัวเอเลี่ยนนับไม่ถ้วนทั่วโลก ทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ทั้งหมดนี้ทำให้เรามีมุมมองที่ซับซ้อนเกี่ยวกับพวกเขา และ ความตั้งใจของพวกเขาต่อมนุษยชาติ โดยเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวนั้นลึกลับและน่าตื่นเต้น แต่ยังเต็มไปด้วยความสงสัย ความกลัว และอคติ รายงานส่วนใหญ่เกี่ยวกับการลักพาตัวเอเลี่ยนอธิบายว่า "มนุษย์ต่างดาวไม่มีอารมณ์และขาดความเห็นอกเห็นใจ พวกมันปฏิบัติต่อมนุษย์เหมือนหนูทดลอง เพื่อใช้ในการทดลองของพวกเขา และ โยนพวกเราทิ้งอย่างขยะ พวกมันไม่เป็นมิตรกับมนุษย์ และ ไม่เคยยืนเคียงข้างพวกเรา..."

     แต่ก็ไม่ใช่ว่ามนุษย์ต่างดาวทุกตัว จะใจร้ายขนาดนั้น ตัวอย่างเช่น ในปี 1951 ชายคนหนึ่งชื่อ "เฟรด เรแกน" อ้างว่า "เครื่องบินของเขาถูก UFO ชน มนุษย์ต่างดาวเอาแต่ขอโทษเขา และเสนอว่าจะรักษามะเร็งของเขาให้ฟรีๆ แทนการขอโทษ"

     ดูเหมือนว่าบางครั้งมนุษย์ต่างดาว ก็สามารถเป็นมิตรกับเรา เรื่องนี้ทำให้เรานึกถึง เทพผู้กล้าอย่าง "ธอร์" ซึ่งเป็นช่วงที่ทอร์ได้พบกับสิ่งมีชีวิตต่างดาว 3 ตัว เช่น แทงเอน, กิล และ ทาเนีย ที่ได้ลงจอดยานอวกาศของพวกเขา บนทุ่งแห่งหนึ่งในรัฐเวอร์จิเนีย ในปี 1967...

     ผู้เชี่ยวชาญด้านยูเอฟโอ "แฟรงก์ อี. สเตรนจ์ส" ได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ "สเตรนเจอร์ที่เพนตากอน" ในหนังสือเล่มนี้เขาอ้างว่า "เขาได้พบกับมนุษย์ต่างดาว เป็นการส่วนตัว ที่พยายามขัดขวางการทำลายล้างของมนุษยชาติ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่แปลกประหลาดมาก..."

     ซึ่งหลังจากนั้น "แฟรงก์ อี. สเตรนจ์ส" ได้ขอให้พวกมนุษย์ต่างดาว ทำการเจรจากับประธานาธิบดี "ดไวท์ ไอเซนฮาวร์" ในทันที!! ถึงแม้ว่าในตอนแรกพวกมนุษย์ต่างดาว จะถูกส่งไปพูดคุยกับรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงกลาโหม แต่ในที่สุดพวกมนุษย์ต่างดาวก็ประสบความสำเร็จ ในการตระหนักถึงความปรารถนาของตนอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าพวกเขาก็นั่งอยู่ข้างหน้า ประธานาธิบดี "ดไวท์ ไอเซนฮาวร์" ผู้นำของอเมริกาในขณะนั้น และ รองประธานาธิบดี "ริชาร์ด นิกสัน" และ พวกมนุษย์ต่างดาวก็ได้ใช้ "แฟรงก์ อี. สเตรนจ์ส" เป็นศูนย์กลางของการเจรจา เนื่องจากตอนนั้น "แฟรงก์ อี. สเตรนจ์ส" อ้างว่าตนเองเป็น "นักศาสนศาสตร์ชั้นนำของโลก"

     "แฟรงก์ อี. สเตรนจ์ส" กล่าวว่า "พวกมนุษย์ต่างดาวกล่าวว่าจุดประสงค์ของพวกเขาบนโลก คือ การมีมนุษย์โลกเป็นเพื่อน และ พวกเขาบอกว่าพวกเขามาจากดาวศุกร์ และ เป็นสมาชิกของสภาระดับสูงระหว่างดวงดาว ซึ่งหลังจากนั้นอเมริกาก็ได้เทคโนโลยี ที่ได้นำมาทำระเบิดปรมาณู ซึ่งระเบิดลูกดังกล่าว ถูกใช้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2..."

     พวกมนุษย์ต่างดาว บอกกับ "แฟรงก์ อี. สเตรนจ์ส" ว่า "การมาถึงของพวกเขาถือเป็นจุดเริ่มต้น ของภารกิจ 3 ปี ของพวกเขา ซึ่งพวกเขาต้องการป้องกันไม่ให้มนุษยชาติ ถูกทำลายล้างโดยสิ้นเชิง เพื่อที่จะบรรลุภารกิจนี้ เราจำเป็นต้องให้เทคโนโลยีที่จำเป็นแก่มนุษยชาติ และ เพื่อชักชวนมนุษยชาติ ให้ละทิ้งการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ และ เข้าร่วมสภาสูงระหว่างดวงดาว..."

     ซึ่งหลังจากนั้นก็มีข่าวลือว่า รูปร่างหน้าตาของพวกมนุษต่างดาวพวกนั้น มีลักษณะเหมือนมนุษย์มาก ยกเว้นที่ว่า มือแต่ละข้างมี 6 นิ้ว เขาสวมชุดสูทเต็มตัว ผมของเขาปัดไปด้านหลัง และ เขาดูเหมือนมนุษย์ธรรมดาที่มีอยู่ทั่วโลก

     ในปี 2013 ภาพยนตร์สั้นเกี่ยวกับการมาถึงของมนุษย์ต่างดาว ได้รับการปล่อยออกมา ซึ่งหนังมีชื่อว่า "Strangers at the Pentagon" ภาพยนตร์เรื่องนี้อ้างว่า "สร้างจากเรื่องจริง" แต่เพิ่มสีสันให้กับเรื่องราวที่เป็นตำนานอยู่แล้ว