ชะตากรรมของนักโทษสมัยก่อน
การทรมานและประหารชีวิตนับเป็นวิธีการลงโทษที่เก่าแก่ที่สุด มีวัตถุประสงค์ เพื่อแก้แค้นให้สาสมใจ เมื่อฆ่าผู้อื่นตาย
ก็ต้องตายตกตามกัน หรือมีการทรมานและประหารไว้เพื่อให้ผู้คนหวาดกลัวไม่กล้าทำผิด และเพื่อป้องกันความสงบสุข
ของสังคม โดยตัดผู้ที่ทำผิดร้ายแรงออกจากสังคมอย่างถาวร ไม่ให้มีโอกาสกลับมาทำอันตรายแก่ผู้ใดได้อีก
(แต่ก็มีนักโทษหลายคนโดนทรมานและประหารโดยไม่มีความผิดเยอะนะพี่)
วิธีการประหารชีวิตมีพัฒนาการมาอย่างหลากหลาย โดยวิธีการที่ยกเลิกไปแล้วเพราะทารุณโหดร้ายเกินรับได้ เช่น
ประหารโดยกดให้จมน้ำตาย อาจจะเป็นการนำตัวคนร้ายใส่ไปในตะกร้าแล้วหย่อนลงน้ำก็ได้
**เอาหินขว้างให้ตาย ซึ่งใช้กับโทษลักทรัพย์หรือเป็นชู้กับลูกเมียผู้อื่น **
เอาไฟครอกหรือเผาให้ตาย ซึ่งใช้กับผู้กระทำผิดในทางศาสนาหรือลัทธิความเชื่อ ฯลฯ
หน้ากากนรก
ในยุคศตวรรษที่ 16 ในดินแดนเอสปันย่า ในยุคการปกครองของราชันย์ฟิลิป(King Philip)นั้น ปกครองอยู่
ซึ่งพระองค์ชอบทรมานนักโทษไม่น้อย โดยมีดยุ๊คแห่งอัลฟ่า(Duke of Avlve)เป็นผู้คิดค้นเครื่องมือมาทรมาน
นักโทษไม่เว้นแต่ละวัน แต่การทรมานที่ขึ้นชื่อ ดยุ๊คอัลฟ่า คือการทรมานโดยหน้ากากเหล็กนั้นแหละ
วิธีการใช้หน้ากากเหล็กนั้นคือง่ายๆ จับนักโทษมาขังและเอาหน้ากากนี้สวมเข้าหัว จากนั้นให้นักโทษแลบลิ้นยาวๆ
ถ้าไม่ยอมก็ใช้คีมบังคับแลบลิ้นออกมา จากนั้นก็เอาเหล็กที่เขี่ยไฟร้อนๆ แดงแจ๋มาวางบนลิ้นของนักโทษ เนื้อแดงๆ
ของลิ้นเมื่อโดนความร้อนจากเหล็กแดงจ้านั้นทำให้นักโทษเจ็บปวดทรมานส่งเสียงร้อยโหยหวน และการนาบลิ้น
กับเหล็กร้อนนั้นจะดำเนินต่อไปจนกระทั้งลิ้นนั้นบวมใหญ่ และคราวนี้ก็มาถึงจุดประสงค์ของการใช้เหล็กสวมหัวแล้วละ
เพราะในเมื่อลิ้นบวมใหญ่นั้นไม่สามารถจะดึงหดกลับเข้าไปในช่องเหล็กที่อยู่ตรงปากได้อีกต่อไป
กลายเป็นนักโทษลิ้นจุกปากพูดไม่ออก.........แบบนี้แล
Peine Forte Et Dure
อังกฤษยุคศตวรรษที่ 13 เป็นยุคแห่งความมืดบอดแห่งการทรมานนักโทษอีกยุคหนึ่ง โดยมีกษัตริย์เอ็ดวาร์ดที่ 1 (Edward 1 )
เป็นผู้ปกครองแผ่นดิน พระองค์ทรงสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ที่ใช้ทรมานนักโทษหลายอย่าง
โดยหนึ่งในนั้นคือ Peine Forte Et Dure ซึ่งเป็นเครื่องทรมานสำหรับนักโทษปากแข็งที่ไม่ยอมปริปากพูดอะไรสักที
โดยเครื่องมือนี้ทำด้วยไม้หรือแผ่นไม้ขนาดใหญ่และหนัก เวลาจะใช้ก็นำไปวางบนอกของนักโทษปากแข็ง จากนั้นก็นำของหนักๆ
วางบนแผ่นไม้นั้นโดยมีนักโทษนอนหงายรับแผ่นไม้ไว้อีกที่หนึ่ง น้ำหนักที่กดแน่นทำให้นักโทษหายใจไม่ออกเรื่อยๆ
แต่กระนั้นถ้านักโทษไม่ปริปากอะไร ผู้คุมจะเพิ่มน้ำหนักขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายด้วยน้ำหนักมากมายกดทับจนสุดทน
อวัยวะภายในของนักโทษก็ทนไม่ไหว พากันพุ่งทะลุปากและระเบิดดิ้นรนออกมา
จากเนื้อหนังในทันที และการตายในบัดดล
Booze Death ทรมานด้วยของมึนเมา
เป็นการทรมานในยุคของจักรพรรด์ ไดเบอริอุส(Emperor Tiberius) ในยุค 14-37 สมัยอาณาจักรโรมัน ซึ่งพระองค์ชอบมาก
ในการเฝ้าดูนักโทษทั้งหลายถูกทรมานก่อนประหาร โดยหนึ่งในนั้นคือการดื่มของมึนเมาจนตาย คือการเรียกนักโทษให้ออกมา
และบังคับให้ดื่มไวน์จากเหยือกขนาดใหญ่ชนิดไม่อั้น ถ้านักโทษดื่มไม่ไหวก็จะกรอกมันเรื่อยๆ
แต่ที่ถือเป็นไม้เด็ดของการทรมานนี้คือการมัดอวัยะเพศชายของนักโทษนั้นให้แน่นหนาด้วยเส้นลวดแข็งแรงจนไม่สามารถปัสสาวะได้
ดังนั้นแม้จะปวดสาวะมากที่ใดนักโทษก็ไม่สามารถปลดปล่อยได้ ดังนั้นลองคิดดูเวลาผู้คุมเกิดไม่ถูกหวยขึ้นมา(สมัยนั้นมีเรอะ)
บังคับให้นักโทษดื่มเหล้าจากไถ 2-3 โถไปเรื่อยๆ อย่างสะใจ มันจะเกิดอะไรขึ้น....
....กระเพะปัสสาวะระเบิดภายในตายอนาถสิครับท่าน
การทรมานแบบอินเดีย
มหาราชาแห่งแคว้น Jaipar ถือเป็นมหาราชาที่ชอบทรมานนักโทษไม่น้อย พระองค์ทรงรังเกียจพวกชาวบ้านที่ลักลอบจับสัตว์
ในเขตปกครองพระองค์มาก ครั้งถ้าจับชาวบ้านนี้ได้ พระองค์ได้เล่นงานพวกนี้ด้วยการทรมานที่แสบทรวงในนั้นคือ “ทรมานด้วยพริก”
วิธีการคือ จับนักโทษถลกให้เห็นก้นสวยๆ แล้วให้ผู้คุมแหวกทวารนั้นให้อ้าสุดๆ และยัดพริกขี้หนูแดงสดเผ็ดจัดเข้า
ไปในทวารนักโทษนั้น...............(ไม่ถึงตายหรอกน่า)
แต่ที่ฮิตที่สุดสมัยนั้นคือ “การจับนักโทษไปให้ช้างเหยียบตาย” วิธีการไม่ยาก นั้นคือเอานักโทษมัดมือไขว้หลังไว้อย่าให้หนี
แล้วก็พาดหัวนั้นโทษไว้กับแท่นไม้แข็งแรง แล้วเอาช้างขนาดใหญ่มาเหยียบนักโทษให้เละเหมือนหัวแดงโม โดยส่วนใหญ่แล้ว
ช้างจะเล่นหัวนักโทษก่อน มันจะไม่ย่ำเท้าหนักๆ ปล่อยให้นักโทษจิตตกหายใจพรืดๆ ด้วยความกลัวตายใต้ฝ่าเท้าสักพัก
ก่อนที่ช้างจะเบื่อและนั้นแหละคุณจะได้ยิน “โพล้ะ” ดังแว่วๆ ลอยๆ กลางอากาศ
ขึง Rack (เครื่องทรมานนักโทษ)
งคือเป็นอุปกรณ์ทรมานดึงแขนขาทั้ง 4 ในสมัยโบราณ รูปร่างของมันจะเป็นแผ่นไม้รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหรือเป็นจะรูปไข่, หรือโต๊ะ
โดยปกติทำด้วยไม้ แล้วทำให้สูงขึ้นเล็กน้อยจากพื้นดิน, และมีกลไกเพื่อที่จะใช้ขึงนักโทษ เวลาจะใช้ก็จับนักโทษมาผูกแขนผูกขาขึงพรืดกับแผ่นไม้แล้วติดตั้งกับอุปกรณ์ให้แน่นจนเคลื่อนไหวไม่ได้ จากนั้นก็หมุนโดยใช้วิธีแบบวิธีลูกรอกหมุนแกน
และแล้วด้วยกลไกของอุปกรณ์ชนิดนี้ทำให้ร่างของนักโทษเคลื่อนแยกออกจากกัน แขนและขาถูกดึงไปในทิศทางตรงกันข้ามจนร่างตึง ตัวยืดออกไป กล้ามเนื้อแขนขาจะถูกยืด เส้นเอ็ดขาดสะบั้น กระดูกที่เชื่อมต่อร่างกายเริ่มเคลื่อนห่างจากกันเพราะไม่มีเอ็นร้อยยึด
นักโทษกลายเป็นเปรตโดยบัดดล......
สุดท้ายไม่เอามาลงก็คงไม่ได้ การประหารของไทยในสมัยก่อน
วิธีการประหารชีวิตตามพระไอยการกระบถศึก บันทึกและอธิบายเอาไว้อย่างละเอียดถึงวิธีการลงโทษ
ประหาร 21 วิธี หรือ 21 สถาน ดังนี้
สถาน 1 คือ ให้ต่อยกระบานศีศะ (กบาลศีรษะ) เลิกออก (เปิดออก) เสียแล้ว เอาคีมคีบก้อนเหล็กแดงใหญ่
ใส่ลงไปในมันสะหมอง (มันสมอง) ศีศะพลุ่งฟู่ขึ้นดั่งม่อ (หม้อ) เคี่ยวน้ำส้มพะอูม
สถาน 2 คือ ให้ตัดแต่หนังจำระ (จาก) เบื้องหน้าถึงไพรปากเบื้องบนทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงหมวกหู (ใบหู)
ทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงเกลียวคอชายผมเบื้องหลังเป็นกำหนด (หนังบริเวณคอถึงท้ายทอย) แล้วให้มุ่นกระหมวดผม
เข้าทั้งสิ้น (ม้วนเข้าหากัน) เอาท่อนไม้สอดเข้าข้างละคน โยกคลอนสั่นเพิกหนังทั้งผมนั้นออกเสียแล้วเอากรวดทรายหยาบ
ขัดกระบานศีศะชำระให้ขาวเหมือนพรรณศรีสังข์
สถาน 3 คือ ให้เอาขอเกี่ยวปากให้อ้าไว้ แล้ให้ตามประทีบ (ดวงไฟ) ไว้ในปาก ไนยหนึ่ง (นัยหนึ่ง) เอาปากสิวอันคม
นั้นแสะแหวะผ่าปากจนหมวกหู (ใบหู) ทั้งสองข้าง แล้วเอาขอเกี่ยวให้อ้าปากไว้ให้โลหิตไหลออกเต็มปาก
สถาน 4 คือ เอาผ้าชุบน้ำมันพันให้ทั่วร่างกายแล้วเอาเพลิงจุด
สถาน 5 คือ เอาผ้าชุบน้ำมันพันนิ้วทั้งสิบนิ้วแล้วเอาเพลิงจุด
สถาน 6 คือ เชือดเนื้อให้เป็นแรงเป็นริ้วอย่าให้ขาดจากกัน ตั้งแต่ใต้คอลงไปถึงข้อเท้าแล้วเอาเชือกผูกจำ
ให้เดินเหยียบริ้วเนื้อริ้วหนังแห่งตน ให้ฉุดคร่าตีจำให้เดินไปกว่าจะตาย
สถาน 7 คือ เชือดเนื้อให้เนื่องด้วยหนังเป็นแร่งเป็นริ้ว ตั้งแต่ใต้คอลงมาถึงเอวและให้เชือดตั้งแต่เอวให้เนื่องด้วยหนัง
เป็นแร้งเป็นริ้วลงมาถึงข้อเท้ากระทำหนังเบื้องบนให้คลุมลงมาเหมือนนุ่งผ้า
สถาน 8 คือ ให้เอาห่วงเหล็กสวมข้อศอกทั้งสองข้าง ข้อเข่าทั้งสองข้างให้มั่นแล้วเอาหลักสอดในวงเหล็กแย่งขึง
ตรึงลงไว้กับแผ่นดินอย่าให้ไหวตัวได้ แล้วเอาเพลิงรน (ลน) ให้รอบตัวจนกว่าจะตาย
สถาน 9 คือ ให้เอาเบ็ดใหญ่ที่มีคมสองข้างเกี่ยวทั่วร่างเพิก (เปิด) หนังเนื้อและเอ็นน้อยใหญ่ให้หลุดขาดออกมาจนกว่าจะตาย
สถาน 10 คือ ให้เอามีดที่คมเชือดเนื้อให้ตกออกจากกายแต่ทีละตำลึง (นำเนื้อมาชั่งให้ได้น้ำหนักหนึ่งตำลึง:มาตราวัดสมัยโบราณ)
จนกว่าจะสิ้นมังสา (เนื้อ)
สถาน 11 คือ ให้แล่สับทั่วร่างแล้ว เอาแปรงหวีชุบน้ำแสบกรีดคอ รูดขูดเสาะหนังและเนื้อแลเอ็นน้อยใหญ่ให้ลอกออกให้สิ้นให้อยู่แต่ร่างกระดูก
สถาน 12 คือ ให้นอนลงโดยข้างๆ หนึ่งแล้วให้เอาหลาวเหล็กตอกลงไปโดยช่องหูให้แน่นกับแผ่นดินแล้วจับขาทั้งสองข้างหมุนเวียน
ไปดังบุคคลทำบังเวียน (เวียนเทียน)
สถาน 13 คือ ทำมิให้หนังพังหนังขาด แล้วเอาลูกสีลา (ลูกหิน) บดทุกกระดูกให้แหลกย่อย แล้วรวบผมเข้าทั้งสิ้น ยกขึ้นหย่อนลงกระทำ
ให้เนื้อเป็นกองเป็นลอม แล้วพับห่อเนื้อหนังกับทั้งกระดูกนั้นทอดวางไว้ดั่งตั่งอันทำด้วยฟางซึ่งเอาไว้เช็ดเท้า
สถาน 14 คือ ให้เคี่ยวน้ำมันให้เดือดพลุ่งพล่าน แล้วลาดสาดลงมาแต่ศีศะ (ศีรษะ) จนกว่าจะตาย
สถาน 15 คือ ให้กักขังสุนัขร้ายทั้งหลายไว้ อดอาหารหลายวันให้เต็มอยากแล้วปล่อยให้กัดทึ้งเนื้อหนังกินให้เหลือแต่ร่างกระดูกเปล่า
สถาน 16 คือ ให้เอาขวานผ่าอกทั้งเป็นแหกออกดั่งโครงเนื้อ
สถาน 17 คือ ให้แทงด้วยหอกทีละน้อยๆ จนกว่าจะตาย
สถาน 18 คือ ให้ขุดหลุมฝังเพียงเอว แล้วเอาฟางปกลงคลุมร่างก่อนคลอกด้วยเพลิงพอหนังไหม้แล้วไถด้วยไถเหล็ก
ให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่เป็นริ้วน้อยริ้วใหญ่
สถาน 19 คือ ให้เชือดเนื้อล่ำออกทอดด้วยน้ำมัน เหมือนทอดขนมให้ กินเนื้อตัวเองจนกว่าจะตาย
สถาน 20 คือ ให้ตีด้วยตะบองสั้นตะบองยาวจนกว่าจะตาย
สถาน 21 คือ ตีด้วยหวายที่มีหนามจนกว่าจะตาย