"แรมโบ้ แห่ง แอฟริกา" แซม ไชลเดอร์ (คนดีมากๆ อ่านเหอะ)

เมื่อ 2-3 วันก่อน ผมได้ชมภาพยนต์เรื่องนึงชื่อว่า Machine Preacher นักบวชปืนกลครับ จริงๆหนังเรื่องนี้ ผมให้ระดับหนังเป็น MASTERPIECE เลยทีเดียว ด้วยเนื้อเรื่องของหนังแล้ว พระเอกในเรื่องนั้น
ชัดๆ อะไรจะเสียลสละได้ ขนาดนั้น แต่พอมานั่งดูเครดิตตอนท้ายหนัง เอ้าเห้ย ตาลุงคนนี้ มีชีวิตจริงๆนี้หว่า

วีรบุรุษคนนี้ ชื่อว่า แซมไชลเดอร์ ครับ ส่วนประวัติน่ะหรอ เลื่อนลงมาดูซิ




แซม ไชลเดอร์ จริงๆแล้ว ในชีวิตแรกๆ เขาคือ ไอ้ขุนดวดคอทองแดง แห่งแกรนด์ฟอร์ด ดาโกต้าเหนือ เขาทำทุกอย่างที่ นักเลงทุกคน พึงทำเป็นกิจวัตรประจำวัน เล่นทุกอย่างที่เป็นอบายมุขบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็น
มาริจัวน่า(กัญชา) เฮโรอีน มอร์ฟีน นักเลงนักบิด และอีกมากมาย ที่จะทำให้เขามีความสุขจอมปลอมนี้ได้ จนกระทั่ง วันนึง เขากับเพื่อนได้ซิ่งรถไปบนถนนใหญ่ และได้จอดรับ ชาวอินเดียนคนนึง ปรากฏว่า ไอ้อินเดียนคนนั่ง มันชักมีด จ่อที่คอเขา เมื่อหนวดไอ้เสือถูกกระตุก เขาจึงชิงมีด แล้วจ้วงพุงไอ้อินเดียนไม่รู้จักที่ต่ำที่สุงไป 3 รู

"ผมรู้ได้เลยว่า เลือดไอ้หมอนั่น มันพุ่งออกมา เหมือนขวดใส่ซอสมะเขือเทศที่มีรู มันค่อยๆไหลออกมา ทะลักออกมา จนผมคิดเสียแล้วว่า เลือดมันคงหมดตัวแล้ว" แซมกล่าว ขณะที่เขากำลังสัมภาษณ์

เมื่อเขาแน่ใจว่า ไอ้หมอนั่น สิ้นใจ เขาเอาร่างหนุ่มอินเดียน ผู้โชคร้ายนั้น ทิ้งไว้ที่ข้างถังขยะแห่งนึง บนถนน ปรากฏว่า ไอ้อินเดียนนั้น ดันไม่ตายเสีย แซมสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัว

กลัวว่าจะทุกโยงมาใส่ตัวเขา กลัวว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งเป็นซึ่งที่เขาไม่ต้องการเอาเสียเลย เพราะเขามี เคจ ลูกสาว วัยกำลังน่ารักอยู่คน คงไม่ใช่เรื่องน่ายินดี หากได้ยินว่า "พ่อของหนูโดนจับข้อหาฆ่าคนตาย"
เขาหวาดกลัวจนไม่กล้าทำอะไรเลย แต่ด้วยความเมตตาของคริสตศาสนา แซมถูกชักชวนให้ไปที่โบสท์ ตามคำแนะนำของ ภรรยาแล้วเขาก็รู้สึกผิดในสิ่งที่เขาทำ

"สิ่งที่หลวงพ่อกล่าวให้ผมฟังวันนั้น เป็นสิ่งที่ผมได้จำไปจนวันตาย ท่านบอกผมว่า 'พระองค์ได้ให้อภัย ลูกแกะที่หลงผิด พระองค์จะโอบอุ้มความผิดของลูกแกะ และ ล้างมณฑิน เสียสิ้น' ให้ตายสิ ผมรู้สึกเหมือนกับว่า.....ผมเสียเวลากับชีวิตจริงๆ..." แซมกล่าวด้วยความตื้นตัน

หลังจากนั้น เขาได้เริ่มสละตนไปทำความดีทุกชนิด จิตอาสา ช่วยซ่อมบ้านเวลาพายุเข้า เพราะด้วยเหตุว่า มลรัฐที่เขาอยู่มีพายุเฮอริเคนบ่อยมากๆ จนกระทั่ง เขาได้พบกับบาทหลวงจาก ประเทศแอฟริกา บาทหลวงคนนั้น ประจำอยู่ที่ ซูดาน ซึ่ง ณ เวลานั้น มันเต็มไปด้วย ไฟสงครามกลางเมือง เมื่อ แซมทราบถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นั้น เขามีความยินดี ที่จะไปทำประโยชน์ที่นั้น โดยเริ่มจากเขาพร้อมที่จะไปสร้างสิ่งปลูกสร้างที่เป็นประโยชน์ เช่น ศาลาที่พัก เต้นท์ สำหรับการช่วยเหลือ เป็นต้น เขาจึงได้รู้จัก แนวร่วมปกป้องตัวเอง นั้นคือ เดง และ มาร์โค ซึ่งทั้งคู่เป็น แนวร่วมปกกันตนเอง ที่พูดภาษาอังกฤษ ได้ในหมู่แนวร่วมด้วยกันเอง แต่แซมถามลึกเข้าไปว่า ปกกันตนเองจากใคร เขาทั้งคู่ จึงตอบกลับไปว่า "นี้ไม่ใช่สิ่งที่คุณควรรู้หรอก ชาวผิวขาวอย่างคุณจะไปเข้าใจอะไร" ด้วยน้ำโหของนักเลงเก่า จึงสวนกลับไปว่า

"แล้วไง คุณพูดเหมือน คนผิวดำ ถูกพระองค์ทอดทิ้งอย่างงั้นแหละ"

ด้วยคำพูดนี้ ทำให้ เดง และ มาร์โคเกิดศรัทธา ว่าชายผู้นี้ เจ๋งจริง และคิดจะลองด้วยงานแรกที่ แซม จะได้ เขาพาแซมไปที่เขตสงคราม ที่ซูดานเหนือ สิ่งแรกที่ แซมได้พบคือ ผู้คนผิวดำที่บาดเจ็บปางตาย บางถูกซ้อมจนแขนขาหัก บางถูกตัดแขนขา แต่ที่แย่ที่สุดของแซมที่เจอมานั้น แซมบอกว่า

"ผู้ป่วยคนแรกที่ผมจำได้คือ เธอ....ถูกตัดริมฝีปาก เพราะเธอไปต่อปากต่อคำกับพวก LRA พวกมันตัดริมฝีปาก ทั้งล่างบน ผมสัมผัสได้เลยว่า เธอคงจะเจ็บปวดมากๆ....มือของเธอสั่นเทาด้วยความเจ็บปวด และที่แย่กว่านั้น เธอถามหาลูกของเธอ....มันคือความทรมารที่ผมยังไม่กล้าที่จะถามว่า 'คุณโอเคมั๊ย' "

วันที่2 ในนรกซูดานเหนือ ระลอกผู้ได้รับผลกระทบจากการต่อสู่กลางเมืองได้มาถึง เต้นท์ช่วยเหลือ คราวนี้เป็น เด็กผู้หญิงถูกตัดแขนขวา เด็กคนนั้นรำพึงรำพันตลอดทางมาว่า 'หนูผิดอะไร ทำไมต้องทำหนู' ไม่น่าเชื่อ กองกำลัง LRA จะกระทำการอย่างโหดเหี้ยมไม่เว้น ทุกฐานะ แม้กระทั่งเด็ก แซมได้ฟังเรื่องของเดง ว่า ณ ช่วงเวลาที่ไปช่วยผู้บาดเจ็บเหล่านี้ ยังมีการสู้รบกันอยู่ เดงเห็นเด็กคนนึง ถือกระเป๋า บางอย่าง วิ่งมาที่เรา โดยที่เดงนั้น เหนชายกองกำลัง LRA จ่อปืนที่เด็ก แต่เดชะบุญ กระเป๋านั้น กลับระเบิดกลางทาง ทำให้เดงรุ้ว่า LRA ใ้เด็กนั้น เป็น พลระเบิดพลีชีพ

เดงจำได้ว่า ร่างของหนูน้อยถูกฉีกเป็นชิ้นกระจายต่อหน้าต่อตา ภาพนั้นมันทำให้ หัวใจนักรบของเดง ถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา

เรื่องยังไม่จบแค่นั้น ขณะที่ค่ายเด็กคนอื่นกำลังเล่นสนุก กับน้องหมาที่หลงมาจากไหนไม่รู้ เผลอไปเหยียบกับระเบิด เสียงตูม ทำให้แซม รีบบึงไปดู และแน่นอน พระองคืได้พรากหนูน้อยคนนั้นไปเสียแล้ว แซมได้แต่นั่งร้องไห้ กอดซากศพไร้วิญญานของหนูน้อยด้วยความรู้สึกผิด....
ในวันต่อมา แซมได้วางแผนที่จะสร้าง จุดรักษาชั่วคราวเพื่ออย่างน้อย ผู้ที่ได้รับผลกระทบจะได้ ไม่ต้องเดินทางนาน เพียงแค่เขาเริ่มทำได้ไม่กี่สัปดาห์ ไอ้พวก LRA ก็แห่มาทำลาย และเผาที่นั้น ไหม้ไปต่อหน้าต่อตา แซมเกิดความคิดว่า

"แม้พระองค์จะสอนให้ผู้คนรักกัน แต่หากได้มอบความรัก แล้วมีคนมาทำลาย อ้ายอีพวกนั้น มิสมควรมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่!!"

เขาจึงต่อสู้กับ พวก LRA แบบชนิดที่เรียกว่า

"ผอง...ยิงมาไซร้ อ้ายจัญไรกูจะบั่นหัว..."

ตาต่อตา ฟันต่อฟัน แม้จะถูกต่อต้านจาก UN~ ในระยะแรกๆ แต่แซมทนนิ่งดูดายไม่ได้ เขาต่อสู้เรื่อยมา จนครอบครัวแทบจะจำไม่ได้ว่า "มีคนชื่อ แซม ไชลเดอร์ อยู่ในครอบครัวด้วยหรือ?"

จากนั้นให้หลัง แซมจึงเริ่มเขียนหนังสือเกี่ยวชีวิตตนเอง ในชื่อของ Another man's war


โดยเล่าเรื่องราวของเขา ตั้งแต่วัยเด็ก จนถึงปัจจุบัน เรื่องราวเป็นที่โจกาษ์จัน จนดังระเบิด ได้สร้างเป็นภาพยนต์เรื่อง MACHINEGUN PREACHER ตามข้างต้น




ซึ่งภาพยนต์เรื่องนี้ นำแสดงโดย เจอร์ราด บัตเลอร์พระเอกพันธุ์ระห่ำ จาก 300 และ GAMER

การต่อสู้ของเขาเป็นตำนาน มาจนถึงนวนนี้ เขาสามารถสร้างโบสถ์ในสถานที่ ที่มีแต่การสู้รบได้อย่างไร? เขาทนอยู๋กับ คราบเลือดที่มาจากผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องได้อย่างไร?
ผมเชื่อว่าที่แซมอยู่ได้นั้น เพราะความเมตตา และ ศรัทธาในมนุษย์ทุกคน มนุษย์ทุกคนที่ค่า และ มีสิทธิที่จะถูกปกป้องทุกคนเป็นมนุษย์ มีค่าพอท่จะ ใช้ชีวิตต่อไปอย่างไม่มีความหวาดกลัว และ ก้าวเดินไปข้างหน้า อย่างเข้มแข็ง แซมไชลเดอร์หวังไว้อย่างนั้น

"ผมเห็นผู้คนในซูดาน ถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหด เขาและเธอเหล่านั้น ยังมิได้ทำอะไรผิดเลยแม้แต่น้อย และที่สำคัญ พวกเขาถูกพราก ครอบครัวทุกคน ผมมายืนอยู่ ณ ที่นี้ แเพียงแค่บรรเทาให้พวกเขา ให้พวกเขาได้มีความหวัง ผมแค่ช่วยเหลือพวกเขาเท่านั้น คุณลองคิดดู หากคุณกำลัง กินอาหารอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา แล้วปรากฏว่า มีไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้ ทะลึ่วง เอามีดมาไล่ฆ่าทุกคนในครอบครัวคุณ คุณจะรู้สึกอย่างไร ใช่!! แค้น...แต่ผมอยากจะให้พวกเขาหายแค้นโดยนำครอบครัวของพวกเขากลับมา เพื่อที่เขาจะได้กลับมีความสุข ดังเดิม" - แซมไชลเดอร์

https://youtu.be/HX9E_UVObZ8