หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

Fred and Rose West บ้านสยองขวัญกลางกรุง

โพสท์โดย SpiderMeaw
“นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมชีวิตในการแต่งงานของพวกเราถึงราบรื่นดี เพียงเพราะโรสไม่เคยใส่ใจชีวิตเปลี่ยว
และการใช้ชีวิตของผม ผมสามารถทำสิ่งที่ผมต้องการ และเธอก็รู้สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด”

คำให้การของเฟร็ดหลังจากจับกุม



 
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1994 วันนี้ถือว่าเป็นจุดสิ้นสุดของฝันร้ายที่เกิดขึ้นในบ้านสามชั้น เลขที่ 25 ถนนครอมเวลล์ กลางเมืองโกสเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ที่ได้รับการเปิดเผยจนโลกต้องตกตะลึ่งกลับสิ่งที่ซุกซ่อนอย่างข้างใน

บ่ายวันนั้นตำรวจได้มาหาเจ้าของบ้าน ซึ่งบ้านนั้นเป็นของ เฟร็ด หรือเฟรเดอริค เวสต์ ได้แทนที่เขาจะพบเจ้าของบ้าน เขากลับพบโรส แมรี่ เวสต์ภรรยาร่างใหญ่ที่กำลังหน้าบูดบึ้งที่ต้อนรับพวกเขาไม่ดีนัก ก่อนที่เธอจะบอกสามีเธอว่า “คุณควรกลับบ้าน” ก่อนที่จะพูดประโยคต่อมา “พวกเขากำลังขุดสวนของเรา เพื่อหาเอเธอร์”

เมื่อเฟร็ด ชายผมดำหน้าตาคล้ายมนุษย์วานร และเป็นสามีของโรสได้ฟังก็ไม่รู้สึกวิตกกังวลเรื่องนี้มากนัก หากแต่กลัวว่าเขายกก้อนหินสวยงามสวนของเขาเพื่อหาศพของบุตรสาวของเขาขึ้นมาแล้วปล่อยทิ้งไว้โดยไม่กลับเอาไว้ที่เดิมเท่านั้น ก่อนที่เขาจะกลับบ้าน เขาแวะไปที่สถานตำรวจ เพื่อบอกตำรวจว่า เขากับโรสไม่เคยได้ข่าวเลยว่า เฮเธอร์หายไปไหน แต่เขากับโรสไม่ได้กังวลอะไร

"มีเด็กหญิงมากมายที่หายไป” เขาบอก “และเปลี่ยนชื่อแซ่ใหม่ เพื่อเป็นโสเภณี" ก่อนที่เขาจะตบท้ายว่าเธอเป็นเลสเบี้ยนติดยา

โรสถูกตำรวจสอบถามที่บ้านและให้การในลักษณะคล้ายกัน เฮเธอร์หายไปตอนอายุ 16 และย้ำว่าเธอเป็นคนน่าเบื่อ ขี้เกียจและเป็นเลสเบี้ยนคืนนั้นเฟร็ดและโรสพูดคุยกันกันทั้งคืน เช้าวันรุ่งขึ้นตำรวจก็พบศพของเฮเธอร์ลูกสาวของเฟร็ด พร้อมกับกระดูกมนุษย์ของใครไม่รู้ว่าเป็นของใครและมาได้ไง

เฟร็ดถูกจับกุมทันทีในข้อหาฆ่าเอเธอร์เขายอมรับทันทีว่าเขาฆ่าเอเธอร์ หากแต่เป็นการพลั้งมือตีเธอตาย จากนั้นเขาก็ใช้วิธีหั่นร่างของเฮเธอร์ออกเป็นสามท่อน แล้วฝังมันไว้ พร้อมกับย้ำว่าโรสภรรยาของเขาไม่รู้เรื่องด้วยเกี่ยวกับการฆาตกรรมในครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม ไม่นานนักเฟร็ดก็กลับคำปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างโดยสิ้นเชิง

หลายเดือนต่อมา ตำรวจทำการขุดบ้านและสวนของบ้านพวกเขาเพิ่มเติมและพบศพมากขึ้นเรื่อย จนได้มาแล้ว 10 ศพ รวมตัวอ่อนมนุษย์วัย 8 เดือนในครรภ์ ซึ่งไม่แปลกใจเลยว่าเฟร็ดและโรสต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แนนอน ตำรวจรู้เลยว่าพวกเขากำลังเจอ...ฆาตกรต่อเนื่องที่น่ากลัวที่สุดในประเทศอังกฤษอีกรายหนึ่งแล้ว!!
 
 
 




 
Fred and Rose West


 
เฟร็ด และโรส แมรี่ เวสต์ สองสามีภรรยาถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าผู้หญิงไป 10 คนในช่วงระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา จนกระทั่งมาจับกุมในปี 1987 ซึ่งเหยื่อเกือบทั้งหมดเป็นสาวไร้บ้านที่ไม่ที่ไป ซึ่งทั้งสองทำตัวเป็นเจ้าของบ้านใจดีนำข้อเสนอที่พักหรืองานพี่เลี้ยงมาให้เด็กสาวเหล่านั้น และเมื่อพวกเธอหลงกลเข้าบ้านเลขที่ 25 ถนนครอมเวลล์ กลางเมืองโกสเชสเตอร์ ของทั้งคู่เมื่อไหร่ นรกก็เริ่มต้นขึ้น เด็กหญิงจะถูกจับมัดเชือกและปิดปากด้วยเทป ข่มขืน ทรมาน และฆ่า บางคนถูกหั่นแยกชิ้นส่วนและนำไปฝัง หรือซุกซ่อนในบ้าน

การก่อคดีของคนทั้งคู่แสดงให้เห็นปัญหาอะไรหลายๆ อย่างของประเทศอังกฤษในเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นการขาดแคลนที่พักอาศัยที่ส่งผลทำให้หนุ่มสาวๆ ขาดแคลนบ้านที่อยู่ การว่างงาน ทำให้หลงเชื่อคนแปลกอย่างง่ายหากนำข้อเสนอให้ที่พักอาศัยมาให้ โดยไม่สนว่าพวกเขาจะพบอะไร นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นความล้มเหลวของการทำหน้าที่ของตำรวจ ที่ไม่เคยใส่ใจกลับปัญหาเหล่านี้ ปล่อยปะละเลยจนทั้งคู่ลอยนวลยาวนานมาตลอดหลายปี โดยไม่ถูกจับ

เฟร็ด และโรส เวสต์เป็นคู่สามีภรรยาที่วิปริต เฟร็ดนั้นเป็นคนหยาบช้า เห็นผ็หญิงเป็นเพียงแค่สัตว์หรือไม่ก็เครื่องระบายทางเพศ
ส่วนโรสนั้นเป็นพวกมาโซ กระหายทางเพศไม่น้อยไปกว่าสามีเธอ ซ้ำยังช่วยสามีของเธอล่อเด็กสาวๆ มาให้เขาทารุณ สาวๆ เหล่านั้นเป็นเพียงเหยื่อบำบัดอารมณ์วิปริตของคนทั้งคู่เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
 
 

วอเตอร์ และเดซี่ เวสต์ พ่อแม่ของเฟร็ด


 
เฟร็ด เวลท์ มีชื่อเต็มว่า เฟร็ดเดริค วอลเตอร์ สตีเฟ่น เวสต์ เกิดเมื่อวันที่ 29 กันยายน 1941 ในมุช มาร์เซล หมู่บ้านๆ เล็กในแฮรเฟิร์ดไชร์  ห่างจากกรุงลอนดอนไปทางตะวันตกประมาณ 120 ไมล์ เป็นบุตรคนโตในจำนวนลูก 6 คน ของวอเตอร์และเดซี่ เวสต์ ครอบครัวเกษตกร  กล่าวกันว่าเมื่อเฟร็ดตอนเป็นเด็กนั้นหน้าตาน่ารักมาก ตาคมสีฟ้า ผมสีบลอนด์

เดซี่แม่ของเฟร็ดนั้นเป็นภรรยาคนที่สองของวอลเตอร์ หลังจากแต่งงานกับพ่อของเฟร็ดนั้นเธอก็พบเรื่องเครียดๆ หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการมีลูกถึง 6 คน และปัญหาภาวะความยากจนในยุโรป ทำให้เธอเครียดมากจนกลายเป็นที่อ้วนฉุ อารมณ์เครียดๆ และตามใจเฟร็ดมากเกินควร เพราะเขาเป็นลูกคนโต ชีวิตที่เรียกว่าแม่ลูกคู่นี้นอนหลับด้วยกันแม้เฟร็ดจะโตเป็นหนุ่มก็ว่าได้



เพราะความสนิททสนมนี้เองทำให้มีข่าวลือด้านลบว่า วอเตอร์และเดซี่มีเซ็กต์กับลูกๆ ของตนเอง อีกทั้งเฟร็ดเองก็เคยมีเพศสัมพันธ์กับน้องสาวแท้ๆ เรียกได้ว่าแม่ของเฟร็ดนั้นสอนรู้ในเรื่องเพศและการร่วมกามรมณ์ จนทำให้เขาเสียผู้เสียคนนัก

การเลี้ยงดูของพ่อแม่นั้นทำให้เฟร็ดกลายเป็นเด็กดื้อ กลายเป็นเด็กหน้าลิง คอสั้นไปได้ ผมสีบลอนด์ของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม หยิกและยุ่งเหยิง ปากหนา ฟันซี่ห่าง อ้วนตุ๊ตะ และชอบแต่งตัวเชยๆ นิสัยลามกหยาบคาย ก้าวร้าวรุนแรง ควบคุมอารมณ์โกรธไม่ค่อยเป็นมีปัญหาเกี่ยวกับการเรียนและมักถูกครูเฆี่ยนอยู่เสมอ ทำให้เดซี่พ่อของเขามักไปโวยวายเอาเรื่องกับครูที่โรงเรียนทุกครั้ง เพื่อนๆ ในชั้นต่างล้อเขาว่า "คุณหนู" ทำให้เฟร็ดกลายเป็นตัวตลกของห้องเรียนไปโดยปริยาย และเมื่อทนไม่ไหวเฟร็ดจึงต้องลาออกจากโรงเรียนในที่สุดทั้งที่อายุเพียง 15 ปีเท่านั้น
 
 

 

เฟร็ดและสองน้องสาวของเขา (เดซี่และคิตตี้)



 
เมื่อเฟร็ดลาออกเขาก็เริ่มทำงาน ตอนแรกก็ทำงานกับพ่อในฟาร์มใกล้บ้าน ต่อมาก็ทำงานเป็นช่างก่อสร้าง จนได้เงินจำนวนหนึ่งก็กลับมาบ้านอยู่กับพ่อแม่

ต่อมาเมื่อเฟร็ดอายุ 17 ปี เขาได้ใช้เงินซื้อจักรยานยนต์เป็นของตนเอง และรับบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ ต้องอยู่ในห้องไอซียูอยู่นานหลายสัปดาห์ ต้องผ่าตัดฝังแผ่นโลหะไว้ในศีรษะแทนแผ่นกะโหลกหลายส่วนที่แตกละเอียด กระดูกหักจนเป็นเหตุให้ขาของเขาสั้นไปข้างหนึ่ง และผลจากบาดแผลที่ศีรษะในครั้งนี้ทำให้เฟร็ดกลายเป็นคนฉุนเฉียวง่าย เจ้าอารมณ์ยิ่งกว่าเดิม รวมไปถึงมีอารมณ์ทางเพศสูงยิ่งขึ้น

ในปี 1960 หลังจากฟื้นจากอาการเจ็บป่วย เฟร็ดได้พบกับแคเธอรีน เบอร์นาเด็ท คอสเตลโล หรือเรียกกันเล่นๆ ว่า "รีน่า" เด็กสาวอายุ 16 ปี ที่หนีมาจากสก็อตแลนด์และทำอาชีพเป็นโสเภณี ทั้งคู่รักกัน แต่อยู่กินไม่นานก็เลิกรากันไป เพราะรีน่าพบว่าตนไม่สามารถเป็นโสเภณีได้และขอกลับบ้านที่กลาสโกว์

หลังจากนั้นเป็นต้นมาเฟร็ดก็มีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงมากมายหลายตาไปเรื่อยเปื่อยไม่จริง จนกระทั่ววันหนึ่งมีเขาเกือบตายเพราะผู้หญิงเพราะเขาเอามือไต่กระโปรงที่ใต้กระโปรงของสาวน้อยคนหนึ่ง จนถูกผลักเขากลิ้งจากบันไดหนีไฟ จนหมดสติไป หลังฟื้นจากอุบัติเหตุ เฟร็ดก้าวร้าวและเลวร้ายยิ่งกว่าเก่า

พอรักษาตัวจนหายดี เขาก็เดินทางไปเมืองบริสตอลเพื่อหางานทำ จนในเดือนเมษายน 1961 เฟร็ดกับเพื่อนได้ก่อคดีขโมยสายนาฬิกากับกล่องใส่บุหรี่จากเครื่องเพชรในห้างสรรพสินค้า และถูกจับไม่นานนักพร้อมกับของกลาง แต่เจ้าของร้านไม่เอาเรื่อง เรื่องจึงจบด้วยแค่เทียบปรับ

ในเดือนมิถุนายน 1961 เฟร็ดถูกกล่าวหาว่า ทำน้องสาวแท้ๆ อายุ 13 ปี ตั้งครรภ์ ซึ่งเฟร็ดได้พูดว่า "ก็.....ใครๆ ก็ทำอย่างนี้ไม่ใช้เหรอ?" เพราะตามความคิดของเฟร็ดคือการมีเพศสัมพันธ์กับน้องตนเอง และน้องก็คือเด็กที่อายุเป็นผู้เยาว์ไม่เห็นจะผิดตรงไหน 

อย่างไรก็ตาม เพราะเรื่องอื้อฉาวนี้ทำให้เฟร็ดถูกเฉดหัวออกจากบ้าน ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน 1961 เฟร็ดถูกส่งตัวขึ้นศาล ในข้อหามีเพศสัมพันธ์กับพี่น้องแท้ๆ ทางสายเลือด จากการตรวจสอบสภาพจิตพบว่าเขาเป็นลมบ้าหมูทำอะไรไปไม่ได้สติ ไม่รู้สิ่งที่ตนทำอยู่ อย่างไรก็ตามต่อมาน้องสาวที่เฟร็ดทำท้องไม่ยอมขึ้นศาล เพราะไม่ยอมปรักปรำพี่ชายตนเอง ทำให้เรื่องจบลงด้วยการเฟร็ดถูกปล่อยตัว ส่วนเด็กในท้องถูกทำแท้ง!!
 

 




เฟร็ดกับรีน่า




หลังจากนั้นเฟร็ดก็ทำงานเป็นช่างก่อสร้างในกลาสโกว์ และต่อมาก็กลับมาอยู่กับพ่อแม่เพราะหายโกรธ

ในปี 1962 รีน่า กลับมาหาเฟร็ดอีกครั้ง พร้อมกับท้องโย้เย้ที่เกิดกับใครก็ไม่รู้มาด้วย ไม่นานในเดือนพฤศจิกายน ทั้งสองก็แต่งงานกันลับๆ และย้ายกับไปที่กลาสโกว์ สก็อตแลนด์ รีนายังคงทำอาชีพเป็นโสเภณีทั้งที่ยังท้องโต ส่วนเฟร็ดรับจ้างเป็นคนขับรถขายไอศกรีมชีวิตแต่งงานของรีนาไม่มีความสุขเลย เพราะเธอต้องทำหน้าที่ปรนเปรอสวาทกับเฟร็ดสามีของเธอบ่อยครั้ง เฟร็ดเป็นพวกชอบออรัลเซ็กซ์ชอบเฆี่ยนตีแบบซาดิสม์ และชอบร่วมเพศทางประตูหลัง ทำตลอดเวลา ไม่ว่ากลางคืนกับกลางวัน

ต่อมารีน่าก็คลอดลูกออกมา หลังจากนั้นเฟร็ดก็ทำลูกกับรีนาบ้าง จนกระทั่งวันที่ 1964รีนาให้กำเนิดลูกสาวกับเฟร็ดคนหนึ่งชื่อ แอนนา มารี (ภายหลังเมื่อโตขึ้นเธอเปลี่ยนใช้ชื่อตนเองคือแอนน์ มารี) แต่ชีวิตหลังการแต่งงานก็ยังคงลุ่มๆ ดอนๆ เหมือนเดิม จนทั้งคู่นอกใจกันรีน่ามีผู้ชายคนอื่น ส่วนเฟร็ดมีผู้หญิงคนใหม่เป็นสาวอายุ 15 ชื่อแอนน์ แม็คฟอลล์ ซึ่งเป็นเพื่อนของรีน่า

ไม่กี่เดือนหลังจากรีน่ากำเนิดลูกสาว เฟร็ดออกจากงาน เพราะดันขับรถไปชนคนตายเข้า คนตายเป็นเด็กเล็ก คนหนึ่งที่มาซื้อไอศกรีมเขา แต่เฟร็ดดันไปถอยรถแล่นทับเด็กตายสนิท ทำให้เฟร็ดกลัวความผิดเลยพาซาร์เมนและแอนนา มารีหนีไปมุช มาร์ เฟร็ดต้องหาอาชีพใหม่เป็นคนงานในโรงฆ่าสัตว์ที่โรงฆ่าสัตว์นี้เอง เฟร็ดเริ่มคุ้นเคยกับซากศพ กลิ่นคาวเลือด การชำแหละซากศพ การแยกชิ้นส่วนศพ จนชำนาญแบบไม่รู้ตัว
 
  


แอนน์ แม็คฟอลล์



 
ในปี 1967 เฟร็ดได้ฆ่าคนครั้งแรก เมื่อเขาทะเลาะกับแอนน์ แม็คฟอลล์ แฟนลับๆ ของเฟร็ด เรื่องของเรื่องคือแอนน์ท้องกับเฟร็ด
อยากให้แต่งงานอย่างเป็นทางการ อีกทั้งยังอยากกลับไปสกอตแลนด์ แต่เฟร็ดไม่เห็นด้วย จึงทะเลาะกันยกใหญ่ เขาจึงเผลอฆ่าเธอทิ้ง เฟร็ดได้ใช้ความรู้จากโรงฆ่าสัตว์ กำจัดศพเธอด้วยการชำแหละศพออกเป็นชิ้นๆ โดยตัดนิ้วมือ ตัดนิ้วเท้าเธอออกหมด รวมไปถึงหั่นหัวเข่าทิ้งไปด้วย แล้วนำชิ้นส่วนเหล่านี้ฝั่งใกล้หมู่บ้านมาร์เซล ทำให้ไม่มีใครพบเธอเห็นอีกเลย


การตายของแอนนา ทำให้เฟร็ดหันมาคืนดี กับ รีน่าอีกครั้ง แต่เป็นในฐานะแมงดาเกาะกินแทน เพราะเขาสั่งให้เธอออกหากินเป็นโสเภณี เอาเงินมาให้เขาใช้ ส่วนเวลาว่างก็เฟร็ดก็หาความสุขจากกามอารมณ์ของหนูน้อยชาร์แมนเป็นเครื่องบันเทิงใจ
 
 

 
แมรี่ บาสท์โฮล์ม


 
ในปี 1968 สาวน้อย แมรี่ บาสท์โฮล์ม วัย 15 ปี พนักงานเสิร์ฟประจำร้านป๊อป-อินหายตัวไปอย่างลึกลับจากป้ายโดยสารรถประจำทางในเมืองบาสท์โฮล์ม และไม่มีใครพบเจอเธออีกเลย ไม่ว่าเป็นหรือตาย

มีพยานคนหนึ่งให้การในเวลาต่อมาว่า เขาเห็นแมรี่อยู่ในรถของเฟร็ด! เพราะจำได้ว่าเขาเป็นลูกค้าประจำร้านที่แมรี่ทำงานอยู่และทั้งสองเคยคบเป็นแฟนอยู่ระยะหนึ่ง

ในขณะเดียวกันชีวิตการสมรสระหว่างรีนากับเฟร็ด เริ่มคลอนแคลนมากขึ้น รีนาต้องการแยกทางจากเฟร็ดและต้องการให้ลูกสาวทั้งสองกลับไปอยู่เมืองกลาสโกว์ประเทศสก็อตแลนด์ด้วย แต่เฟร็ดไม่ยอม ทำให้รีน่าต้องกลับบ้านตามลำพัง

ในเดือนกุมภาพันธ์ 1969 แม่ของเฟร็ดเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดถุงน้ำดี เฟร็ดเสียใจต่อเรื่องนี้มากถึงขั้นระบายออกด้วยการขโมยของไปทั่วย่านร้านค้า และเปลี่ยนงานบ่อยครั้ง จนกระทั่งขณะที่เขาทำงานเป็นคนขับรถส่งขนมปัง เขาก็ได้พบกับเด็กสาวคนหนึ่งชื่อโรส เลทส์ สาวน้อยที่ต่อมาได้กลายเป็นคู่รักของเฟลด และคู่หูฆาตกร
 

โรสแมรี่ เลทส์

 


โรสแมรี่ เลทส์ เกิดเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 1953 ในเมืองนอร์ธแฮม ในเดว่อน ประเทศอังกฤษ เป็นลูกคนที่ 4 ของบิลและเดซีที่สติไม่ดีทั้งคู่พ่อของแมรี่นั้นเคยเป็นทหารอยู่ในราชนาวี แต่ตอนนี้เขาลาออกยึดเป็นช่างไฟฟ้า เป็นคนค่อนข้างมีอาการโรคจิตอย่างรุนแรง และเป็นจอมเผด็จการในบ้าน เจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจ ชอบตั้งกฎเกณฑ์แปลกๆ หลายอย่างในบ้าน เพื่อหาเรื่องลงโทษสมาชิกในครอบครัวเสมอ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครอยากจ้างให้เดซี่ไว้ทำงานมากนัก จึงเป็นเหตุทำให้ครอบครัวของเขามักประสบปัญหากับเงินขาดมืออยู่เสมอ

สิ่งที่พวกเด็กๆ ทำทุกวันคือ การตื่นแต่เช้า พ่อของโรสจะบังคับให้ทุกคนเด็บกวาดจัดบ้านให้สะอาดเป็นระเบียบ ส่วนพ่อจะคอยจับตาดูพวกเราเหมือนทหารคุมเชลยศึก ถ้าทำงานไม่เป็นที่พอใจ พ่อของโรสจะเฆี่ยนด้วยเข็มขัดหนัง หรือไม่ก็เตะถีบแบบไม่ปราณี

เดซี่ แม่ของโรสนั้นเป็นภรรยาที่สงบเสงี่ยม ซึ่งต้องทนกับความเครียดและความเอาแต่ใจของสามี จนเริ่มมีอาการประสาท อาการหนักขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นต้องช็อตไฟฟ้า เพราะสมัยก่อนเชื่อว่าจะดึงสติให้กลับคืนมาและหายบ้าได้

ในช่วงเดซี่ตั้งครรภ์กับโรสนั้น เธอก็มีอาการทางจิตเสื่อมถอยและถูกช็อตไฟฟ้าอย่างหนัก จนส่งผลต่อโรสในท้องเป็นอย่างมาก
หลังจากที่โรสคลอดออกมา ก็พบว่าโรสเป็นเด็กที่มีพัฒนาการค่อนข้างต่ำ ชอบดีดตัวเองอย่างแรงในเวลานอน ชอบส่ายหัวไปๆ มาๆ ราวกับคนบ้า ไม่สนใจโลกที่อยู่รอบตัว อีกทั้งสติปัญญาทึบ เรียนหนังสือไม่ค่อยรู้เรื่อง จนคนรอบตัวเรียกเธอว่า

“อีโง่โรซี่”

ที่น่าสงสาร นอกจากสติปัญญาทึบแล้ว เธอยังถูกพ่อแท้ๆ ข่มขืน ตั้งแต่อายุ 2-3 ขวบเป็นต้นมา ด้วยเหตุผลเพียงแค่เขารักและสงสารลูกคนนี้มากกว่าคนอื่นๆ ด้วยเหตุนี้เองทำให้โรสเห็นว่าเซ็กเป็นกิจกรรมที่เธอทำร่วมกับคนอื่นได้ และแสดงออกถึงความรักและความสนิทสนม เมื่อโรสก้าวสู่วัยรุ่น โรสเริ่มเกิดอาการสนใจเรื่องเพศเกินกว่าอายุ เห็นได้จากเธอชอบแก้ผ้าล่อนจ้อนไปๆ มาๆ หลังจากอาบน้ำเสร็จ และบางทีก็ชอบนอนเตียงเดียวกับน้องชาย แล้วลวนลามทางเพศ เธอบอกว่าเพราะความเบื่อและความเปล่าเปลี่ยว เป็นแรงขับให้เธอออกแสวงหาเรื่องอย่างว่านี้
   
   


เฟร็ดกับโรส



   
โรสไม่มีพรสวรรค์ในด้านการเรียน ประกอบด้วยรูปร่างอ้วนตุ๊ต๊ะ จึงมักถูกล้อเรียนว่าเป็นตัวตลกของห้อง แต่ใครก็ตามที่ล้อเธอจะเข้าไปจู่โจมทุกคนที่ล้อเธอราวกับคนบ้า หรือด่าทออย่างรุนแรง จึงทำให้เพื่อนๆ ในชั้นเรียนรู้จักเธอดีว่า เป็นคนอารมณ์ร้อน และก้าวร้าว ด้วยเหตุนี้เดซี่พ่อของเธอจึงออกกฎว่าห้ามให้เธอนัดกับเด็กผู้ชายที่มีอายุไล่เลี่ยกัน แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แม้ไม่ออกกฎก็คงไม่มีใครอยากคบหากับโรสอยู่แล้ว เพราะเธอมีน้ำหนักตัว และ อารมณ์รุนแรงเป็นปราการใหญ่ที่สำคัญในการคบเป็นแฟน

ด้วยเหตุนี้เอง โรสจึงหันความสนใจไปหาชายอายุมากกว่าในหมู่บ้าน แทนที่จะหาเด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่าหรืออายุเท่ากันมาเป็นแฟน

เมื่อ โรสอายุ 15 ปี เดซี่ ก็ทิ้งบิล เธอพาโรสไปอยู่ด้วยกัน ที่บ้านลูกสาวคนโต แต่ไม่นานนักโรสก็กลับมาอยู่กับพ่อของเธอตามเติม และเริ่มงานด้วยการเป็นลูกจ้างร้านขนมปังของโรงเรียน และจุดนี้เองที่เธอได้เจอกับเฟร็ด เวสต์
   
ความประทับครั้งแรกที่โรสมีต่อเฟร็ดนั้นแทบไม่มี เพราะเฟร็ดนั้นไม่มีอะไรที่ดูดีน่าคบเลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา ความสุขอนามัย การแต่งตัว ที่ไม่มีความเป็นผู้ดีเลย อย่างไรก็ตาม เฟร็ดประทับใจโรสมาก และพยายามจีบเธอ โดยเขาสาธยายชีวิตของเขาเพื่อให้ดูเป็นคนดีมากขนาดไหน เป็นต้นว่าเขาแต่งงานแล้วแต่เมียหนีตามชู้ไป (ความจริงแล้วรีน่ายังอยู่เมืองนี้) เหลือแต่ลูกสองคนที่เขาต้องเลี้ยงดู เป็นพ่อที่รักลูกมาก ฯลฯ

และแล้ว โรสก็หลงลมปากของเฟร็ด และเธอก็ไปอาศัยอยู่กับเขา บ้านของเฟร็ดนั้นมันไม่ใช่บ้าน หากแต่เขาอาศัยหลับนอนอยู่รถพ่วง แต่โรสก็ชอบใจเพราะแปลกดี

เมื่อเฟร็ดมีเซ็กส์กับโรส เขาก็พบว่าโรสนั้นชำนาญเรื่องเซ็กส์มาก เธอเป็นทั้งซาดิสม์ มาโซคิสม์ และรสนิยมสุดลามกอนาจาร
จนเฟร็ดถึงกับชูฮกให้กับเธอ พร้อมกับแนะนำให้โรสหากินเป็นโสเภณี พาผู้ชายมาเข้าบ้านรถพ่วงของเฟร็ด ซึ่งโรสก็ทำตามคำแนะนำทั้งๆ ที่เธออายุไม่ถึง 15 ปีด้วยซ้ำ




ต่อมา เรื่องไปถึงหูจองบิลล์ เลทส์ พ่อของโรส ซึ่งเขาโมโหโรสมาก เขาสั่งให้ลูกสาวไม่ให้คบกับเฟร็ด เวสต์ แล้วส่งเธออยู่ในสถานดูแลแบบบ้านสงเคราะห์สตรี ซึ่งทำให้โรสกลับบ้านแค่วันหยุดสุดสัปดห์ ส่วนวันธรรมดาเธอต้องอยู่ในสถานสงเคราะห์ที่คุมเข้มหากแต่เมื่อสบโอกาสเมื่อไหร่ โรสก็อยู่กับเฟร็ดอยู่ดี


ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น เฟร็ดถูกจับกุม ข้อหาลักทรัพย์และโจรกรรมหลายคดี ความจริงแค่จ่ายค่าปรับก็จบ แต่เฟร็ดไม่มีเงิน
ทำให้เฟร็ดโดนขังไป 30 วัน โรสต้องกลับมาอยู่กับพ่อ แต่นั้นก็สายไปแล้วเมื่อพ่อเธอพบว่า โรสท้องกับเฟร็ดแล้ว ด้วยวัยแค่ 16 ปีด้วยเหตุนี้โรสจึงจากบ้านพ่อไป แล้วไปอยู่กับเฟร็ดโดยดูแลแอนนา มารี และ ซาร์แมนลูกสาวของเฟร็ดไปด้วย

ในปี ค.ศ. 1970 เฟร็ดและโรสก็ย้ายไปอยู่บ้านเลขที่ 25 ถนนมิดแลนด์ ในกลอเชสเตอร์ พร้อมกับแอนนา มารี และซาร์แมน
   



ซาร์แมน เฟร็ด


 


17ตุลาคม ปีเดียวกัน โรสให้กำเนิดลูกสาวชื่อเฮเธอร์ แต่มันกลับทำให้เพิ่มภาระกับเธอมากกว่า เพราะเธอต้องทนดูแลลูกถึง3คน อีกทั้งหลังจากลูกสาวเกิดมาแค่ 2 เดือนเฟร็ดไปขโมยของเลยติดคุก 9 เดือน คนรักก็อยู่ในคุก เงินทองก็มีจำกัด ฯลฯ ปัญหาต่างๆ รุมเร้า อารมณ์ของโรสพลุ่งพล่าน เครียด เริ่มทำร้ายเด็ก

และในช่วงใดช่วงหนึ่งระหว่างฤดูร้อนปี 1971 ซึ่งเป็นช่วงเฟร็ดอยู่ในคุก โรสก็ได้ฆ่าซาร์เมน และซ่อนศพเขาในที่ลับๆ ไม่ให้คนเห็น และโรสก็โกหกทุกคนที่ถามหนูน้อยซาร์แมนว่า รีน่าเป็นคนรับลูกไป เมื่อเฟร็ดออกจากคุกดูเหมือนเขาจะทราบเรื่องนี้ แต่เขาไม่ว่าอะไร แถมเขายังบอกให้โรสพาไปที่ซ่อนศพ จัดการตัดร่างลูกสาวขาดเป็นสองท่อน ตัดนิ้วตัดหัวเข่าทิ้งหมดและนำร่างยัดลงสวนร้างกลบจนแน่น ซึ่งกว่าที่ศพของหนูน้อยจะค้นพบก็ล่วงเวลานานถึง20ปี

เมื่อรีน่ากลับมาเยื่ยมลูกๆ โรสและเฟร็ดก็ได้ลงมือสังหารเธอ และนำศพเธอไปฝังในเลทเทอร์บ๊อกซ์ ฟิลด์ ในมุชมาร์เชล ใกล้ๆ กับหลุมที่เขาฝังแอนน์ แม็คฟอลล์ ไปเมื่อปี 1967 ซึ่งเฟร็ดไม่ลืมที่จะตัดหัว จัดแขนขาออกจากกัน พรอมกับตัดนิ้วมือนิ้วเท้า และสะบ้าเข่าเหมือนศพอื่นๆ
   
เมื่อรีน่าตายไป เฟร็ดและโรสจึงมีความคิดที่พวกเขาควรแต่งงานกันได้ซะที แม้ว่าทางกฎหมายยังทำไม่ได้เพราะรีน่ายังคงมีชีวิตอยู่ที่ใดที่หนึ่งของโลกก็ตาม

ทั้งคู่จดทะเบียนกันในปี 1971 เฟร็ดกรอกความเท็จว่าเขาไม่เคยแต่งงานมาก่อนเลย

ความสัมพันธ์ระหว่างเฟรดกับโรส ทั้งคู่ของค่อนข้างวิปริต แม้ว่าเฟร็ดจะเป็นคนบ้ากามเพียงใดก็ตาม แต่สำหรับโรสแล้ว เขาไม่สามารถเติมเต็มความต้องการของเธอให้เต็มอิ่มได้เลย เป็นเหตุทำให้เฟร็ดอนุญาตให้โรสเป็นโสเภณีมีความสุขทางเพศกับผู้ชายคนอื่นโดยเขาไม่หึงเธอแม้แต่น้อย แม้ว่าโรสจะพาลูกค้าพวกนี้เข้ามาบ้านก็ตาม แถมเฟร็ดเองก็แอบอัดเสียงและแอบถ่ายรูปเก็บเอาไว้ดูกันสองคนผัวเมียเสียด้วย

ทางด้านลูกๆ นั้น แอนนา มารี กับเฮเธอร์ต่างถูกพ่อแม่ล่วงล้ำทางเพศ แอนนา โดนตั้งแต่ 8 ขวบ ซึ่งเฟร็ดได้บอกเหตุผลว่า
"ฉันทำให้เธอเกิดมาได้ ฉันย่อมมีสิทธิที่จะได้เธอไว้"

พูดง่ายๆ คือลูกก็เหมือนสมบัติของเขา เขาจะทำอย่างไรกับเธอก็ได้ มันผิดตรงไหน





   
   
บ้านเลขที่ 25 ถนนครอมเวลล์



   
กันยายน 1972 ครอบครัวเวสต์ย้ายจากถนนมิดแลนด์ไปอยู่บ้านใหม่ เลขที่ 25 ถนนครอมเวลล์ มันเป็นอาคารแบ่งให้เช่าคล้ายแฟลต ตอนแรก เฟรดและโรสได้บนห้องชั้นบนให้เด็กหนุ่มสี่คนเช่าและหนุ่มสี่คนนั้นได้รับบริการฟรีเซ็กต์จากโรสไปถ้วนหน้า

เฟร็ดเองก็เริ่มทำอาชีพซ่อมอาคารและท่อประปาให้เพื่อนบ้านที่เช่า แน่นอนเขาก็ไม่ลืมที่มีเซ็กส์กับพวกสาวๆ ในท้องที่ไปด้วย
จนทั้งสองมีเงินมากพอที่จะซื้อบ้านทั้งหลังจากเจ้าของเดิม

บ้านเลขที่ 25 ถนนครอมเวลล์นั้นเป็นบ้านที่ไม่ค่อยจะโดดเด่นนักหากมองจากภายนอก แต่ข้างในค่อนข้างกว้าง มีที่จอดรถ ห้องเก็บของ ห้องใต้ดินที่ปรับปรุงดีๆ จะคล้ายกับวังปราสาทเลยก็ว่าได้ เมื่อได้บ้านมาเฟร็ดทำการปรับปรุงบ้านขนานใหญ่ เขาทุบผนังทำห้องใหม่ อีกทั้งปรับปรุงห้องใต้ดินเป็นห้องเก็บเสียง เต็มไปด้วยเครื่องมือทรมานต่างๆ จุดประสงค์ที่เขาปรับปรุงก็ง่ายมาก คือเขาต้องการที่จะลากผู้หญิงมาข่มขืนและฆ่าทิ้งในบ้านอย่างไม่มีใครรู้เห็น ต่อให้เหยื่อจะร้องแหกปากเจ็บปวดอย่างไรคนภายนอกก็ไม่ได้ยิน เพราะเขาทำห้องเก็บเสียงขึ้นมาโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของบ้านนรกของพวกเขา

ในช่วงปรับปรุงบ้านใหม่นั้นเอง แอนน์ มารี ที่อายุเพียง 8 ปี ก็ได้ถูกพ่อและแม่ข่มขืน เธอโดนผูกมือไว้ด้านหลังและปิดปาก
การข่มขืนและทรมานทำให้เด็กเกิดอาการปวดอย่างรุนแรงจนเด็กไม่สามารถไปโรงเรียนหลายวัน อีกทั้งแอนน์ยังโดนพ่อข่มขู่ว่า
อย่าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังไม่งั้นมีเรื่องแน่ และนับตั้งแต่นั้นเกือบทุกวันแอนน์ มารีถูกพ่อของเธอมัดมือปิดปากและข่มขืนอย่างโหดร้าย



ธันวาคม 1972 เฟร็ดและโรสร่วมมือกันขืนใจแคโรไลน์ โอเว่นส์ เด็กที่จ้างมาเป็นแม่บ้านประจำบ้านเพื่อเลี้ยงดูลูกๆ ของพวกเขา
เด็กสาวถูกทำให้เปลือยเปล่าและผูกติดกับโซ่ห้อยลงมาจากเพดาน จากนั้นเฟร็ดก็ใช้สายเข็มขัดเฆี่ยนดี จนเด็กสาวเป็นลมเพราะเจ็บปวด จากนั้นก็โดนข่มขืน เมื่อเด็กหนีออกจากบ้าน เธอก็แจ้งตำรวจ ทำให้เฟร็ดและโรสโดนปรับคนละ 25 ปอนด์

   




ลินดา ก๊อค




เมื่อสองสามีภรรยาเวสต์รอดพ้นคดี พวกเขาก็ย่ามใจ แต่คราวหน้าพวกเขาจะสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ให้ปล่อยเหยื่อรอดไปฟ้องตำรวจอีกนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หญิงหลายราย ที่เข้ามาในบ้านหลังนี้ ในฐานะผู้เช่า เพื่อน หรือในฐานะพี่เลี้ยงเด็กน้อยนักที่จะกลับออกมาอีกในสภาพที่มีชีวิตอยู่

เหยื่อรายแรกที่ประเดิมกับบ้านนรกของพวกเขา คือลินดา ก๊อค สาวแว่นหนาเตอ มีอาชีพเย็บผ้าในเมืองกลอเชสเตอร์ ต้นปี 1973 เธอได้มาเป็นแขกประจำในบ้านของครอบครัวเฟร็ด ซึ่งเธอกับเพื่อนเล่นเซ็กส์หมู่แบบมาโซคิสม์และซาดิสต์กับเพื่อนและสามีเฟร็ดแบบโจ๋งครึ่ม

ในเดือนเมษายน 1973 ครอบครัวเฟร็ดได้ชักชวนให้ลินดามาอยู่ด้วยกัน ทำงานเป็นแม่บ้านและพี่เลี้ยงเด็กๆลินดาตอบตกลง
เพียงแค่เธอย้ายมาเพียงสองสัปดาห์เธอก็ถูกฆ่าตาย จากนั้นก็กลบเกลือนด้วยการบอกครอบครัวหรือใครก็ตามที่มาหาลินดาว่า
เธอจากบ้านของพวกเขานานแล้ว

ไม่มีใครรู้ว่าลินดาอยู่ที่ไหน กว่าที่หลายคนก็จะรู้ ก็ต่อเมื่อศพของเธอถูกค้นพบในปี 1994 ในพื้นห้องใต้ดินของบ้านเฟร็ดเอง
สภาพของเธอนั้นอนาถ เป็นศพแห้งๆ มีร่องร้อยพันธการด้วยเทปมัดและเทปนั้นถูกพันรอบหัวของเธอปิดทั้งศีรษะใบหน้า
มิดหมดอย่างสยดสยอง
   
   


แครอล แอนน์ คูเปอร์



   
เฟร็ดยังคงทำการปรับปรุงบ้านต่อไปเขาขยายห้องใต้ดินที่ตอนแรกใช้เก็บไวน์ให้ใหญ่มากขึ้น การปรับปรุงเหล่านี้ใช้เวลาตอนกลางคืนเมื่อเฟร็ดออกจากงานและทำในตอนครอบครัวของเขานอน ซึ่งเขามักใช้เวลาหลายชั่วโมง ในการแก้ไขซ่อมแซมบ้านจนกว่าเขาจะพอใจ

เหยื่อรายต่อมาของสองสามีภรรยาเฟร็ดคือ แครอล แอนน์ คูเปอร์ เด็กหญิงอายุ 15 ปี ที่อาศัยอยู่ในสถานเลี้ยงเดเกที่วอร์เชสเตอร์ ในเดือนพฤศจิกายน 1973 ซึ่งเธอถูกลักพาตัวมาที่บ้านเลขที่ 25 ถนนครอมเวลส์ เธอโดนข่มขืน เสพสุขทางเพศเธอเต็มที่ นานเป็นสัปดาห์ ก่อนที่เธอจะพบจุดจบไม่แตกต่างกับเหยื่อรายอื่นมากนัก ก่อนที่ศพของเธอจะถูกฝังใต้ถุนแคบๆในสภาพแขนขาและศีรษะถูกตัดขาดจากร่าง และมีผ้ายางยืดคลบุมหน้าเธอจนมิด

แครอล แอนน์ คูเปอร์ ถูกบันทึกไว้ในรายงานตำรวจอย่างน่าเจ็บใจว่า

"เหมือนกับรายอื่นๆ ก่อนหน้านี้ แต่ไม่มีหลักฐานใดๆ บ่งบอกว่าสองสามีภรรยาเฟร็ดเกี่ยวข้องด้วย"

   
   



ลูซี่ พาร์ติงตัน



   
หลังจากจัดการแครอล ไม่กี่เดือนต่อมา ลูซี่ พาร์ติงตันอายุ 21 ปีนักศึกษามหาลัยก็หายไป  เชื่อว่าถูกเฟร็ดและโรสลักพาตัวและถูกทรมาน ข่มขืนในห้องใต้ดินของบ้านเลขที่ 25 ถรนนครอมเวลล์ นานเอบหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งไม่รู้ว่าขาดใจตายเพราะถูกทรมานและข่มขืน หรือถูกฆ่าอย่างทารุณ แต่สิ่งที่รู้คือเฟร็ดทำการหั่นศพ ตัดนิ้วมือ นิ้วเท้า และข้อสะบ้าหัวเขาออก เหมือนสามศพก่อนหน้า ซึ่งไม่รู้จะตัดเพื่ออะไรเ พราะว่าถึงยังไงพวกเขาก็ซ่อนศพในช่องห้องใต้ดินของบ้านตนเองอยู่ดี
   
   


เธอรีส ซีเกนทาลเลอร์

   


ระหว่างเดือนเมษายน 1974 ผู้หญิงคนหนึ่งชื่อเธอรีส ซีเกนทาลเลอร์ อายุ 21 ปี  ได้วางแผนไปเยี่ยมเพื่อนที่เป็นนักบวชนนิกายคาทอลิกในไอร์แลนด์ ซึ่งเธอมีความคิดจะโบกรถจากลอนดอนมาเรื่อยๆ ซึ่งพอดีเธอดันไปขึ้นรถของเฟร็ดและโรสเข้าพอดี และเธอก็มีชะตากรรมเดียวกับเหยื่อรายก่อนหน้าไม่มีผิดก่อนที่จะถูกตัดชิ้นส่วนหัว นิ้วเท้า และฝังในใต้พื้นห้องใต้ดิน
   
   



เชอร์ลีย์ แอนน์ ฮับบาร์ด



   
ในตอนเย็นของวันที่ 14 พฤศิกายน 1947 เชอร์ลีย์ แอนน์ ฮับบาร์ด วัย 15 ปีได้หายไป  เชื่อว่าเธอขึ้นรถของเฟร็ดและโรส ก่อนที่จะพาไปเป็นเหยื่อกามในห้องใต้ดินของบ้านเลขที่ 25 ถนนครอมเวลล์ ทรมานและข่มขืนเหมือนเหยื่อสาวรายอื่นๆ ก่อนที่จะถูกหั่นศพนำมาฝังรวมกับเหยื่อสาวรายก่อนหน้านั้น หัวของเธอนั้นถูกพันหุ้มจนมิดด้วยเทปติดกล่องส่งของ ที่น่าสยองคือจมูกข้างหนึ่งมีหลอดพลาสติกเสียบคาเอาไว้ แดงให้เห็นว่าเธอไม่ได้ตายทันที และยังสามารถรับอนุญาตหายใจผ่านหลอดพลาสติก
   
   



ฮวนนิต้า มอตต์



   
ในปี 1975 ฮวนนิต้า มอตต์  ตกเป็นเหยื่อของสองสามีเวสต์ซึ่งเธอคงถูกเฟร็ดและโรสล่อเข้าไปในบ้านเลขที่ 25 ไม่มีใครทราบชะตากรรมหลังจากนั้น ก่อนที่เวลาต่อมามีจะมีคนพบศพในช่องลับ ในห้องใต้ดินมีถุงน่องพันรอบหน้าและศีรษะ และถูกห่อด้วยผ้าพลาสติกอีกที และข้อมือข้อเท้ามีรอยเชือกเชื่อว่าเธอคงมัดห้อยต่องแต่งและเธอพยายามดิ้นรนเหมือนสัตว์ที่ติดกับดักสุดชีวิต และเธอคงถูกห้อยหลายคนวัน จนสองสามีภรรยาเฟร็ดเริ่มเบื่อและฆ่าเธอด้วยการรัดคอหรือไม่ก็เธอขาดใจตายไปเอง
   

 

เชอร์ลีย์ โรบินสัน




เชอร์ลีย์ โรบินสัน อดีตโสเภณีวัยแค่18ปี  ได้มาเช่าอยู่ที่ถนนครอมเวลล์ ซึ่งเธอมีความสัมพันธ์ทางเพซกับเฟร็ดและโรส

ในปี 1977 เชอร์ลีย์ท้องกับเฟร็ด หลังจากที่โรสคลอดลูกคนใหม่ออกมา ซึ่งลูกคนนี้เกิดจากหนุ่มอินเดียนแดงไม่ใช่ลูกเฟร็ด เป็นลูกผู้หญิงผมดำ ตาดำ ชื่อทาร่า ในช่วงนี้โรสอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก เธอเครียดมาก เครียดว่าเชอร์ลี่ย์จะมีลูกกับเฟร็ด และเขาจะทิ้งเธอไปเธอชี้ขาดให้สามีกำจัดเธอไปซะ ไม่งั้นฝ่ายเธอจะจากไป

ไม่รู้ว่าโรสหรือเฟร็ดฆ่าเชอร์ลีย์กันแน่ แต่ที่แน่ๆ เชอร์ลีย์ถูกฆ่าในเดือนพฤษภาคม 1978 แต่คราวนี้เธอไม่ได้ถูกนำไปใส่ในช่องลับใต้ดินเหมือนศพเหยื่อก่อนหน้า เพราะตอนนี้มันเต็มแน่นแล้วไม่เหลือที่ว่างพอยัดศพเชอร์ลีย์เลย ดังนั้นเธอจึงถูกนำไปฝังที่สวนหลังบ้านของครอบครัวเวสต์แทนในตอนที่ตำรวจพบศพเธอนั้น เขายังพบตัวออ่อนวัย 8 เดือนอยู่เลย มันถูกดึงออกจากช่องคลอดของเธอ แสดงให้เห็นว่าเธอคงถูกฆ่าสังหารโหดขนาดไหนตอนที่มีชีวิตอยู่

หลังจากที่โรสฆ่าเชอรร์ลีย์ เธอก็ท้องกับเฟร็ดอีกครั้ง แลในปี 1978 ลูกของใหม่ของโรสก็คลอดออกมา เป็นเด็กผู้หญิงชื่อหลุยส์ และในช่วงเวลาเดียวกันแอนนา มารีก็ถูกให้ไปทำแท้งเถื่อน ซึ่งกำจัดเด็กในท้องของเธอออก ซึ่งเด็กคนนั้นเป็นลูกของเฟร็ด พ่อของเธอเอง



 
เอลิสัน แซมเบอร์





ในปี 1979 เหยื่อรายต่อมา เป็นผู้หญิงชื่อเอลิสัน แซมเบอร์ อายุ 16 ปี เป็นเด็กในสถานสงเคราะห์เยาวชนที่เร่ร่อน ซึ่งเธอพบกับเฟร็ดกับโรสเข้าพอดี ซึ่งทั้งคู่หลอกให้เธอมาพักที่บ้าน โดยจะจ้างงานให้ และเมื่อมาถึงบ้านเลขที่ 25 ถนนครอมเวลล์ ก็อย่างที่รู้ตัก เธอถูกพาไปยังห้องใต้ดินและกลายเป็นทาสบำเรอกามวิตถาร หลายสัปดาห์ เฆี่ยนตีข่มขืนและรัดคอ แยกชิ้นส่วนศพก่อนที่จะถูกฆ่าและนำศพฝังในสวนหลังบ้าน

หลังจากนั้นโรสก็ท้องกับเฟร็ดอีก และเธอก็คลอดลูกออกมาในเดืนอมิถุนายน 1980 เป็นทารกเพศชายชื่อแบรี่ ต่อมาโรสก็ท้องกับหนุ่มอินเดียแดงอีกโดยไม่มีป้องกัน ได้ลูกติดกันสองคนคือ โรสแมรี่เกิดในปี 1982 และลูซีอันนาเกิดปี 1983 ซึ่งเชื่อว่าช่วงนี้เฟร็ดและโรสน่าจะฆ่าเหยื่อที่ไม่ได้ระบุอย่างไม่เป็นทางการอีกหลายราย แต่ไม่มีหลักฐานยืนยัน


 
เฮเธอร์




เมื่อปี 1979 แอนนา มารี เวสต์ ซึ่งตอนนี้อายุ 15 ปี เต็มทนกับความรุนแรงและความร้ายกาจของพ่อแม่ของเธอไม่ไหว จึงขอจากบ้านไปอาศัยอยู่กับคู่รักของเธอ เมื่อแอนนาจากไป ภาระหนักจึงตกอยู่ที่เฮเธอร์ ที่เธอกลายเป็นเครื่องระบายอารมณ์ของพ่อแม่ที่มีต่อแอนนา เธอถูกพ่อแม่จับร่วมเพศทุกวันที่น่าเหลือเชื่อคือ เฮเธอร์สามารถทนกับความบ้าคลั่งขอพ่อแม่จนเธออายุ 17 ปี แต่ยังไงก็ตามท้ายที่าุดเธอก็สุดจะทนกับความวิปริตอันนี้เอเธอร์จึงตัดสินใจเล่าความลับของครอบครัวเวสต์ให้เพื่อนฟังเพราะทนไม่ไหว กับความหยาบช้าของพ่อ ความสำส่อนและการตกเป็นเครื่องมือระบายอารมณ์ของแม่ จนเพื่อนๆ สงสารเธอจนจับใจ



อย่างไรก็ตาม เมื่อเพื่อนของเอเธอร์ในเรื่องราวของเธอมาเล่าให้พ่อแม่ของแต่ละคน หนึ่งในนั้นดันมีพ่อแม่เป็นเพื่อนของครอบครัวเวสต์แน่นอนว่าเรื่องเล่านี้ได้มาเข้าหูเฟร็ดและโรสจนได้!

เฟร็ดและโรสแค้นสุดขีด พวกเขาทรมานเอเธอร์สุดโหด แม้เธอร้องและโต้เถียงพ่อแม่ แต่พวกเขาไม่ใจอ่อน เด็กถูกจับแก้ผ้าจนเปลือยเปล่าเฆี่ยนตีอย่างทารุณ ก่อนที่จะข่มขืนและฆ่า ตัดศพเธอเป็นชิ้นๆ นำไปฝังรวมกับศพเหยื่อรายอื่นๆ ก่อนหน้าอย่างขยะไม่ปาน

หลังจากนั้นเมื่อคนอื่นๆ ถามว่าเฮเธอร์หายไปไหน เฟร็ดและโรสก็ตอบว่าเธอหนีไปแล้วกับคู่รักเลสเบี้ยน ด้วยท่าทีไม่สนใจลูกของตนเองเลยแม้แต่น้อย



 
ห้องใต้ดินของเฟร็ด




นี่คือเรื่องราวคราวๆ ของบ้านเลขที่25 บนถนนครอมเวลล์ บ้านสยองขวัญที่สะเทือนขวัญที่สุดในประเทศอังกฤษ ในช่วงทศวรรษที่ 1990 ที่ทั้งสองสามีภรรยาก่อกรรมทำเข็นฆ่าได้แม้กระทั่งลูกของตนเอง และยังลอยนวลมานานหลายปี (10-20 ปี) โดยไม่ถูกจับ ไม่มีใครสงสัยแม้แต่น้อย

ทำไมเฟร็ดและโรสโหดเหี้ยมนัก ทำไมถึงต้องทรมานและฆ่าเหยื่อ ซ้ำยังหั่นศพด้วย ทั้งที่จุดประสงค์ฆ่าหั่นศพคือเพื่อทำลายหลักฐาน แต่เฟร็ดกับนำศพที่หั่นไปซ่อนช่องลับห้องดินของตนเอง แทนที่จะเอาไปทิ้งที่อื่น

เชื่อว่าสาเหตุที่เฟร็ดมีจิตวิปริตผิดมนุษย์มนาก็เนื่องมาจากได้รับอิทธิพลจากพ่อแม่ ที่เคยร่วมเพศกับแม่ของตนเอง ทำให้เฟร็ดเป็นคนมองผู้หญิงเป็นแค่เครื่องระบายทางเพศ บวกกับทัศนคติของพ่อที่สอนเขาว่าลูกสาวทั้งหมดคือสมบัติของพ่อ พ่อสามารถร่วมเพศกับลูกได้อย่างไร้ข้อแม้เป็นเหตุทำให้เฟร็ดมีนิสัยโหดเหี้ยม บ้ากาม บางครั้งก็ก็ร่วมเพศจนเหยื่อขาดใจตายไปเอง

ยิ่งกว่านั้นเมื่อเฟร็ดพบกับโรส ซึ่งโรสเองก็เติบโตในสภาพแวดล้อมเดียวกัน ที่มีจากครอบครัวที่ถูกพ่อร่วมเพศกัน ผีเน่ากับโรงผุมาเจอกัน ผลก็คือทั้งสองกลายเป็นคู่ฆาตกรต่อเนื่องเลวร้ายที่สุดในเวลาต่อมา หลายคนเชื่อว่าโรสนั้นน่าจะมีอำนาจเหนือกว่าเฟร็ด อันเนื่องจากหากเทียบชั้นความวิปริตทางเพศและความบ้ากามแล้ว โรสเหนือกว่าเฟร็ดมาก ซึ่งเฟร็ดยอมรับโรสว่า ความสามารถในเชิงกามนั้นเมื่อเทียบกับเธอแล้วเขาเป็นแค่เด็กน้อยเท่านั้น เป็นเหตุทำให้เฟร็ดทำตามทุกอย่างที่โรสสั่ง สำหรับเฟร็ดแล้วโรสคือผุ้หญิงที่เขายอมสยบ ส่วนผู้หญิงคนอื่นแล้วถือว่าไร้ค่า แต่สำหรับโรสเองก็มีบางมุมที่อ่อนแอทางจิตใจและต้องการความคุ้มครองจากเฟร็ดเช่นกัน ผลก็คือทั้งสองต่างเติมเต็มช่องว่างทางจิตใจกันและกันมาอย่างยาวนาน



และแล้วความโชคดีของเฟร็ดและโรส ที่ยืนยงมานานเป็นอันสิ้นสุดลงเมื่อต้นปี 1992
ทั้งคู่ได้ลักพาตัวเด็กอายุ 13 ปีคนหนึ่งมาบ้านเลขที่ 25 ถนนครอมเวลล์ และถูกข่มขืนทรมาน และภาพทั้งหมดถูกบันทึกเอาไว้ในวีดีโอ


แต่อย่างไรก็ตามไม่รู้ว่าเฟร็ดและโรสคิดยังไง พวกเขากลับปล่อยเด็กหญิงคนนั้นออกจากบ้าน 25 ถนนครอมเวลล์ในสภาพมีชีวิตอยู่ และเธอก็มาเล่าให้เพื่อนถึงเรื่องที่เกิดขึ้น และเพื่อนคนนั้นได้แจ้งตำรวจเข้า

สิงหาคม1992ตำรวจมาถึงบ้าน 25 ถนนครอมเวลล์ พร้อมหมายค้นเพื่อหาหลักฐานต่างๆ ในคดีข่มขื่นกระทำอนาจารต่อเด็ก
เจ้าหน้าที่พบรูปโป๊ กองเป็นภูเขาลงกา และจับกุมตัวโรสไว้ในฐานะผู้ช่วยเหลือการข่มขืน และเฟร็ดข้อหาข่มขืนและกระทำอนาจารต่อผู้เยาว์

ตำรวจ มีข้อมูลมากเพียงพอ นั้นการตั้งข้อหาข่มขื่นผู้เยาว์ แต่เขาต้องการหลักฐานว่าเฟร็ดเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่อาละวาดในขณะนี้มากกว่า เขาจึงต้องสืบสวนเพิ่มเติม โดยเน้นการหายตัวของเอเธอร์เป็นหลักแต่จู่ๆ โชคดันเข้าข้างเฟร็ดอีกครั้ง เมื่อพยานสองคนตัดสินใจกลับคำให้การ พวกลูกๆ ไม่มีใครให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีเพราะโดนขู่ และการสืบสวนเอเธอร์ถึงทางตัน

อย่างไรก็ตาม ในช่วงพ่อแม่ถูกจับนั้น เด็กเล็กทั้ง 5 คนถูกส่งไปให้รัฐดูแล ในสถานที่รับเลี้ยงเด็กนั้น เจ้าหน้าที่ได้ยินเรื่องสยองที่เด็กทั้ง 5 คุยกันว่าเฮเธอร์ถูกฝังอยู่ใต้ระเบียงบ้าน ซึ่งเมื่อเรื่องดังกล่าวถูกส่งไปยังตำรวจพวกเขาก็เริ่มปะติดปะต่อกับการหายตัวอย่างลึกลับของเด็กสาวหลายรายซึ่งล้วนเชื่อมโนงกับสองสามีภรรยาเวสต์ทั้งสิ้น
 






ตำรวจเข้าควบคุมพื้นที่บ้านเลขที่ 25 ครอมเวลล์สตรีท




การตรวจค้นบ้านของเฟร็ดในครั้งนี้ใช้งบประมาณมหาศาลมากกว่าครั้งไหนๆ เพราะนี้เป็นการรื้อบ้านไม่ใช้ค้นบ้าน ข่าวนี้จึงเป็นที่จับตามองของสื่อมวลชนทุกแห่งจับต้องตาเป็นมัน เพราะถ้าเกิดพลาดล่ะก็ฉาวโฉ่แน่ ในที่สุดตำรวจก็พบศพเฮเธอร์ เวสต์ลูกสาวของเฟร็ด ขึ้นมาจากหลุม พร้อมกับ ศพแล้ว ศพเล่า ก็ถูกค้นพบโดยไม่รู้ว่าเป็นของใครและไปอยู่ตรงนั้นได้ไง

เฟร็ดเพื่อปกป้องโรสภรรยาสุดที่รัก ส่วนศพเฮเธอร์นั้นอ้างว่าเขาพลั้นฆ่าเธอตาย แต่โรสไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้  ในเดือนถัดมา ตำรวจก็ขุดบ้านก็พบศพมากมายจนได้แล้ว 10 ศพรวมถึงตัวอ่อนวัย 8 เดือนในท้องของเหยื่อ ที่เฟร็ดฆ่าด้วย ถึงอย่างไรตำรวจก็ยังคงคร่ำเครียดกับหลักฐานที่ได้ เพราะศพถูกฝังมานานมากแล้ว การสืบเสาะหาว่าเป็นใครไม่ใช้งานง่าย ส่วนกระดูกที่ใต้หลังคามี9ชุด เฟร็ดเองก็ไม่ช่วยอะไรได้มากนักเพราะเขาเองก็จำชื่อ และรายละเอียดของเด็กพวกนั้นไม่ได้ ตำรวจจึงใช้วิธีค้นดูจากประวัติเด็กสูญหายนับร้อยรายเมื่อหลายปีก่อน มาเทียบเคียงกับกระดูกพวกนี้อยู่นานเลยเดือนมิถุนายน 1994 เฟรด เวสต์ถูกตั้งข้อหาฆาตกรรม 12 คดี และในเดือนเมษายนโรสก็โดนข้อหาฆ่าคน 8 คน

อย่างไรก็ตาม หลังจากโรสถูกจับกุม เฟร็ดได้กลับคำรับสารภาพ ด้วยการยืนยันว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์
ไม่เคยฆ่าผู้หญิงแม้แต่คนเดียว!! และพร้อมกับนี้ยังบอกอีกว่าโรสต่างหากที่ฆ่าผู้หญิงเหล่านั้น!!

 




ตำรวจถึงกับตะลึงกับพฤติกรรมสองสามีและภรรยาเวสต์ ที่นำซากศพและชิ้นส่วนศพมากมายถูกพบฝังอยู่ใต้บ้านหลัง ทั้งที่ห้องเก็บของใต้ดิน ใต้ห้องน้ำ แถมยังทำกิจกรรมและใช้ชีวิตตามปกติในบ้านหลังนั้น ไม่ว่าจะเป็นจัดปาร์ตี้ (เคยจัดงานฮาโลวีนในชั้นใต้ดินบ้าน)ย่างบาร์บีคิว เข้าห้องน้ำ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนที่ตำรวจพบศพนั้น บางศพอยู่ในสภาพเน่าเปื่อยเหม็นอย่างร้ายกาจ ตำรวจบางนายเขียนบันทึกว่ามันเป็นกลิ่นที่เหม็นจนต้องจดจำไปชั่วชีวิตเลยทีเดียว

อย่างไรต่อมาบ้านสยองขวัญของสองสามีภรรยาเฟร็ดและโรสก็ถูกรื้อถอนและทุบทิ้งไม่นานหลังจากนั้น เพื่อตัดช่องทางของพวกนักล่าที่แห่กันมาหาของที่ระลึกพิลึกพิลั่นจากที่นี่


 

งานศพของเฟร็ด




โรส เวสต์ ถูกกดดันอย่างหนัก เพื่อให้ยอมรับสารภาพ โรสเริ่มตัดช่องน้อยแต่พอตัว โดยการสลัดเฟร็ดทิ้ง ปิดฉากหุ้นส่วนชีวิตในการก่ออาชญากรรมคู่ร่วมกันคิด ร่วมกันทำตลอดกาล แต่ถึงอย่างเฟร็ดก็ยังหลงรักเธออยู่และส่งจดหมายมาง้องอนเธอเสมอ ดั่งใจความที่ว่า

"เรายังรักกันอยู่เสมอนะ และเธอก็ยังเป็นนางเวสต์ของฉันอยู่ตลอดไป ไม่ว่าอยู่แห่งใดในโลก
นี้เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับฉันและสำหรับเธอด้วย"


เฟร็ดถูกตั้งข้อหาฆาตกรรม12ศพ แต่ก่อนพิจารณาคดีในศาล เฟร็ดชิงหนีโทษไปก่อนโดยการฆ่าตัวตายโดยการแขวนคอด้วยเชือกที่เขาทำเองในขณะคุมขังในเรือนจำ วันที่13ธันวาคม1995ซึ่งเขาได้เขียนโน๊ตทิ้งให้กับโรสว่า

“แฮปปี้ นิวเยียร์”
 
 



โรสถูกนำตัวขึ้นศาล




การพิจารณาคดีของโรสในศาลเริ่มวันที่3ตุลาคม1995 เน้นหนักในด้านการพิจารณาคดีของโรสว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้องในการช่วยเฟร็ดทำการฆาตกรรมหรือไม่ผู้ที่ขึ้นให้การเป็นพยายมีมากมายหลายคน รวมไปถึง แคโรไลน์ โอเวนส์ และ แอนนา มารีซึ่งพิสูจน์ได้ว่าโรสมีส่วนรู้เห็นในการฆ่าผู้หญิงเหล่านั้น ซ้ำยังกระทำวิปริตต่อเหยื่อจนตาย หรืออาจฆ่าเหยื่อจนตายอย่างทุกข์ทรมานแสนสาหัสสุดขีดอีกด้วย

โรสถึงเครียดกับการขึ้นให้การในครั้งนี้มาก จนหายใจเกือบไม่ออก และเป็นลมหลายครั้ง คณะลูกขุนใช้เวลาไม่กี่นาที ลงความเห็นว่า โรสมีความผิดฐานฆ่าชาร์แมน,เฮเธอร์ เชอร์ลีย์ โรบินสัน,และเด็กอื่นๆ ที่ฝังในบ้านนรกหลังนั้น รวมทั้งสิ้น10กระทง
โทษที่โรสได้รับคือจำคุกตลอดชีวิต และไม่ได้รับการพิจารณาให้ลดหย่อนผ่อนโทษใดๆ ทั้งสิ้น
 


หลังเฟร็ดฆ่าตัวตายและโรสจำคุกตลอดชีวิต เหล่าลูกๆ ทั้งหมดของครอบครัวเวสต์ทั้งหมด อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลเมื่อทั้งหมดโตขึ้นก็แยกทางกันไป บางคนมีครอบครัว บางคนอยู่คนเดียว


สตีเฟ่น เวสต์ ลูกของโรสได้บอกว่าพ่อแม่ของพวกเขาได้ฆ่าเหยื่อมากกว่านั้น พ่อของเขาบอกว่าเหยื่อที่ไม่พบยังมีอีกเยอะ
ส่วนที่ซ่อนที่ฝังนั้นเขาไม่สามารถตอบได้ว่าอยู่ที่ใด เพราะพ่อของเขาปิดเป็นความลับ

ในวันที่ 20 พฤษภาคม 1994 วิลเลียม ฮิลล์ ลูกพี่ลูกน้องของเฟร็ดได้รับการตัดสินจำคุก 4 ปีในข้อหาข่มขืนเด็กสาวอายุ 15
และเขาเองก็พยายามฆ่าตัวตายในคุกเช่นเดียวกับเฟร็ด แต่ก็ถูกช่วยออกมาได้ และต่อมาเขาก็ถูกนำไปรักษาอาการป่วย
อาการทางจิตที่โรงพยาบาล



ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 1999 แอนน์ มารีลูกสาวของเฟร็ดพยายามฆ่าตัวตายด้วยการโดดลงแม่นำกลอสเตอร์ แต่ถูกช่วยได้ทัน แต่ไม่นานเธอก็พยายามกินยาเกินขนาดฆ่าตัวตายอีก แสดงให้เห็นว่าผลกระทบจากความเลวร้ายของพ่อแม่ของเธอนั้นมีมากแค่ไหน

ปัจจุบันโรสยังคงถูกจองจำใน HM Prison Low Newton แม้ว่าเธอจะถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต และเธอยังไม่แสดงอาการเศร้าโศกหรือนึกเสียใจสำนึกสิ่งที่เธอก่อเลยแม้แต่น้อย ผู้พิพากษาศาลฏีกาได้กล่าวว่า

เธออาจถูกปล่อยตัวในปี 2019 ซึ่งเวลานั้นโรสจะมีอายุ 66 ปี อีกไม่กี่แล้วนับจากเวลานี้ ไม่รู้จะมีศพใหม่อีกไหม เหอๆ


 



 

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
SpiderMeaw's profile


โพสท์โดย: SpiderMeaw
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
8 VOTES (4/5 จาก 2 คน)
VOTED: ป้าสวย, ไข่ต้มยางมะตูม
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
เพื่อน "ออกัส" ซัดแหลก..พระเอกดังต่างหาก ถูกข่มขู่ให้กราบเท้า!!ลูกค้าหนุ่มเศร้า หลังรีวิวชุดกีฬาที่ซื้อมา แต่ดันพลาดเห็นหนอนน้อยอิหร่านขู่ถล่มที่ตั้งนิวเคลียร์ ของอิสราเอลด้วยขีปนาวุธเกมพลิก!! เมื่อหนุ่ม ๆ เเอบเเม่ไปหาปลา เกือบโดนด่า เเต่พอเห็นลูกได้ปลาตัวใหญ่กลับบ้าน เสียงเปลี่ยนทันทีเลยนะเเม่
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
สาว "เจี๊ยบ" ทำเนียนเดินรวมกับ นร.ญี่ปุ่น..ทำเอาหนุ่ม "บอย" ถึงกับแยกไม่ออกชาวลาวไม่ทน! หลังหนุ่มจีนโพสทิ้งเงินกีบลงในถังขยะ ทำคนลาวถึงกับไม่พอใจ?อิหร่านขู่ถล่มที่ตั้งนิวเคลียร์ ของอิสราเอลด้วยขีปนาวุธชวนมารู้จักลาบูบู้ มาการอง เดี๋ยวจะคุยกับเค้าไม่รู้เรื่อง
กระทู้อื่นๆในบอร์ด ข่าววันนี้
อิหร่านขู่ถล่มที่ตั้งนิวเคลียร์ ของอิสราเอลด้วยขีปนาวุธคนไข้วัย 72 ติดเชื้อโควิดนาน 613 วัน ก่อนกลายพันธุ์ในร่างกายกว่า 50 ครั้งชาวเน็ตจีนวิจารณ์หลังสถานีรถไฟใหม่หน้าตาเหมือนโกเต็กลูกค้าหนุ่มเศร้า หลังรีวิวชุดกีฬาที่ซื้อมา แต่ดันพลาดเห็นหนอนน้อย
ตั้งกระทู้ใหม่