บ้านอมิตี้วิลล์ สยองขวัญ ผีทวงบ้าน (Amityville House)
โพสท์โดย มารคัส
บ้านอมิตี้วิลล์ สยองขวัญ ผีทวงบ้าน (Amityville House)
วันที่ 13 พฤศจิกายน 1974 สถานีตำรวจซัฟโฟล์คเคาน์ตี้ได้รับโทรศัพท์สยอง ที่นำพวกเขาสู่บ้านเลขที่ 112
โอเชี่ยนอเวนิว ในเอมิตี้วิลล์ ลองไอซ์แลนด์ ภายในบ้านทรงดัตช์โบราณ บรรดาตำรวจพบเหตุอาชญากรรมสุดสยอง
ที่เขย่าขวัญชุมชนแสนสงบแห่งนี้ ครอบครัวหนึ่งถูกสังหารหมู่ บนเตียงแสนสบายของตนเอง ไม่กี่วันถัดมา
โรนัลด์ เดเฟโอ จูเนียร์ ได้รับสารภาพว่า ได้ยิงพ่อแม่และพี่น้องของเขาตายด้วยปืนไรเฟิล ขณะที่พวกเขานอนหลับ
และอ้างว่า "เสียง" ในบ้าน ทำให้เขาก่อเหตุฆาตรกรรมสยองดังกล่าว
1 ปีต่อมา จอร์จ (ไรอัน เรโนลด์) และ แคธี่ ลัทซ์(เมลิสสา จอร์จ) และลูกๆ ได้ย้ายเข้ามาในบ้านที่พวกเขาคิดว่าคือบ้านในฝัน
แต่หลังจากย้ายเข้ามาไม่นาน เหตุการณ์ประหลาดที่ไม่สามารถอธิบายได้ก็เกิดขึ้น นั่นคือ ภาพสยองและเสียงหลอนจากปีศาจ
ที่ยังคงสิงสู่อยู่ในบ้าน
แคธี่ผู้เป็นแม่ พยายามทุกวิถีทางให้ครอบครัวของเธอกลับมาเป็นเหมือนเดิม เมื่อลูกสาว เชลซี (โคล มอเร็ตซ์) พูดคุยกับเพื่อน
ที่มองไม่เห็นชื่อ โจดี้ และจอร์จผู้เป็นห้วหน้าครอบครัวมีพฤติกรรมประหลาด เขาใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนอยู่ในห้องใต้ดิน ที่ซึ่งไม่นาน
เขาได้พบทางสู่ "ห้องแดง" อันลึกลับและน่าขนลุก ด้วยภาพหลอนอันแจ่มชัด และเสียงปีศาจที่ดังก้องอยู่ในหัวของจอร์จ
บ้านทั้งหลังก็กลับกลายมีชีวิต นำไปสู่จุดไคลแม็กซ์อันน่าสะพรึง ดังที่รู้จักกันดีในนาม The Amityville Horror
ครับนี้คือเรื่องจากภาพยนตร์เรื่องผีทวงบ้าน รู้ไหมครับว่าเรื่องบ้านสยองขวัญนี้เป็นเรื่องจริง
เรื่องบ้านอมิตี้วิลล์เป็นเรื่องจริงที่สร้างจากการบันทึกของจอร์จน่ะครับ เขาทำเรื่องนี้เป็นหนังสือออกมาตีพิมพ์ในปี 1977
จนมันดังเป็นพลุแดงจนสร้างเป็นหนังภาพยนตร์ตครั้งแรกในปี 1979 และสร้างอีกหลายภาคในเวลาต่อมา
เรื่องย่อ ๆ มันมีอยู่ว่า...............
เมืองอมิตี้วิลล์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ค.ศ. 1965-1976 บ้านอมิตี้วิลล์ โอเชี่ยนอเวนิว เป็นบ้านทรงดัทซ์ โคโลเนียล
หน้าตาเหมือนโรงนาทรงสูงที่ที่สวยงามมากหลังหนึ่ง และมันมีหน้าต่างสองบานใหญ่คล้ายตาขนาดใหญ่สองตา มันตั้ง
อยู่ทางโค้งแม่น้ำอมิตี้วิลล์ มีเรือนแพริมน้ำ สระน้ำอุ่น โรงจอดรถ 2 คน ห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ และห้องนอน 6 ห้อง
บ้านหลังนี้เป็นบ้านเก่าแก่ มันถูกสร้างตั้งแต่ปี 1924 โดยจอห์น โมนาแฮนและครอบครัวต่อมาย้ายและมีครอบครัวอื่น
มาเช่าต่อกันไปอีก 6 ครอบครัวด้วยกันดูๆ ไปบ้านนี้น่าอยู่อย่างยิ่ง แต่.............................
ค.ศ.1965 โรนัลด์ เดเฟโอและครอบครัว พากันย้ายเข้ามาในบ้านหลังนี้ โรนิลด์ชอบที่นี้มากและติดป้ายท้ายสวนว่า
"สุดยอดแห่งความหวัง(High Hopes)"
ครอบครัวเดเฟโอเป็นครอบครัวที่เคร่งศาสนา และเป็นตัวอย่างที่ดีของครอบครัวที่อยู่ ในระแวกนั้น พวกเขาดูเป็น
ครอบครัวธรรมดามีความสุข ครอบครัวหนึ่ง
พฤศจิกายน ค.ศ. 1965 นางและนายเดเฟโอยังอาศัยบ้านเลขที่ 112 โอเชี่ยนอเวนิว กับลูกถึง 5 คน พวกเขา
น่าจะมีความสุข ถ้าไม่เป็นเพราะรอนนี่ ลูกชายคนโต ทำเรื่องขึ้น รอนนี่เป็นแกะดำของครอบครัว เป็นคนติดยาเสพย์ติด
ขนาดหนักประเภทเฮโรอีน ยาบ้าและยากล่อมประสาท ชอบทำเรื่องเสียๆ หายๆ เขาต้องมีเรื่องขึ้นโรงพักมากกว่า 1 ครั้ง
โดยข้อหาเป็นขโมย แม้ฐานะการเงินในครอบครัวมีกินพอใช้ก็ตาม
ครั้งหนึ่งรอนนี่เคยเอาปืนจ่อหัวพ่อและลั่นไก แต่ว่ากระสุนด้านไปเสียก่อน และต่อมาตอนต้นเดือนเขาถูกสงสัยว่ามีส่วนร่วม
ในการปล้นเงิน 19000 ดอลลาร์และนี้เป็นฟางเส้นสุดท้าย ที่ผู้เป็นพ่อเหลืออด ต้องไล่เขาออกจากบ้าน
13พฤศจิกายน ค.ศ. 1974 รอนนี่ร้องตะโกนในบาร์ "พ่อกับแม่ผมถูกยิง!"
ผู้ชายในบาร์พากันยกพลไปที่บ้านเลขที่ 112 โอเชี่ยนอเวนิว ภายในบ้านทางขวาจะเป็นทางเข้าสู่ห้องนอนขนาดใหญ่
ที่นั้นได้พบร่างของนายโดนัลด์ และนางหลุยส์ เดอฟีโอ อายุ 43 ปี และ 42 ปี ทั้งคู่ถูกยิงในขณะหลับด้วยปืนยาว
ยี่ห้อมาร์ลีน ขนาด 35 มม.
ฝั่งตรงข้ามของห้องนอนเป็นห้องนอนขนาดใหญ่ที่สอง ที่นั้นพบร่างของจอห์น เดฟฟีโอ อายุ 9 ขวบ และมาร์ค เดอฟีโอ
อายุ 11 ขวบ ลูกของโรนิลด์ ทั้งคู่อยู่ในชุดนอน ถูกยิงเข้าที่กลางหลังในระยะประชิด
ส่วนห้องนอนชั้นล่างมีศพของแอลลิสัน เดอฟีโอ อายุ 13 ปี และดอว์น เดอฟีโอ อายุ 18 ปี ทั้งคู่อยู่ในสภาพเดียวกับ
ศพคนอื่นๆ คือนอนคว่ำหน้า และถูกยิงกลางหลัง เหตุการณ์ณ์ทั้งหมดน่าจะเกิดในเวลา 3.16 นาฬิกา
เจ้าหน้าที่พบว่า เหยื่อทั้งหมดถูกวางยาในอาหารมื้อค่ำเมื่อคืนวาน ฆาตกรใช้วิธีนี้ในการฆ่าเขาโดยไม่มีใครรู้
คนที่ทำรื่องเหี้ยมนี้ได้มันจะต้องเป็นคนในครอบครัว ตำรวจพบอาวุธที่ใช้ในการฆาตกรรม รอนนี่ถูกจับกุมใน
ข้อหาฆาตกรรมในครอบครัว 6 ศพ
18 พฤศจิกายน ค.ศ.1974 รอนนี่ เดเฟโอถูกฟ้องข้อหาฆาตกรรมคน 6 คน
กันยายน ค.ศ.1975 รอนนี่ เดเฟโอ ถูกนำตัวมาพิจารณาคดีที่ศาล เป็นการพิจารณาคดีที่ยาวที่สุดเท่าที่เมืองอมิตี้วิลล์
เคยมีมา เขาให้การว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจซ้อมเขาเพื่อให้การรับสารภาพ แต่เขาแสดงความเสียใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
4 ธันวาคม ค.ศ. 1975 ศาลพิพากษาจำคุกรอนนี่ เดเฟโร 150 ปี ผลสุดท้ายรอนนี่ก็เอ่ยปากสารภาพ
"ผม............ได้ยินเสียงกระซิบและเสียงฝีเท้าในบ้าน อยู่ๆ ก็มีมือสีดำยืนปืนให้ผม ผมได้ยินเสียงคนทั้งๆ
ที่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น มันบอกให้ผมฆ่า ในหัวมีแต่เสียงดังเต็มไปหมด"
"มันเพิ่มเริ่มต้น" เขาพูด "แต่แล้วมันก็เกิดขึ้นเร็วมาก ผมหยุดไม่ได้"
18 ธันวาคม ค.ศ.1974 ระหว่างนั้นเอง ครอบครัวใหม่ก็ย้ายเข้ามาอยู่บ้านบ้านเลขที่ 112 โอเชี่ยนอเวนิว จอร์จ
ลัทซ์กับภรรยาแคธลีน และลูกๆ ที่เป็นลูกติดของแคธลีน เป็นเด็กชายสองคนชื่อ คริสและแดนนี่ และเด็กหญิง
อีกหนึ่งคนชื่อเมลิสสา หรือเรียกสั้นๆ ว่า มิสซี่
ครอบครัวลัทซ์รู้เรื่องการฆาตกรรมครอบครัวเดเฟโอ แต่เพราะเหตุนี้นี่เอง พวกเขาจึงซื้อบ้านหลังนี้ได้ด้วยราคาถูก
แสนถูกและเพื่อความสบายใจพวกเขาได้นิมนต์บาทหลวงแฟรงค์ แมนคูโซ มาสวดที่บ้าน
ในขณะที่บาทหลวงแมนคูโซ่เดินพรมน้ำมนต์ไปรอบๆ บ้านนั้นเอง มีเสียงห้าวลูกว่า "ออกไป"
บาทหลวงรู้สึกแปลกใจแต่ก็ไม่นึกกังวล....
สายในวันนั้นเอง รถของบาทหลวงเกือบจะพลิกคว่ำเมื่อฝากระโปรงและประตูรถเปิดออกมาเอง รถสตาร์ทไม่ติด
พอดีมีบาทหลวงท่านหนึ่งผ่านมาช่วย แต่ภายหลังบาทหลวงคนนั้นก็ประสบกับอุบัติเหตุร้ายแรง
จอร์จ ลัทซ์พบว่าเฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่ของครอบครัวผู้ตายถูกนำไปขายอยู่ที่ร้านตั้งแต่การตายหมู่ เขาสนใจ
จะซื้อมันกลับมา บ้านนี้จึงคืนสู่สภาพเดิมเหมือนกับยามเกิดคดีฆาตกรรมสุดสยองครั้งนั้น เขาล่ามโซ่สุนัขไว้ที่
คอกนอกบ้านเพื่อเฝ้าบ้าน เมื่อรัตติกาลมาเยือน จอร์จได้ยินมันหอนโหยหวน มีอะไรบางอย่างที่ทำให้มันตกใจ
กลัวมากเสียจนมันพยายามดิ้นรนออกจากคอก จนโซ่เกือบจะรัดคอมัน จอร์จจึงตัดโซ่ให้สั้นลง
19 ธันวาคม ค.ศ.1974 เมื่อทั้งหมดขึ้นนอนหลับสนิทยกเว้นจอร์จ ลัทซ์ที่ตกใจตื่นเพราะได้ยินเสียงกุกกัก
ดังตอนตีสาม 3.15 น. เวลาเดียวกันที่ครอบครัวเดเฟโอถูกฆ่าบนเตียง จอร์จมองไปที่หน้าต่าง สุนัขตั้งต้นเห่า
อย่างเอาเป็นเอาตาย มันเห่าอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นที่บริเวณเรือนแพ บ้านริมน้ำ จอร์จคิดว่าตัวเองเห็น
คนหายไปในเรือนแพ เมื่อเขาลงไปตรวจสอบดูก็พบว่า ประตูเรือนแพเปิดอ้าอยู่ท่ามกลางลมอันหนาวเหน็บ
ทั้งที่เขาปิดมันก่อนข้าวนอนแล้ว
20 ธันวาคม ค.ศ.1974 ทุกอย่างเริ่มจะไม่ค่อยดีสำหรับครอบครัวลิทซ์เสียแล้ว จอร์จตื่นขึ้นตอนตี 3.15 น.ทุกคืน
เขากลายเป็นคนหงุดหงิด ลงมือลงไม้กับพวกเด็กๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อน เขาหอบฟืนเพื่อให้ตัวอบอุ่น
บ้านร้อนเหมือนเตาอบ แต่จอร์จกลับหนาวเย็นจนเกือบแข็ง
22 ธันวาคม ค.ศ.1974 มีเรื่องแปลกเกิดขึ้นในห้องน้ำ กล่าวคือมันเกิดรอยคราบประหลาดสีดำที่ขัดไม่ออก
มันมีกลิ่นหอมเอียนๆ อบอวล อยู่ในอากาศ จอร์จเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อไล่กลิ่นนั้นออกไป เขาเห็นแมลงวัน
นับร้อยนับพันเกาะอยู่เต็มไปหมด ในขณะที่หน้าต่างบานอื่นใส่สะอาด แต่มีเพียงบานเดียวเท่านั้นที่แมลงวัน
เกาะจนดำมืด มันคือหน้าต่างที่หัวหน้าออกสู่เรือนแพ
คืนนั้นเอง พอเวลาตี 3.15 น. จอร์จก็ตกใจตื่นขึ้นด้วยเสียงดังโครม เขารีบรุดลงไปยังชั้นล่าง แล้วพบว่า
ประตูหน้าบ้านเปิดอ้าห้อยอยู่กับบานพับตัวหนึ่ง
24 ธันวาคม ค.ศ.1974 เป็นวันคริสต์มาส บาทหลวงแมนคูโซ่ป่วยเป็นไข้สูง จอร์จโทรศัพท์ไปหาท่าน
แล้วเริ่มต้นพูดถึงเรื่องลึกลับที่เกิดขึ้น บาทหลวงได้พยายามเตือนจอร์จ แต่สายโทรศัพท์ขาดไปอย่าง
ไม่ทราบสาเหตุ ค่ำวันนั้นเองแมลงวันกลับมาอีกครั้งมันเกาะหน้าต่างบานที่หันไปทางเรือนแพอีก
จอร์จรู้สึกไม่จำเป็นจะต้องไปตรวจดูเรือนแพ ขณะที่หันกลับไปดูบ้านนั้นเอง เขาแลเห็นมิสซี่จ้องมองเขาอยู่ที่หน้าต่าง
เบื้องหลังเด็กหญิงคือหมูตัวหนึ่ง กำลังมองข้ามไหล่ของเธอมา ดวงตาของหมูตัวนั้นมีสีแดงวาว ชายหนุ่มวิ่ง
กลับไปยังห้องนอน แต่แล้วกลับพบว่าเด็กหญิงนอนหลับอยู่
24 ธันวาคม ค.ศ.1974 อีกครั้งจอร์จตื่นข้นในเวลา 3.15 น.แคธี่ ภรรยาของเขานอนเอาแขนหนุนศีรษะ
อยู่ในท่าเดียวกับคนตาย เขาแตะตัวเธอ แล้วเธอก็ตื่นตกใจกรีดร้องออกมา
"เธอถูกยิงที่หัว! คุณนายเดโฟถูกยิงที่หัว! ฉันได้ยินเสียงปืน!"
หลังจากนั้นจอร์จปลอบจนแคธีก็หลับต่อ สุนัขเริ่มต้นเห่า จอร์จเดินไปนอนบ้าน เมื่อเขามองมาที่ห้องนอนของมิสซี่
เขาเห็นเด็กผู้หญิงมิสซี่จ้องมองที่เขา และเบื้องหลังของเธอ มีหมูตัวเดิมจองเขม็งด้วยนัยน์ตาแดงวาว จอร์จรีบเข้า
ไปตรวจห้องของเด็กน้อย พบว่าเธอนอนหลับคว่ำหน้าเอาศีรษะวางบนแขน
คืนวันคริสต์มาส มิสซี่เริ่มคุยถึงเรื่องเพื่อนใหม่ เป็นหมูชื่อโจดี้ แต่พีชายของเธอบอกว่า หมูตัวนั้นเป็นจินตนาการของเธอ
คืนนั้นแคธี่ได้ยินเสียงมิสซี่พูดกับใครบางคนในห้อง
"ลูกพูดกับใครจ๊ะมิสซี่ นางฟ้าหรือจ๊ะ"
"เปล่าค่ะแม่ เพื่อนของหนู โจดี้ค่ะ เด็กน้อยตอบเธอ"
26 ธันวาคม ค.ศ.1974 วันบ็อกซิ่งเดย์ ครอบครัวลัทธ์ค้นพบห้องลับ ซ่อนอยู่ข้างหลังตู้โชว์ ห้องนั้นมีกลิ่นคาว
ชวนคลื่นเหียน มันคือกลิ่นเลือด! ก่อนจะถึงปีใหม่ จอร์จ เริ่มสืบค้นประวัติของบ้านและสถานที่แห่งนี้ สมาคมประวัติศาสตร์
ท้องถิ่นกล่าวว่าบ้านหลังนี้ตั้งอยู่ค่ายสำหรับอินเดียแดง มีทั้งคนป่วย คนบ้า คนใกล้ตาย แต่ไม่มีการฝังคนตายไว้
เพราะที่นี้มีปีศาจชุกชุม
1 มกราคม ค.ศ.1975 แคธี่เห็นร่างปีศาจอยู่ในเปลวไฟที่กำลังลุกโชนอยู่ในเคาผิง เมื่อไฟมอดลงปรากฏเป็นรูปศีรษะ
ทีมีเขาเป็นรอยสีขาวอยู่บนคราบเขม่าที่ปล่องไฟ คืนนั้นลมกรรโชกพัดผ่านเข้ามาในบ้าน มันพัดเอาผ้าคลุมเตียงปลิว
หลุดไปจากเตียงของจอร์จและแคธี่ หน้าต่างบานที่หันหน้าไปทางเรือนแพเปิดออก
2 มกราคม ค.ศ.1975 พบรอยเท้าอยู่บนหิมะบริเดียวกับเรือนแพ เป็นรอยเท้าที่คล้ายกับปีศาจทิ้งเอาไว้
6 มกราคม ค.ศ.1975 จอห์นตื่นขึ้นกลางดึก เขามองภรรยาแต่เธอไม่อยู่ที่นั้น เขาเอื้อมมือไปเปิดไฟ แล้วก็เห็นเธอ
ลอยอยู่บนเตียง..................แต่ใบหน้าเธอกลายเป็นใบหน้าของหญิงชราอายุสัก 90 ปี เขาจับผมเธอดึงลงมา
เธอตื่นขึ้นดูหน้าตัวเองในกระจกแล้วร้องกรีดออกมา เพราะใบหน้านั้นค่อยๆ กลับเป็นปกติ...........
แต่ทว่ามีรอยย่นที่ไม่เคยเห็นปรากฏขึ้นแทน
10 มกราคม ค.ศ. 1975 แคธี่ตื่นขึ้นมาพบว่าตนเองมีริ้วรอย ขีดข่วนเต็มตัว แต่พอถึงตอนค่ำ รอยนั้นกับหายไป
อย่างลึกลับ คำสาปแช่งของวิญญาณในบ้านเริ่มออกฤทธิ์กับด้านอื่นของชีวิตในครอบครัว ธุรกิจของจอร์จกำลัง
ตกต่ำถึงขั้นล้มละลาย
11 มกราคม ค.ศ. 1975 วันนี้เป็นวันที่เลวร้ายที่สุด พายุฝนพัดกระหน่ำพังประตูและหน้าต่างจนแตกเกลื่อน
ขณะที่น้ำฝนไหลเข้านองพื้น พายุพัดต้นไม้ในสวนของบ้านเลขที่ 112 โอเชี่ยนเวนิวล้มลง แต่ต้นไม้อื่นบนถนนนั้น
กลับไม่เป็นอะไร จอร์จกับแคธี่นำสุนัขเข้าบ้าน เพื่อดูว่ามันสังเกตอะไรด้างบ้าง ผลปรากฏว่ามันไม่ยอมเข้าไป
ในห้องของเมลซี่
12 มกราคม ค.ศ. 1975 จอร์จตื่นขึ้นจากฝันร้าย เมื่อตื่นขึ้น เขาตัวสั้นเทา แล้วมิสซี่ร้องเรียกเขา
"พ่อลงมาหาหนูหน่อยสิค่ะ โจดี้อยากคุยกับคุณพ่อ"
"ใครคือโจดี้จ๊ะ"
"โจดี้เป็นเพื่อนหนูค่ะ เป็นหมูตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่คุณพ่อเคยเห็นมาเลยค่ะ"
จอห์นวิ่งเข้าไปในห้อง เขาไม่เห็นหมูสักตัว
"อยู่ตรงนั้นไงค่ะ คุณพ่อ!" มิสซี่ร้องออกมา แล้วชี้ไปที่หน้าต่าง
ดวงตาสีแดงคู่หนึ่งจ้องเข้ามา ไม่มีหมู ไม่มีแม้หน้าตา มีเพียงดวงตาสีแดงคู่นั้น
"นั้นไง โจอี้" เด็กผู้ร้อง "เขาอยากเข้ามา"
แคธี่ก้าวพรวดผ่านตัวจอร์จไป เธอหยิบเก้าอี้ขึ้นแล้วขว้างไปที่หน้าต่าง กระจกแตกกระจาย
มีเสียงร้องโหยหวน เป็นเสียงคล้ายหมูกำลังเจ็บปวด ดวงตาคู่นั้นหายไปแล้ว แต่เมื่อมองผ่าน
กระจกหน้าต่างบานที่แตกไป จะยังได้ยินเสียงร้องโหยหวน มันค่อยๆ แผ่วไปทางเรือนแพ
13 มกราคม ค.ศ. 1975 มิสซี่คุยกับโจดี้ที่ใต้โต๊ะอาหาร
"ใครคือโจอี้น่ะลูก" แคธี่คาดคั้น
"เขาเป็นเทวดาค่ะ" มิสซี่กล่าว "เขาเล่าเรื่องเด็กผู้ชายที่เคยอยู่ห้องหนู เด็กคนนั้นตายแล้วแม่รู้ไหมค่ะ"
ห้องนอนของมิสซี่เคยเป็นห้องของลูกชายคนเล็กของครอบครัวเดเฟโอที่ถูกฆ่าตาย
"โจอี้บอกว่า เขาจะอยู่ที่นี้ต่อไปค่ะ"มิสซี่พูดอย่างภาคภูมิใจ
แต่ความอดทนของครอบครัวลัทซ์หมดลง พวกเขาเชื่อว่ามีบางอย่างอยู่ร่วมบ้านกับพวกเขา
บาทหลวงคูโซ่แนะนำว่า "ปล่อยให้เขาอยู่ในที่ของเขาเถอะ ส่วนพวกลูกๆ จงไปเสีย"
แต่ก่อนพวกเขาจะไป พายุร้ายกลับมาอีกแล้ว บ้านร้อนขึ้นแม้จะปิดเครื่องทำความร้อนก็ตาม
ยกเว้นห้องของมิสซี่ที่เย็นเฉียบ จอร์จเดินไปเปิดหน้าต่าง เขามองไปที่ประตูห้องนั่งเล่น
เห็นอะไรบางอย่างที่เป็นเมือกสีเขียว เจ้าเมือกสีเขียวเริ่มไหลย้อยไปตามขั้นบันได
เขาพยายามหยุดมันโดยใช้ผ้าปิดไว้
14 มกราคม ค.ศ. 1975 จอร์จตื่นนอน เขาเหน็ดเหนื่อยกับการสู้ก้อนเมือกนั้น แต่ต้องตื่นขึ้น
เพราะถูกผีอำ มันขึ้นอยู่บนตัว มีบางอย่างที่เท้าเป็นกีบ พวกเด็กๆ ตื่นขึ้นพร้อมแผดเสียงร้องว่า
มีตัวประหลาดไร้หน้าบุกเข้ามาในห้อง เมื่อจอร์จไปตรวจดู เขาก็พบร่างที่มีผ้าคลุมขนาดใหญ่นั้นอีก
ร่างนั้นขวางทางเขาแล้วชี้มือไปทางชายหนุ่ม จอร์จรวบรวมสติสมาชิกในบ้าน แล้วย้ายออกจากบ้าน
หลังนั้น หลังจากที่ย้ายมาอยู่ได้เพียง 28 วันจอร์จกับครอบครัวย้ายไปบ้านของแม่แคธี่
"หวังว่าเรื่องนี้คงจะสงบได้เสียที"
15 มกราคม ค.ศ. 1975 จอร์จถูกภรรยาปลุกให้ตื่น
"จอร์จค่ะตัวคุณกำลังลอยอยู่เหนือเตียง เราจะต้องออกจากห้องนี้แล้วค่ะ!"
ขณะที่พาเขาลงมาชั้นสองนั้นเอง ทั้งคู่ต้องหยุดชะงัก เมื่อเห็นก้อนเมือกสีเขียว
คืบคลานขึ้นตามขั้นบันได........................
บ้านอมิตี้วิลล์เรื่องจริงหรือมั่วนิ่ม
มีหลายคนสงสัยว่าเรื่องนี้จริงหรือไม่ มันอาจเป็นเรื่องครอบครัวลัทซ์แต่งขึ้นก็ได้เพื่อเรียกร้องความสนใจ
และเพื่อเพิ่มรายได้ อย่าลืมน่ะว่าธุรกิจของจอร์จกำลังล่มจม ต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงที่สนับสนุนกับเรื่องจริง
ที่จับผิดบางประการเกี่ยวกับเรื่องของจอร์จ
อันนี้สนับสนุนว่าเป็นของจริง
• หลังจากที่ครอบครัวลัทซ์ย้ายออกไป ครอบครัวใหม่ก็เข้ามาอยู่แทน ลูกชายเจ้าของบ้านนอน
อยู่ในห้องรอนนี่เดเฟโอ แต่เขาเสียชีวิตลงอย่างน่าเศร้าใจในขณะที่อายุยังน้อย
• เจย์ แอนสันเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งจัดเป็นหนังสือขายดีเล่มหนึ่ง เขาขายเรื่องให้กับ
นักสร้างภาพยนตร์รายหนึ่ง แต่ระหว่างเขียนบทเกิดสิ่งผิดปกติขึ้น
• สุภาพสตรีคนหนึ่งขอยืมต้นฉบับไป 2-3 บท......... บ้านของเธอเกิดระเบิดลุกไหม้ มีสิ่งเดียว
ไม่เสียหายคือ ต้นฉบับ
• ชายคนหนึ่งขับรถโดยวางต้นฉบับไว้ท้ายรถ รถเกิดไหลลงไปคูน้ำลึก หลังจากเจ้าหน้าที่กู้รถในวันถัดมา
มีสิ่งเดียวที่แห้งคือต้นฉบับ
• เมื่อนำเรื่องฉบับสมบูรณ์ส่งโรงพิมพ์ รถเกิดไฟไหม้ และพบว่าน็อตทุกตัวที่เครื่องยนต์หลวมหลุด
• แอนสันมีอาการหายใจวาย
• ลูกชายของแอนสันเสียชีวิตในอุบัติเหตุรถชน
• ช่างภาพมาหาเจย์ที่บ้าน เพื่อถ่ายภาพผู้เขียน แต่ด้วยไม่ทราบสาเหตุ รถเขาเกิดไฟไหม้ทั้งที่จอดเฉยๆ
• แอนสันก้าวมามีชื่อเสียง เขาได้รับเงิน 1 ล้านดอลลาร์ สำหรับหนังสือเรื่องต่อไป หลังจากได้รับเช็คจำนวน
1 ล้านดอลลาร์ไม่นานนัก เขาก็เสียชีวิตด้วยอาการหายใจวาย
• นักข่าวพอล ฮอฟแมนเขียนถึงเรื่องนี้เป็นคนแรก เมื่อมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น เขาเสียชีวิตอีกไม่นาน
จากนั้นด้วยลักษณะอันแปลกประหลาด
• เจมส์ โบรสัน ผู้สวมบทเป็นจอร์จ ลัทซ์อ้างว่าเขาถูกโชคร้ายเล่นงานมาโดยตลอดในทันทีที่เขาเริ่มถ่ายภาพยนต์
วันแรกติดอยู่กับลิฟต์ วันที่สองในขณะที่ถ่ายไปดพียง 1 นาทีเท่านั้นก็สะดุดจนขาแพลง ทำให้บริษัทต้องเสียเงิน
จำนวนมากเพราะความล่าช้าในการถ่ายทำ
• ผู้สร้างภาพยนตร์กลัวว่าเรื่องนี้อาจเป็นจริงจึงไม่กล้าใช้สถานที่จริงในการถ่ายทำ
ในอีกแง่หนึ่งมีคนอีกมากมายโต้แย้งว่า
เรื่องบ้านอมิตี้วิลล์สยองขวัญเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะ..................
• ไม่มีพยานรู้เห็นเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้น นอกจากคนในครอบครัวและบาทหลวงที่ป่วยไข้
• ข้ออ้างที่ว่าบ้านหลังนั้นสร้างอยู่ข้างของชาวอินเดียแดงที่ป่วย เป็นบ้าและใกล้ตาย ไม่เป็นความจริง
เพราะอินเดียแดงเผ่าซินเนอค็อธซึ่งอาศัยอยู่ที่นี้มาก่อนผิวขาวที่จะมาตั้งรกรากบอกว่าไม่เคยมีค่ายที่ว่าอยู่ที่ไหนทั้งสิ้น
• สถาบันไสยศาสตร์แห่งอเมริกาได้รับเชื้อเชิญจากจอร์จ ลัทซ์ แต่เขากลับเลิกนัดหรืออาจเป็นเพราะเขากลัวถูกจับได้
ว่าเป็นเท็จ จนผู้อำนวยการสถาบันต้องมุ่งหน้าไปตรวจสอบบ้านหลังนั้นด้วยตนเอง ผลปรากฏว่าเป็นเรื่องโกหก
(แต่ในขณะนั้นบ้านหลังนี้เป็นที่นิยมสูงมากขึ้นมาก จนไม่มีใครเชื่อว่าเป็นเรื่องโกหก)
• เจ้าของบ้านคนต่อมาคือครอบครัวโครมาร์ตี้ พวกเขานำเรื่องนี้มาเล่นสนุก แม้จะรำคานที่ชาวบ้านคอยจ้องดู(คงหวังดี)
แต่ไม่วายยังจัดงานฮัลโลวีนเพื่อล่อผีมาปรากฏตัว แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
• ล่าสุดการถ่ายทำหนังเรื่องผีทวงบ้านก็ไม่เกิดเหตุประหลาดเกิดขึ้นเช่นกัน
โอเชี่ยนอเวนิว ในเอมิตี้วิลล์ ลองไอซ์แลนด์ ภายในบ้านทรงดัตช์โบราณ บรรดาตำรวจพบเหตุอาชญากรรมสุดสยอง
ที่เขย่าขวัญชุมชนแสนสงบแห่งนี้ ครอบครัวหนึ่งถูกสังหารหมู่ บนเตียงแสนสบายของตนเอง ไม่กี่วันถัดมา
โรนัลด์ เดเฟโอ จูเนียร์ ได้รับสารภาพว่า ได้ยิงพ่อแม่และพี่น้องของเขาตายด้วยปืนไรเฟิล ขณะที่พวกเขานอนหลับ
และอ้างว่า "เสียง" ในบ้าน ทำให้เขาก่อเหตุฆาตรกรรมสยองดังกล่าว
1 ปีต่อมา จอร์จ (ไรอัน เรโนลด์) และ แคธี่ ลัทซ์(เมลิสสา จอร์จ) และลูกๆ ได้ย้ายเข้ามาในบ้านที่พวกเขาคิดว่าคือบ้านในฝัน
แต่หลังจากย้ายเข้ามาไม่นาน เหตุการณ์ประหลาดที่ไม่สามารถอธิบายได้ก็เกิดขึ้น นั่นคือ ภาพสยองและเสียงหลอนจากปีศาจ
ที่ยังคงสิงสู่อยู่ในบ้าน
แคธี่ผู้เป็นแม่ พยายามทุกวิถีทางให้ครอบครัวของเธอกลับมาเป็นเหมือนเดิม เมื่อลูกสาว เชลซี (โคล มอเร็ตซ์) พูดคุยกับเพื่อน
ที่มองไม่เห็นชื่อ โจดี้ และจอร์จผู้เป็นห้วหน้าครอบครัวมีพฤติกรรมประหลาด เขาใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนอยู่ในห้องใต้ดิน ที่ซึ่งไม่นาน
เขาได้พบทางสู่ "ห้องแดง" อันลึกลับและน่าขนลุก ด้วยภาพหลอนอันแจ่มชัด และเสียงปีศาจที่ดังก้องอยู่ในหัวของจอร์จ
บ้านทั้งหลังก็กลับกลายมีชีวิต นำไปสู่จุดไคลแม็กซ์อันน่าสะพรึง ดังที่รู้จักกันดีในนาม The Amityville Horror
ครับนี้คือเรื่องจากภาพยนตร์เรื่องผีทวงบ้าน รู้ไหมครับว่าเรื่องบ้านสยองขวัญนี้เป็นเรื่องจริง
เรื่องบ้านอมิตี้วิลล์เป็นเรื่องจริงที่สร้างจากการบันทึกของจอร์จน่ะครับ เขาทำเรื่องนี้เป็นหนังสือออกมาตีพิมพ์ในปี 1977
จนมันดังเป็นพลุแดงจนสร้างเป็นหนังภาพยนตร์ตครั้งแรกในปี 1979 และสร้างอีกหลายภาคในเวลาต่อมา
เรื่องย่อ ๆ มันมีอยู่ว่า...............
เมืองอมิตี้วิลล์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ค.ศ. 1965-1976 บ้านอมิตี้วิลล์ โอเชี่ยนอเวนิว เป็นบ้านทรงดัทซ์ โคโลเนียล
หน้าตาเหมือนโรงนาทรงสูงที่ที่สวยงามมากหลังหนึ่ง และมันมีหน้าต่างสองบานใหญ่คล้ายตาขนาดใหญ่สองตา มันตั้ง
อยู่ทางโค้งแม่น้ำอมิตี้วิลล์ มีเรือนแพริมน้ำ สระน้ำอุ่น โรงจอดรถ 2 คน ห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ และห้องนอน 6 ห้อง
บ้านหลังนี้เป็นบ้านเก่าแก่ มันถูกสร้างตั้งแต่ปี 1924 โดยจอห์น โมนาแฮนและครอบครัวต่อมาย้ายและมีครอบครัวอื่น
มาเช่าต่อกันไปอีก 6 ครอบครัวด้วยกันดูๆ ไปบ้านนี้น่าอยู่อย่างยิ่ง แต่.............................
ค.ศ.1965 โรนัลด์ เดเฟโอและครอบครัว พากันย้ายเข้ามาในบ้านหลังนี้ โรนิลด์ชอบที่นี้มากและติดป้ายท้ายสวนว่า
"สุดยอดแห่งความหวัง(High Hopes)"
ครอบครัวเดเฟโอเป็นครอบครัวที่เคร่งศาสนา และเป็นตัวอย่างที่ดีของครอบครัวที่อยู่ ในระแวกนั้น พวกเขาดูเป็น
ครอบครัวธรรมดามีความสุข ครอบครัวหนึ่ง
พฤศจิกายน ค.ศ. 1965 นางและนายเดเฟโอยังอาศัยบ้านเลขที่ 112 โอเชี่ยนอเวนิว กับลูกถึง 5 คน พวกเขา
น่าจะมีความสุข ถ้าไม่เป็นเพราะรอนนี่ ลูกชายคนโต ทำเรื่องขึ้น รอนนี่เป็นแกะดำของครอบครัว เป็นคนติดยาเสพย์ติด
ขนาดหนักประเภทเฮโรอีน ยาบ้าและยากล่อมประสาท ชอบทำเรื่องเสียๆ หายๆ เขาต้องมีเรื่องขึ้นโรงพักมากกว่า 1 ครั้ง
โดยข้อหาเป็นขโมย แม้ฐานะการเงินในครอบครัวมีกินพอใช้ก็ตาม
ครั้งหนึ่งรอนนี่เคยเอาปืนจ่อหัวพ่อและลั่นไก แต่ว่ากระสุนด้านไปเสียก่อน และต่อมาตอนต้นเดือนเขาถูกสงสัยว่ามีส่วนร่วม
ในการปล้นเงิน 19000 ดอลลาร์และนี้เป็นฟางเส้นสุดท้าย ที่ผู้เป็นพ่อเหลืออด ต้องไล่เขาออกจากบ้าน
13พฤศจิกายน ค.ศ. 1974 รอนนี่ร้องตะโกนในบาร์ "พ่อกับแม่ผมถูกยิง!"
ผู้ชายในบาร์พากันยกพลไปที่บ้านเลขที่ 112 โอเชี่ยนอเวนิว ภายในบ้านทางขวาจะเป็นทางเข้าสู่ห้องนอนขนาดใหญ่
ที่นั้นได้พบร่างของนายโดนัลด์ และนางหลุยส์ เดอฟีโอ อายุ 43 ปี และ 42 ปี ทั้งคู่ถูกยิงในขณะหลับด้วยปืนยาว
ยี่ห้อมาร์ลีน ขนาด 35 มม.
ฝั่งตรงข้ามของห้องนอนเป็นห้องนอนขนาดใหญ่ที่สอง ที่นั้นพบร่างของจอห์น เดฟฟีโอ อายุ 9 ขวบ และมาร์ค เดอฟีโอ
อายุ 11 ขวบ ลูกของโรนิลด์ ทั้งคู่อยู่ในชุดนอน ถูกยิงเข้าที่กลางหลังในระยะประชิด
ส่วนห้องนอนชั้นล่างมีศพของแอลลิสัน เดอฟีโอ อายุ 13 ปี และดอว์น เดอฟีโอ อายุ 18 ปี ทั้งคู่อยู่ในสภาพเดียวกับ
ศพคนอื่นๆ คือนอนคว่ำหน้า และถูกยิงกลางหลัง เหตุการณ์ณ์ทั้งหมดน่าจะเกิดในเวลา 3.16 นาฬิกา
เจ้าหน้าที่พบว่า เหยื่อทั้งหมดถูกวางยาในอาหารมื้อค่ำเมื่อคืนวาน ฆาตกรใช้วิธีนี้ในการฆ่าเขาโดยไม่มีใครรู้
คนที่ทำรื่องเหี้ยมนี้ได้มันจะต้องเป็นคนในครอบครัว ตำรวจพบอาวุธที่ใช้ในการฆาตกรรม รอนนี่ถูกจับกุมใน
ข้อหาฆาตกรรมในครอบครัว 6 ศพ
18 พฤศจิกายน ค.ศ.1974 รอนนี่ เดเฟโอถูกฟ้องข้อหาฆาตกรรมคน 6 คน
กันยายน ค.ศ.1975 รอนนี่ เดเฟโอ ถูกนำตัวมาพิจารณาคดีที่ศาล เป็นการพิจารณาคดีที่ยาวที่สุดเท่าที่เมืองอมิตี้วิลล์
เคยมีมา เขาให้การว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจซ้อมเขาเพื่อให้การรับสารภาพ แต่เขาแสดงความเสียใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
4 ธันวาคม ค.ศ. 1975 ศาลพิพากษาจำคุกรอนนี่ เดเฟโร 150 ปี ผลสุดท้ายรอนนี่ก็เอ่ยปากสารภาพ
"ผม............ได้ยินเสียงกระซิบและเสียงฝีเท้าในบ้าน อยู่ๆ ก็มีมือสีดำยืนปืนให้ผม ผมได้ยินเสียงคนทั้งๆ
ที่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น มันบอกให้ผมฆ่า ในหัวมีแต่เสียงดังเต็มไปหมด"
"มันเพิ่มเริ่มต้น" เขาพูด "แต่แล้วมันก็เกิดขึ้นเร็วมาก ผมหยุดไม่ได้"
18 ธันวาคม ค.ศ.1974 ระหว่างนั้นเอง ครอบครัวใหม่ก็ย้ายเข้ามาอยู่บ้านบ้านเลขที่ 112 โอเชี่ยนอเวนิว จอร์จ
ลัทซ์กับภรรยาแคธลีน และลูกๆ ที่เป็นลูกติดของแคธลีน เป็นเด็กชายสองคนชื่อ คริสและแดนนี่ และเด็กหญิง
อีกหนึ่งคนชื่อเมลิสสา หรือเรียกสั้นๆ ว่า มิสซี่
ครอบครัวลัทซ์รู้เรื่องการฆาตกรรมครอบครัวเดเฟโอ แต่เพราะเหตุนี้นี่เอง พวกเขาจึงซื้อบ้านหลังนี้ได้ด้วยราคาถูก
แสนถูกและเพื่อความสบายใจพวกเขาได้นิมนต์บาทหลวงแฟรงค์ แมนคูโซ มาสวดที่บ้าน
ในขณะที่บาทหลวงแมนคูโซ่เดินพรมน้ำมนต์ไปรอบๆ บ้านนั้นเอง มีเสียงห้าวลูกว่า "ออกไป"
บาทหลวงรู้สึกแปลกใจแต่ก็ไม่นึกกังวล....
สายในวันนั้นเอง รถของบาทหลวงเกือบจะพลิกคว่ำเมื่อฝากระโปรงและประตูรถเปิดออกมาเอง รถสตาร์ทไม่ติด
พอดีมีบาทหลวงท่านหนึ่งผ่านมาช่วย แต่ภายหลังบาทหลวงคนนั้นก็ประสบกับอุบัติเหตุร้ายแรง
จอร์จ ลัทซ์พบว่าเฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่ของครอบครัวผู้ตายถูกนำไปขายอยู่ที่ร้านตั้งแต่การตายหมู่ เขาสนใจ
จะซื้อมันกลับมา บ้านนี้จึงคืนสู่สภาพเดิมเหมือนกับยามเกิดคดีฆาตกรรมสุดสยองครั้งนั้น เขาล่ามโซ่สุนัขไว้ที่
คอกนอกบ้านเพื่อเฝ้าบ้าน เมื่อรัตติกาลมาเยือน จอร์จได้ยินมันหอนโหยหวน มีอะไรบางอย่างที่ทำให้มันตกใจ
กลัวมากเสียจนมันพยายามดิ้นรนออกจากคอก จนโซ่เกือบจะรัดคอมัน จอร์จจึงตัดโซ่ให้สั้นลง
19 ธันวาคม ค.ศ.1974 เมื่อทั้งหมดขึ้นนอนหลับสนิทยกเว้นจอร์จ ลัทซ์ที่ตกใจตื่นเพราะได้ยินเสียงกุกกัก
ดังตอนตีสาม 3.15 น. เวลาเดียวกันที่ครอบครัวเดเฟโอถูกฆ่าบนเตียง จอร์จมองไปที่หน้าต่าง สุนัขตั้งต้นเห่า
อย่างเอาเป็นเอาตาย มันเห่าอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นที่บริเวณเรือนแพ บ้านริมน้ำ จอร์จคิดว่าตัวเองเห็น
คนหายไปในเรือนแพ เมื่อเขาลงไปตรวจสอบดูก็พบว่า ประตูเรือนแพเปิดอ้าอยู่ท่ามกลางลมอันหนาวเหน็บ
ทั้งที่เขาปิดมันก่อนข้าวนอนแล้ว
20 ธันวาคม ค.ศ.1974 ทุกอย่างเริ่มจะไม่ค่อยดีสำหรับครอบครัวลิทซ์เสียแล้ว จอร์จตื่นขึ้นตอนตี 3.15 น.ทุกคืน
เขากลายเป็นคนหงุดหงิด ลงมือลงไม้กับพวกเด็กๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อน เขาหอบฟืนเพื่อให้ตัวอบอุ่น
บ้านร้อนเหมือนเตาอบ แต่จอร์จกลับหนาวเย็นจนเกือบแข็ง
22 ธันวาคม ค.ศ.1974 มีเรื่องแปลกเกิดขึ้นในห้องน้ำ กล่าวคือมันเกิดรอยคราบประหลาดสีดำที่ขัดไม่ออก
มันมีกลิ่นหอมเอียนๆ อบอวล อยู่ในอากาศ จอร์จเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อไล่กลิ่นนั้นออกไป เขาเห็นแมลงวัน
นับร้อยนับพันเกาะอยู่เต็มไปหมด ในขณะที่หน้าต่างบานอื่นใส่สะอาด แต่มีเพียงบานเดียวเท่านั้นที่แมลงวัน
เกาะจนดำมืด มันคือหน้าต่างที่หัวหน้าออกสู่เรือนแพ
คืนนั้นเอง พอเวลาตี 3.15 น. จอร์จก็ตกใจตื่นขึ้นด้วยเสียงดังโครม เขารีบรุดลงไปยังชั้นล่าง แล้วพบว่า
ประตูหน้าบ้านเปิดอ้าห้อยอยู่กับบานพับตัวหนึ่ง
24 ธันวาคม ค.ศ.1974 เป็นวันคริสต์มาส บาทหลวงแมนคูโซ่ป่วยเป็นไข้สูง จอร์จโทรศัพท์ไปหาท่าน
แล้วเริ่มต้นพูดถึงเรื่องลึกลับที่เกิดขึ้น บาทหลวงได้พยายามเตือนจอร์จ แต่สายโทรศัพท์ขาดไปอย่าง
ไม่ทราบสาเหตุ ค่ำวันนั้นเองแมลงวันกลับมาอีกครั้งมันเกาะหน้าต่างบานที่หันไปทางเรือนแพอีก
จอร์จรู้สึกไม่จำเป็นจะต้องไปตรวจดูเรือนแพ ขณะที่หันกลับไปดูบ้านนั้นเอง เขาแลเห็นมิสซี่จ้องมองเขาอยู่ที่หน้าต่าง
เบื้องหลังเด็กหญิงคือหมูตัวหนึ่ง กำลังมองข้ามไหล่ของเธอมา ดวงตาของหมูตัวนั้นมีสีแดงวาว ชายหนุ่มวิ่ง
กลับไปยังห้องนอน แต่แล้วกลับพบว่าเด็กหญิงนอนหลับอยู่
24 ธันวาคม ค.ศ.1974 อีกครั้งจอร์จตื่นข้นในเวลา 3.15 น.แคธี่ ภรรยาของเขานอนเอาแขนหนุนศีรษะ
อยู่ในท่าเดียวกับคนตาย เขาแตะตัวเธอ แล้วเธอก็ตื่นตกใจกรีดร้องออกมา
"เธอถูกยิงที่หัว! คุณนายเดโฟถูกยิงที่หัว! ฉันได้ยินเสียงปืน!"
หลังจากนั้นจอร์จปลอบจนแคธีก็หลับต่อ สุนัขเริ่มต้นเห่า จอร์จเดินไปนอนบ้าน เมื่อเขามองมาที่ห้องนอนของมิสซี่
เขาเห็นเด็กผู้หญิงมิสซี่จ้องมองที่เขา และเบื้องหลังของเธอ มีหมูตัวเดิมจองเขม็งด้วยนัยน์ตาแดงวาว จอร์จรีบเข้า
ไปตรวจห้องของเด็กน้อย พบว่าเธอนอนหลับคว่ำหน้าเอาศีรษะวางบนแขน
คืนวันคริสต์มาส มิสซี่เริ่มคุยถึงเรื่องเพื่อนใหม่ เป็นหมูชื่อโจดี้ แต่พีชายของเธอบอกว่า หมูตัวนั้นเป็นจินตนาการของเธอ
คืนนั้นแคธี่ได้ยินเสียงมิสซี่พูดกับใครบางคนในห้อง
"ลูกพูดกับใครจ๊ะมิสซี่ นางฟ้าหรือจ๊ะ"
"เปล่าค่ะแม่ เพื่อนของหนู โจดี้ค่ะ เด็กน้อยตอบเธอ"
26 ธันวาคม ค.ศ.1974 วันบ็อกซิ่งเดย์ ครอบครัวลัทธ์ค้นพบห้องลับ ซ่อนอยู่ข้างหลังตู้โชว์ ห้องนั้นมีกลิ่นคาว
ชวนคลื่นเหียน มันคือกลิ่นเลือด! ก่อนจะถึงปีใหม่ จอร์จ เริ่มสืบค้นประวัติของบ้านและสถานที่แห่งนี้ สมาคมประวัติศาสตร์
ท้องถิ่นกล่าวว่าบ้านหลังนี้ตั้งอยู่ค่ายสำหรับอินเดียแดง มีทั้งคนป่วย คนบ้า คนใกล้ตาย แต่ไม่มีการฝังคนตายไว้
เพราะที่นี้มีปีศาจชุกชุม
1 มกราคม ค.ศ.1975 แคธี่เห็นร่างปีศาจอยู่ในเปลวไฟที่กำลังลุกโชนอยู่ในเคาผิง เมื่อไฟมอดลงปรากฏเป็นรูปศีรษะ
ทีมีเขาเป็นรอยสีขาวอยู่บนคราบเขม่าที่ปล่องไฟ คืนนั้นลมกรรโชกพัดผ่านเข้ามาในบ้าน มันพัดเอาผ้าคลุมเตียงปลิว
หลุดไปจากเตียงของจอร์จและแคธี่ หน้าต่างบานที่หันหน้าไปทางเรือนแพเปิดออก
2 มกราคม ค.ศ.1975 พบรอยเท้าอยู่บนหิมะบริเดียวกับเรือนแพ เป็นรอยเท้าที่คล้ายกับปีศาจทิ้งเอาไว้
6 มกราคม ค.ศ.1975 จอห์นตื่นขึ้นกลางดึก เขามองภรรยาแต่เธอไม่อยู่ที่นั้น เขาเอื้อมมือไปเปิดไฟ แล้วก็เห็นเธอ
ลอยอยู่บนเตียง..................แต่ใบหน้าเธอกลายเป็นใบหน้าของหญิงชราอายุสัก 90 ปี เขาจับผมเธอดึงลงมา
เธอตื่นขึ้นดูหน้าตัวเองในกระจกแล้วร้องกรีดออกมา เพราะใบหน้านั้นค่อยๆ กลับเป็นปกติ...........
แต่ทว่ามีรอยย่นที่ไม่เคยเห็นปรากฏขึ้นแทน
10 มกราคม ค.ศ. 1975 แคธี่ตื่นขึ้นมาพบว่าตนเองมีริ้วรอย ขีดข่วนเต็มตัว แต่พอถึงตอนค่ำ รอยนั้นกับหายไป
อย่างลึกลับ คำสาปแช่งของวิญญาณในบ้านเริ่มออกฤทธิ์กับด้านอื่นของชีวิตในครอบครัว ธุรกิจของจอร์จกำลัง
ตกต่ำถึงขั้นล้มละลาย
11 มกราคม ค.ศ. 1975 วันนี้เป็นวันที่เลวร้ายที่สุด พายุฝนพัดกระหน่ำพังประตูและหน้าต่างจนแตกเกลื่อน
ขณะที่น้ำฝนไหลเข้านองพื้น พายุพัดต้นไม้ในสวนของบ้านเลขที่ 112 โอเชี่ยนเวนิวล้มลง แต่ต้นไม้อื่นบนถนนนั้น
กลับไม่เป็นอะไร จอร์จกับแคธี่นำสุนัขเข้าบ้าน เพื่อดูว่ามันสังเกตอะไรด้างบ้าง ผลปรากฏว่ามันไม่ยอมเข้าไป
ในห้องของเมลซี่
12 มกราคม ค.ศ. 1975 จอร์จตื่นขึ้นจากฝันร้าย เมื่อตื่นขึ้น เขาตัวสั้นเทา แล้วมิสซี่ร้องเรียกเขา
"พ่อลงมาหาหนูหน่อยสิค่ะ โจดี้อยากคุยกับคุณพ่อ"
"ใครคือโจดี้จ๊ะ"
"โจดี้เป็นเพื่อนหนูค่ะ เป็นหมูตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่คุณพ่อเคยเห็นมาเลยค่ะ"
จอห์นวิ่งเข้าไปในห้อง เขาไม่เห็นหมูสักตัว
"อยู่ตรงนั้นไงค่ะ คุณพ่อ!" มิสซี่ร้องออกมา แล้วชี้ไปที่หน้าต่าง
ดวงตาสีแดงคู่หนึ่งจ้องเข้ามา ไม่มีหมู ไม่มีแม้หน้าตา มีเพียงดวงตาสีแดงคู่นั้น
"นั้นไง โจอี้" เด็กผู้ร้อง "เขาอยากเข้ามา"
แคธี่ก้าวพรวดผ่านตัวจอร์จไป เธอหยิบเก้าอี้ขึ้นแล้วขว้างไปที่หน้าต่าง กระจกแตกกระจาย
มีเสียงร้องโหยหวน เป็นเสียงคล้ายหมูกำลังเจ็บปวด ดวงตาคู่นั้นหายไปแล้ว แต่เมื่อมองผ่าน
กระจกหน้าต่างบานที่แตกไป จะยังได้ยินเสียงร้องโหยหวน มันค่อยๆ แผ่วไปทางเรือนแพ
13 มกราคม ค.ศ. 1975 มิสซี่คุยกับโจดี้ที่ใต้โต๊ะอาหาร
"ใครคือโจอี้น่ะลูก" แคธี่คาดคั้น
"เขาเป็นเทวดาค่ะ" มิสซี่กล่าว "เขาเล่าเรื่องเด็กผู้ชายที่เคยอยู่ห้องหนู เด็กคนนั้นตายแล้วแม่รู้ไหมค่ะ"
ห้องนอนของมิสซี่เคยเป็นห้องของลูกชายคนเล็กของครอบครัวเดเฟโอที่ถูกฆ่าตาย
"โจอี้บอกว่า เขาจะอยู่ที่นี้ต่อไปค่ะ"มิสซี่พูดอย่างภาคภูมิใจ
แต่ความอดทนของครอบครัวลัทซ์หมดลง พวกเขาเชื่อว่ามีบางอย่างอยู่ร่วมบ้านกับพวกเขา
บาทหลวงคูโซ่แนะนำว่า "ปล่อยให้เขาอยู่ในที่ของเขาเถอะ ส่วนพวกลูกๆ จงไปเสีย"
แต่ก่อนพวกเขาจะไป พายุร้ายกลับมาอีกแล้ว บ้านร้อนขึ้นแม้จะปิดเครื่องทำความร้อนก็ตาม
ยกเว้นห้องของมิสซี่ที่เย็นเฉียบ จอร์จเดินไปเปิดหน้าต่าง เขามองไปที่ประตูห้องนั่งเล่น
เห็นอะไรบางอย่างที่เป็นเมือกสีเขียว เจ้าเมือกสีเขียวเริ่มไหลย้อยไปตามขั้นบันได
เขาพยายามหยุดมันโดยใช้ผ้าปิดไว้
14 มกราคม ค.ศ. 1975 จอร์จตื่นนอน เขาเหน็ดเหนื่อยกับการสู้ก้อนเมือกนั้น แต่ต้องตื่นขึ้น
เพราะถูกผีอำ มันขึ้นอยู่บนตัว มีบางอย่างที่เท้าเป็นกีบ พวกเด็กๆ ตื่นขึ้นพร้อมแผดเสียงร้องว่า
มีตัวประหลาดไร้หน้าบุกเข้ามาในห้อง เมื่อจอร์จไปตรวจดู เขาก็พบร่างที่มีผ้าคลุมขนาดใหญ่นั้นอีก
ร่างนั้นขวางทางเขาแล้วชี้มือไปทางชายหนุ่ม จอร์จรวบรวมสติสมาชิกในบ้าน แล้วย้ายออกจากบ้าน
หลังนั้น หลังจากที่ย้ายมาอยู่ได้เพียง 28 วันจอร์จกับครอบครัวย้ายไปบ้านของแม่แคธี่
"หวังว่าเรื่องนี้คงจะสงบได้เสียที"
15 มกราคม ค.ศ. 1975 จอร์จถูกภรรยาปลุกให้ตื่น
"จอร์จค่ะตัวคุณกำลังลอยอยู่เหนือเตียง เราจะต้องออกจากห้องนี้แล้วค่ะ!"
ขณะที่พาเขาลงมาชั้นสองนั้นเอง ทั้งคู่ต้องหยุดชะงัก เมื่อเห็นก้อนเมือกสีเขียว
คืบคลานขึ้นตามขั้นบันได........................
บ้านอมิตี้วิลล์เรื่องจริงหรือมั่วนิ่ม
มีหลายคนสงสัยว่าเรื่องนี้จริงหรือไม่ มันอาจเป็นเรื่องครอบครัวลัทซ์แต่งขึ้นก็ได้เพื่อเรียกร้องความสนใจ
และเพื่อเพิ่มรายได้ อย่าลืมน่ะว่าธุรกิจของจอร์จกำลังล่มจม ต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงที่สนับสนุนกับเรื่องจริง
ที่จับผิดบางประการเกี่ยวกับเรื่องของจอร์จ
อันนี้สนับสนุนว่าเป็นของจริง
• หลังจากที่ครอบครัวลัทซ์ย้ายออกไป ครอบครัวใหม่ก็เข้ามาอยู่แทน ลูกชายเจ้าของบ้านนอน
อยู่ในห้องรอนนี่เดเฟโอ แต่เขาเสียชีวิตลงอย่างน่าเศร้าใจในขณะที่อายุยังน้อย
• เจย์ แอนสันเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งจัดเป็นหนังสือขายดีเล่มหนึ่ง เขาขายเรื่องให้กับ
นักสร้างภาพยนตร์รายหนึ่ง แต่ระหว่างเขียนบทเกิดสิ่งผิดปกติขึ้น
• สุภาพสตรีคนหนึ่งขอยืมต้นฉบับไป 2-3 บท......... บ้านของเธอเกิดระเบิดลุกไหม้ มีสิ่งเดียว
ไม่เสียหายคือ ต้นฉบับ
• ชายคนหนึ่งขับรถโดยวางต้นฉบับไว้ท้ายรถ รถเกิดไหลลงไปคูน้ำลึก หลังจากเจ้าหน้าที่กู้รถในวันถัดมา
มีสิ่งเดียวที่แห้งคือต้นฉบับ
• เมื่อนำเรื่องฉบับสมบูรณ์ส่งโรงพิมพ์ รถเกิดไฟไหม้ และพบว่าน็อตทุกตัวที่เครื่องยนต์หลวมหลุด
• แอนสันมีอาการหายใจวาย
• ลูกชายของแอนสันเสียชีวิตในอุบัติเหตุรถชน
• ช่างภาพมาหาเจย์ที่บ้าน เพื่อถ่ายภาพผู้เขียน แต่ด้วยไม่ทราบสาเหตุ รถเขาเกิดไฟไหม้ทั้งที่จอดเฉยๆ
• แอนสันก้าวมามีชื่อเสียง เขาได้รับเงิน 1 ล้านดอลลาร์ สำหรับหนังสือเรื่องต่อไป หลังจากได้รับเช็คจำนวน
1 ล้านดอลลาร์ไม่นานนัก เขาก็เสียชีวิตด้วยอาการหายใจวาย
• นักข่าวพอล ฮอฟแมนเขียนถึงเรื่องนี้เป็นคนแรก เมื่อมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น เขาเสียชีวิตอีกไม่นาน
จากนั้นด้วยลักษณะอันแปลกประหลาด
• เจมส์ โบรสัน ผู้สวมบทเป็นจอร์จ ลัทซ์อ้างว่าเขาถูกโชคร้ายเล่นงานมาโดยตลอดในทันทีที่เขาเริ่มถ่ายภาพยนต์
วันแรกติดอยู่กับลิฟต์ วันที่สองในขณะที่ถ่ายไปดพียง 1 นาทีเท่านั้นก็สะดุดจนขาแพลง ทำให้บริษัทต้องเสียเงิน
จำนวนมากเพราะความล่าช้าในการถ่ายทำ
• ผู้สร้างภาพยนตร์กลัวว่าเรื่องนี้อาจเป็นจริงจึงไม่กล้าใช้สถานที่จริงในการถ่ายทำ
ในอีกแง่หนึ่งมีคนอีกมากมายโต้แย้งว่า
เรื่องบ้านอมิตี้วิลล์สยองขวัญเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะ..................
• ไม่มีพยานรู้เห็นเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้น นอกจากคนในครอบครัวและบาทหลวงที่ป่วยไข้
• ข้ออ้างที่ว่าบ้านหลังนั้นสร้างอยู่ข้างของชาวอินเดียแดงที่ป่วย เป็นบ้าและใกล้ตาย ไม่เป็นความจริง
เพราะอินเดียแดงเผ่าซินเนอค็อธซึ่งอาศัยอยู่ที่นี้มาก่อนผิวขาวที่จะมาตั้งรกรากบอกว่าไม่เคยมีค่ายที่ว่าอยู่ที่ไหนทั้งสิ้น
• สถาบันไสยศาสตร์แห่งอเมริกาได้รับเชื้อเชิญจากจอร์จ ลัทซ์ แต่เขากลับเลิกนัดหรืออาจเป็นเพราะเขากลัวถูกจับได้
ว่าเป็นเท็จ จนผู้อำนวยการสถาบันต้องมุ่งหน้าไปตรวจสอบบ้านหลังนั้นด้วยตนเอง ผลปรากฏว่าเป็นเรื่องโกหก
(แต่ในขณะนั้นบ้านหลังนี้เป็นที่นิยมสูงมากขึ้นมาก จนไม่มีใครเชื่อว่าเป็นเรื่องโกหก)
• เจ้าของบ้านคนต่อมาคือครอบครัวโครมาร์ตี้ พวกเขานำเรื่องนี้มาเล่นสนุก แม้จะรำคานที่ชาวบ้านคอยจ้องดู(คงหวังดี)
แต่ไม่วายยังจัดงานฮัลโลวีนเพื่อล่อผีมาปรากฏตัว แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
• ล่าสุดการถ่ายทำหนังเรื่องผีทวงบ้านก็ไม่เกิดเหตุประหลาดเกิดขึ้นเช่นกัน
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
12 VOTES (4/5 จาก 3 คน)
VOTED: zerotype, แมวฮั่ว แมวขี้น้อยใจ
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ส่องดีกรี! ทนายเมย์ ดาวใหม่แห่งโหนกระแส ฝีมือไม่ธรรมดาอั้น ภาณุพงศ์ ซัดเดือด! แบงค์ เลสเตอร์ ถูกใช้เป็นเหยื่อเศษเงินคนรวยเส้นดำๆ หลังกุ้งคืออะไร? กินได้ไหม?ชันสูตรศพแบงค์ เลสเตอร์ ทางทีมแพทย์และเจ้าหน้าที่ตำรวจ มุ่งไปที่ภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษชบา 🌺 ดูกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ มากี่ลุคก็น่ามอง พัฒนาตัวเองมาตลอด 🤍พบแล้ว! นักศึกษาและอาจารย์ ม.มหิดล หลงป่าในอุทยานแห่งชาติไทรโยค กาญจนบุรี"เห็ดลูกพีชย่น" ความงามที่ซ่อนเร้นในป่าสอบพยาน 5 ปาก คลี่คดีแบงค์ เลสเตอร์ยืนยันไม่เคยจ้างดื่มโชว์คิดละภัยเวรขณะถูกเบียดเบียน จะค่อยๆห่างจากภัยเวรDeath Clock แอปพลิเคชันที่คาดการณ์วันตายด้วย AI10 เรื่องลับที่คุณอาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับ BMW!!ใบเตย ดีเจแมน โผลกอดกันเมื่อทราบข่าวศาลยกฟ้องคดี Forex-3DHot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
อั้น ภาณุพงศ์ ซัดเดือด! แบงค์ เลสเตอร์ ถูกใช้เป็นเหยื่อเศษเงินคนรวยโรคชอบเก็บสะสมสิ่งของ (Hoarding Disorder)10 ข้อควรรู้ ก่อนมาไทย ยูทูปเบอร์สายฮาเตือน ชีวิตจะง่ายขึ้นเยอะถ้าทำตามนี้"เห็ดลูกพีชย่น" ความงามที่ซ่อนเร้นในป่ากทม.ประกาศ จำกัดความเร็วรถยนต์ เหลือ 60 กม./ชม.แล้ว!!