(Red Barn Murder)
ในปี 1827 ที่หมู่บ้านพาลสเตด (Palstead) ประเทศอังกฤษ เกิดคดีฆาตกรรมที่สร้างความแตกตื่นไปทั่วประเทศ ไม่ใช่เพราะผู้ตายเป็นสาวสวยอายุน้อย หรือเพราะศพของเธอถูกอำพรางไว้นานนับปี แต่เป็นเพราะวิญญาณสาวเจ้ากลับมาทวงความยุติธรรมให้ตัวเอง เมื่อฆาตกรทำท่าว่าจะลอยนวลไปได้
มาเรีย มาร์เตน (Maria Marten) เป็นลูกชาวนายากจน แต่เมื่อมีความสวยเป็นอาวุธ มาเรียจึงหวังเสมอว่าจะใช้รูปเป็นทรัพย์ สลัดความลำบากที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดทิ้งไปให้ลงได้ ความทะเยอทะยานข้อนี้ผลักดันให้มาเรียกระโจนเข้าสู่อ้อมกอดของวิลเลียม คอร์เดอร์ ลูกชายคนที่สามของเจ้าของที่ดินฐานะดี โดยไม่สนใจว่าความประพฤติของเขาจะดีสมฐานะหรือเปล่า
วิลเลียม คอร์เดอร์ อาจจะเกิดมาในครอบครัวเงินถุงเงินถังก็จริง แต่นิสัยใจคอกลับเจ้าเล่ห์ไม่ผิดอะไรกับอันธพาลข้างถนน ฉายา "จิ้งจอก" (The Fox) ของเขาไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่ได้มาจากนิสัยกลิ้งกลอก ปลิ้นปล้อน ตลบแตลง วิลเลียมเคยถูกจับได้ว่าปลอมลายเซ็นต์บิดาไปกว้านซื้อผลผลิตชาวบ้าน แล้วหายจ้อยเข้ากลีบเมฆโดยไม่จ่ายเงิน พอความแตก ครอบครัวคอร์เดอร์จึงต้องส่งเขาไปอยู่ที่ลอนดอนเพื่อไม่ให้สร้างความเดือดร้อนได้อีก ต่อมาวิลเลียมกลับสู่หมู่บ้านโพลสเตดอีกครั้ง หลังจากพี่ชายของเขาจมน้ำเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ และไม่ว่าการตายของพี่ชายจะเป็นอุบัติเหตุจริงหรือมีใครจัดฉาก แต่มันก็ทำให้เงินมรดกและฟาร์มพื้นที่กว่า 300 เอเคอร์ตกเป็นของวิลเลียมโดยปริยาย
พอวิลเลียมได้พบมาเรีย ความเจ้าชู้ในกมลสันดานก็แผลงฤทธิ์ทันที เขาชอบพาเธอไปพลอดรักกันที่โรงนาขนาดใหญ่บนเนินเขาบาร์นฟิลด์ ห่างหมู่บ้านไปประมาณครึ่งไมล์ หลังคาโรงนาแห่งนี้มุงด้วยกระเบื้องสีแดง เมื่อแสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องเข้ามา โรงนาจะแดงฉานราวกับอาบด้วยสีเลือด ชาวบ้านจึงเรียกที่นี่ว่า "โรงนาสีแดง" สองหนุ่มสาวพร่ำพรอดกันอยู่ไม่นาน มาเรียก็ตั้งท้อง เธอจึงอ้อนวอนให้คนรักรีบจัดงานแต่งงานโดยเร็วที่สุด แต่วิลเลียมกลับทำเป็นทองไม่รู้ร้อนจนกระทั่งเด็กในท้องทนรอไม่ไหวต้องออกมาดูโลกซะเองในอีก 3 เดือนต่อมาทว่าไม่นานนักทารกน้อยก็จายไปอย่างเป็นปริศนา มีเพียงมาเรียที่ยืนกรานว่าวิลเลียมเป็นคนฆ่าลูกของเธอ (ต่อมามีการพิสูจน์ว่าลูกของเธอถูกฆาตกรรมจริงๆ)
ถึงตอนนี้ต่อให้ฉลาดน้อยแค่ไหน มาเรียก็คงเดาได้แล้วว่าวิลเลียมไม่เคยคิดจะจริงจังกับเธอเลย แต่เธอทุ่มเทชีวิตจิตใจ ชื่อเสียงเกียรติยศลงไปที่ผู้ชายคนนี้ จนยอมถอยกลับมือเปล่าไม่ได้เสียแล้ว เธอจึงตามเซ้าซี้วิลเลียมไม่เลิกรา หารู้ไม่ว่าการตอแยคนอย่างวิลเลียมก็เหมือนเล่นกับไฟ เพราะเขาสามารถทำอะไรร้ายๆ ได้มากเกินกว่าที่ใครจะคิด
วันที่ 18 พฤษภาคม 1827 วิลเลียมหลอกให้มาเรียไปพบที่โรงนาสีแดง โดยบอกว่าจะพาเธอไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกัน ด้วยความความดีใจมาเรียจึงรีบเก็บเสื้อผ้าข้าวของไปตามนัดทันที แต่แล้วความฝันทั้งมวลของเธอก็ต้องจบลง พร้อมกับเสียงกัมปนาทที่ดังจากปลายกระบอกปืนของชายคนรัก จากนั้นวิลเลียมก็ฝังศพเธอแล้วหนีไปกบดานในกรุงลอนดอน ทิ้งความรัก ความฝัน และความหวังของผู้หญิงจนๆ คนหนึ่งไว้ในโรงนาสีแดงแห่งนั้นนั่นเอง
เมื่อมาเรียหายตัวไปพร้อมวิลเลียม ทุกคนจึงคิดเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากสาวเจ้าคงถือธรรมเนียมวิวาห์เหาะ โบยบินหนีตามเจ้าหนุ่มไปเสียแล้ว โธมัส มาร์เตน พยายามติดต่อวิลเลียมหลายครั้งเพื่อถามข่าวคราวลูกสาว เมื่อไม่ได้คำตอบเขาก็ขู่ว่าจะแจ้งตำรวจ ไม้ตายนี้เป็นสิ่งที่วิลเลียมกลัวที่สุด จอมกะล่อนจึงต้องหาทางโธมัสว่ามาเรียยังมีชีวิตอยู่ เขาเขียนจดหมายไปหาโธมัสในชื่อของมาเรีย เล่าว่าเธอสุขสบายดีอยู่บนเกาะไวท์ห่างไกลผู้คน พร้อมกับขอโทษที่ลายมืออาจจะเพี้ยนไปบ้างเพราะได้รับบาดเจ็บที่มือและดพื่อให้โธมัสเชื่อสนิทใจ วิลเลียมยังลงทุนสอดเงินปึกหนึ่งเข้าไปในจดหมายด้วย ด้วยเหตุนี้การหายไปของมาเรียจึงกลายเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคิดจะขุดคุ้ยอีกต่อไป
เวลาผ่านไป 1 ปี กลางดึกของเดือนเมษายนปี 1828 จู่ๆ นางมัวร์ แม่เลี้ยงของมาเรียก็ฝันติดกันถึง 3 ครั้ง ว่าได้เห็นลูกเลี้ยงสาวร่างกายโชกเลือด มาร้องไห้อ้อนวอนให้ช่วยขุดศพเธอออกจากโรงนาสีแดง ซ้ำยังระบุด้วยว่าเธอตายด้วยน้ำมือของวิลเลียม วันรุ่งขึ้นโธมัสกับชาวบ้านกลุ่มหนึ่งจึงพากันไปที่โรงนา แล้วขุดลงไปในจุดที่นางมัวร์บอก เพียงไม่นานทุกคนก็พบศพของมาเรียถูกยัดไว้ในกระสอบเก่าๆ ใบหนึ่ง ทันทีที่พบศพ อิสรภาพของวิลเลียมก็หลุดลอยไป เขาถูกจับในข้อหาฆาตกรรมโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยมีปืนที่ตำรวจพบในห้องพักเป็นหลักฐานมัดตัว
คดีนี้มีประชาชนแห่มาฟังการพิจารณาคดีจนเต็มห้อง จนถึงขั้นแจกตั๋วสำหรับผู้มีสิทธิเข้าฟังเลยทีเดียว ตอนแรกวิลเลียมทำท่าว่าจะรอดตัวไป เนื่องจากศพของมาเรียเน่าเปื่อยไปมากจนระบุสาเหตุการตายที่แน่ชัดไม่ได้แล้ว แต่ทว่าตำรวจก็โชว์ลวดลายเหนือชั้นด้วยการไปความหาตัวชาวนาที่บังเอิญเห็นเขาเดินถือปืนออกจากโรงนาหลังจากที่ฆ่ามาเรีย ทำให้ผู้ร้ายปากแข็งหมดปัญญาจะบ่ายเบี่ยง เขาจึงสร้างนิทานโกหกเรื่องใหม่ว่าเขากับมาเรียเพียงแต่มีปากเสียงกันเท่านั้น แต่เธอต่างหากที่คว้าปืนไปยิงตัวเอง เขาจึงจำใจต้องฝังศพเธอไว้เพราะเกรงจะถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกร
อันที่จริงนิทานโกหกเรื่องหลังมีเหตุผลพอฟังขึ้นอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อพิจารณาจากพยานแวดล้อมแล้ว ผู้พิพากษาก็ตัดสินใจลงโทษวิลเลียมด้วยการแขวนคอ ขณะกำลังรอวันประหารอยูในคุก วิลเลียมยอมสารภาพว่าเขาทำปืนลั่นใส่มาเรีย หลังจากทั้งสองทะเลาะกันอย่างรุนแรงถึงขั้นลงไม้ลงมือ แต่ไม่มีเจตนาจะฆ่าเธอเลยแม้แต่นิดเดียว ความตายของวิลเลียมมาถึงในวันที่ 11 สิงหาคม เขาถูกนำตัวไปยังตะแลงแกงในเรือนจำเบอรี่ เซนต์เอดมันส์ โดยมีประชาชนเฮโลมาชมการประหารนั้นแน่นขนัด หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งคำนวณว่าน่าจะมีผู้ชมมากกว่า 7,000 คน ขณะที่อีกฉบับบอกว่ามีมากกว่า 20,000 คนเสียอีก
"ผมมีความผิด นี่คือการตัดสินยุติธรรม ผมสมควรได้รับโชคชะตาดังกล่าวและขอให้พระเจ้าเมตตาต่อจิตวิญญาณของผมด้วย" เป็นคำพูดประโยคสุดท้ายที่วิลเลียมทิ้งไว้ก่อนชดใช้สิ่งที่เขาทำ
อย่างไรก็ตาม หลังจากวิลเลียมถูกประหารไปแล้ว คดีเลือดที่โรงนาสีแดงกลับไม่ตายไปพร้อมกับเขา มีคนตั้งข้อสังเกตุว่าออกจะเหลือเชื่อไปหน่อยที่มาเรียจะเข้าฝันแม่เลี้ยง เพราะถึงจะได้ชื่อว่าเป็นแม่แต่ที่จริงแล้วนางมัวร์แก่กว่ามาเรียเพียงไม่กี่ปี มาเรียจึงไม่เคยชอบหน้าแม่เลี้ยงของเธอ และปักใจเชื่อว่าจะมาหลอกพ่อของเธอเพื่อหวังสูบเลือด สองสาวทะเลารกันบ่อยครั้ง ทุกครั้งก็เถียงกันเผ็ดร้อนแทบจะฆ่ากันตาย แล้วเหตุใดจู่ๆ มาเรียถึงยอมบากหน้ามาเข้าฝันนางมัวร์ แทนที่จะไปเข้าฝันโธมัสพ่อของเธอ
คำถามข้อต่อมาก็คือทำไมมาเรียถึงต้องรอต้องรอตั้งหนึ่งปีกว่าจะบอกว่าเธอถูกฆาตกรรม ช่วงหนึ่งปีที่วิลเลียมปลอมจดหมายพร้อมส่งเงินมาให้นั้น วิญญาณสาวชาวนาผู้อาภัพนอนสงบอยู่ในโรงนามาโดยตลอด จนกระทั่งวิลเลียมหยุดส่งเงินนั่นล่ะ เธอถึงตะกายออกจากหลุมมาร้องขอความเป็นธรรม มีการคาดการณ์กันว่านางมัวร์น่าจะรู้เห็นการตายของลูกเลี้ยงมาตั้งแต่ต้น แต่เธอเห็นโอกาสจะแบล็กเมล์รีดเงินจากวิลเลียม จึงได้อุบเงียบไม่กระโตกกระตากบอกใคร
ตอนแรกวิลเลียมคงกลัวคำขู่จนขึ้นสมองถึงได้รีบส่งเงินมาตามที่เธอเรียกร้อง แต่หลังจากหนึ่งปีผ่านไป เขาอาจหมุนเงินไม่ทัน หรือไม่ก็คิดว่านางมัวร์ไม่กล้าเปิดโปงความลับเพราะนั่นเท่ากับนางจะต้องกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดไปด้วย เลยไม่ยอมส่งเงินมาอีก แต่แม่สาวมัวร์กลับฉลาดเป็นกรด เลยอ้างเรื่องผีขึ้นมาเพื่อให้ตัวเองไม่ต้องติดร่างแห มีคนตั้งข้อสงสัยด้วยว่านางมัวร์น่าจะเป็นคนรักอีกคนหนึ่งของวิลเลียมไม่อย่างนั้นคงไม่รู้ว่าเขานัดหมายมาเรียไปหาตอนไหน หรือดีไม่ดีเธออาจคบคิดกับเขา ฆ่าลูกเลี้ยงที่เป็นหนามยอกอกมานานด้วยซ้ำไป
คดีผีทวงแค้นแห่งโรงนาสีแดงกลายเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วอังกฤษและถูกนำไปสร้างเป็นเพลงพื้นบ้าน ละครเวที และภาพยนต์อีกหลายต่อหลายครั้ง ส่วนตัวโรงนาก็กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังจนกระทั่งในปี 1842 เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ทำให้โรงนาซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความรัก โศกนาฏกรรม และการทรยศหักหลัง มอดไหม้เป็นจุณไปในที่สุด