— ปฏิบัติการตามล้างอดีตให้โจลี่ของผัวสุดรัก —
____________________
.
มือของ บิลลี่ บ็อบ ธอร์นตัน ไม่เคยแกะออกจากเรือนร่างของ แองเจลิน่า โจลี่ เลยในงานรอบปฐมทัศน์หนัง Gone in 60 Seconds พวกเขานัวเนียลูบไล้กันออกกล้องอย่างไม่เคอะเขิน และยอมรับกับผู้สื่อข่าวว่า ก่อนจะมาเดินพรมแดงเมื่อสัก10 นาทีก่อนนี้ เขาและเธอได้เฮ็ดกันอย่างบ้าคลั่งในรถลีมูซีน และพวกเขาไม่อายที่จะประกาศให้โลกรับรู้ถึงความรักที่เขามีให้กัน
.
แบรด พิตต์ ต้องเสียเงินหลายล้านในการตามเก็บตามฝังกลบอดีตของภรรยารัก ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบเซ็กส์เทป ที่ว่ากันว่านอกจาก แบรด พิตต์ กับเจ้าของเทปแล้ว ไม่มีใครได้ดูเซ็กส์เทปที่มีเพียงก็อปปี้เดียวในโลกม้วนนั้น มูลค่าที่ แบรด พิตต์ ต้องเสียให้กับเจ้าของเทปไปนั้นเป็นเงินราวๆ 10 ล้านดอลล่าร์ เพื่อแลกกับการที่เขาได้ล้างอดีตอันไม่โสภานักของภรรยา
.
ยังไม่พอแค่นั้นเมื่อมีการเปิดประมูลภาพอัลบั้ม Horseplay ซึ่งเป็นผลงานการถ่ายของ ดาวิด ลาชาเปล ที่เขาได้บรรจงถ่ายภาพโจลี่ในอริยาบทเปลือยเปล่า และเธอได้บำเพ็ญทุกรกิริยาให้เจ้าม้าขาวตัวเขื่องซุกไซร้ไปทั่วเรือนร่างของเธอ โดยที่ภาพนี้ถูกวางให้มีการตีพิมพ์ในนิตยสาร โรลลิ่ง สโตน แต่เนื่องจากมันส่อไปในทางอนาจารเกินงาม ภาพเหล่านี้จึงไม่ได้ถูกตีพิมพ์
.
แบรด พิตต์ เข้าร่วมประมูลภาพเซ็ตนี้ราวกับว่ามันจะช่วยลบภาพลักษณ์ฉาวๆของเมียรักได้ แต่เขาย้ำว่าการประมูลครั้งนี้เขาไม่ได้สนใจว่ามันเป็นภาพฉาว เขาแค่อยากครอบครองภาพเซ็ตนี้ไว้เพราะโจลี่ดูสวยมากๆ
.
" เธอไม่ได้โดนเจ้าม้านั่นขย่มซักหน่อย เธอแค่ถ่ายรูปกับมัน และมันสวยดี ถ้าจะมีอะไรที่มาทำให้ผมหัวเสียจากภาพชุดนี้ก็มีแค่ลายสักชื่อบิลลี่สามีเก่าเธอที่หัวไหล่นั่นแหละ "
.
แบรด พิตต์ คือสามีที่ดี เขายอมรับว่าฉากหนึ่งในหนัง Mr. & Mrs. Smith ตัวละครของเขาได้ถามตัวละครของเธอทำนองว่า " คุณเป็นสายลับมานานและชอบเอาตัวเข้าแลกขนาดนี้ คุณผ่านผู้ชายมากี่คนแล้ว " และคำตอบว่า ผ่านมือชายมาหลายร้อยคนแล้ว ของเธอในหนังทำให้แบรด พิตต์ เจ็บปวด มันสะท้อนชีวิตจริงได้แทงใจมากๆ แต่เขาก็ยังคงรักเธอสุดหัวใจ
.
ทั้งนี้แบรด พิตต์ บอกว่า การที่เขาทุ่มเทล้างอดีตให้ภรรยาแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย นั่นเพราะเขาทำเพื่อลูกๆทั้งหลายของเขากับเธอ และมันรวมไปจนถึงการที่ตอนนี้โจลี่มีหน้าที่ในหลายองค์กร เธอทำงานการกุศลมากมายแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และแบรด พิตต์ รับมันไม่ได้ถ้าหากจะมีใครสักคนฝ่าวงล้อมนักข่าวแล้วไปตะโกนว่าเธอไม่ดี เพราะผู้หญิงคนนี้ปัจจุบันเธอคือคนนี้ ส่วนอดีตจะเป็นอย่างไรแบรดไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้ เขาทำได้เท่าที่ทำ เพื่อปกป้องคนที่เขารัก การตามล้างอดีตให้เธอ มันเป็นแค่งานเล็กน้อย ถ้าเทียบกับสิ่งที่โจลี่ทุ่มเทอย่างเหนื่อยหนักในตอนนี้
—“ฉันไม่ใช่ของเล่นของใครนะไอ้อ้วน”—
____________________
หลังจากเกรซ เคลลี ได้ตัดสินใจยุติการแสดงภาพยนต์เพื่อเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับเจ้าชายเรนิเยที่ 3 องค์อธิปัตย์แห่งโมนาโก และใช้ชีวิตหลังจากนั้นในฐานะผู้นำประเทศฝ่ายสตรี ก็ทำให้ผู้กำกับคู่บุญอย่างอัลเฟรด ฮิทช์ค็อก ถึงกับหัวเสีย เพราะต้องเริ่มต้นหานักแสดงหญิงฝีมือดีและตรงใจเขาใหม่
.
จนกระทั่งฮิทช์ค็อกได้เห็น ‘ทิปปี เฮเดรน’ ผ่านทางจอโทรทัศน์ ซึ่งตอนนั้นเธอเป็นเพียงนักแสดงในโฆษณาเครื่องดื่มปราศจากน้ำตาลยี่ห้อหนึ่ง แต่เขากลับรู้สึกถูกอกถูกใจในตัวเธอเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะรูปลักษณ์ของเธอที่ดูเหมือนจะเป็นผู้หญิงที่มีสไตล์ คล้ายๆ กับนักแสดงหญิงที่เขาหลงไหลคนอื่นๆ อย่าง ไอรีน ดันน์, เกรซ เคลลี และคลอเด็ทท์ คอลเบิล์ท เป็นต้น
.
หลังจากนั้นไม่นาน ฮิทช์ค็อกก็ได้เซ็นสัญญา 7 ปี เพื่อร่วมงานกับเธอ ซึ่งภาพยนตร์เรื่องยาวเรื่องแรกที่เธอได้เล่นให้กับเขาก็คือ “The Birds” แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แม้เฮเดรนจะโด่งดังในชั่วข้ามคืน จากการรับบทนางเอกในภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ทว่าเธอกลับไม่มีความสุขเลย แถมยังรู้สึกด้วยว่าเหมือนตกนรกทั้งเป็นเสียด้วยซ้ำไป
.
ข้อมูลจากหนังสือ “The Dark Side Of Genius: The Life Of Alfred Hitchcock” โดย Donald Spoto ซึ่งช่วงหนึ่ง ผู้เขียนได้นำบมสัมภาษณ์เฮเดรน ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับปัญหาทั้งในและนอกกองถ่าย ระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์ให้กับฮิทช์ค็อก ซึ่งเธอเล่าว่า ฮิทช์ค็อกถึงขนาดจ้างคนมาคอยติดตามเธอ มาเฝ้าดูว่าหลังเธอออกจากกองถ่ายแล้ว ไปทำอะไร ที่ไหน อย่างไรบ้าง
.
เฮเดรน: “...เขาทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของฉันมากเกินไป ฉันไม่ได้เป็นของของใคร หรือของเล่นของใครทั้งนั้น...เขาสั่งฉันว่า ควรกินอะไร ใช้ชีวิตอย่างไร ใครบ้างที่ฉันควรจะเจอ...ยิ่งไปกว่านั้น ไอ้อ้วนนั่น* ยังเคยคิดจะลวนลามฉันอีกด้วยนะ พยายามจะจูบฉันที่ท้ายรถ...แล้วใครจะทำอะไรได้ล่ะ ก็เขาคือฮิทช์ค็อก ผู้กำกับผู้ทรงอิทธิพลคนนั้น...”
.
สุดท้าย หลังจากภาพยนตร์เรื่อง “Marnie” ถ่ายทำจนเสร็จสิ้น เฮเดรนก็ได้ตัดสินใจจะยกเลิกสัญญาร่วมงานกับฮิทช์ค็อก ซึ่งทำให้เขาหัวเสียเป็นอย่างมาก ถึงขนาดข่มขู่เธอด้วยว่า หากเธอยกเลิกสัญญา เขาเองนี่แหละจะเป็นคนทำให้เธอหมดอนาคตในวงการบันเทิง
.
เฮเดรนไม่ได้ยี่หระคำพูดของฮิทช์ค็อกเลยสักนิด และถึงแม้เขาเองจะไม่ดำเนินการใดๆ หลังจากคำขอของเธอเป็นเวลา 2 ปี (ในระหว่างนั้นเธอก็ยังได้รับค่าจ้างตามปกติ) แต่ท้ายที่สุดแล้ว ฮิทช์ค็อกก็ได้ขายสัญญาของเธอที่เหลือให้กับยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ ซึ่งต่อมาเธอก็ได้แสดงละครทีวีอีกเพียงสองเรื่อง ก่อนที่ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ จะโละเธอทิ้งไปตามระเบียบ
*หลังจากมีเรื่องมีราวกัน เฮเดรนก็มักจะเรียกฮิทช์ค็อกว่า ‘ไอ้อ้วน’ กลางกองถ่ายเสมอ ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่า การพูดถึงน้ำหนักตัวของฮิทช์ค็อกเป็นเรื่องต้องห้าม
– แมวไทยของเจมส์ ดีน –
___________________________
กันยายน ปี 1955 หลังการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Giant จบสิ้นลง เจมส์ ดีน ก็ได้รับเจ้าแมวไทยตัวน้อยมาจากเอลิซซาเบธ เทเลอร์ นักแสดงสาวสวยที่แสดงหนังเรื่องนี้ร่วมกันกับเขา เจมส์ ดีน ตั้งชื่อแมวตัวนี้ชื่อว่ามาร์คัสและตั้งใจเลี้ยงเจ้าแมวน้อยเป็นอย่างดี จนในวันที่ 30 กันยายน ในปีเดียวกัน เจมส์ ดีน มีกำหนดการที่จะไปแข่งรถที่เมืองซาลีน่าส์ แคลิฟอร์เนีย เขาจึงต้องหาใครสักคนมาดูแลเจ้าแมวไทยตัวน้อยตัวนี้แทนเขาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
.
เจเน็ต โดตี้ นักแสดงสาวที่ออกเดทกับเจมส์ ดีน ในช่วงเวลานั้นรับอาสาเป็นผู้ดูแลแมวตัวน้อยให้กับเขา เจมส์ ดีน เอาแมวไปฝากเจเน็ตในตอนกลางคืนก่อนออกเดินทาง และทิ้งโน๊ตที่เขียนคำแนะนำในการดูแลแมวตัวน้อยให้แก่เจเน็ต ที่ระบุถึงการให้อาหารและวิตามินประจำวัน และยังฝากเจเน็ตให้พามาร์คัสไปหาหมอในสัปดาห์หน้า ในกระดาษโน๊ตแผ่นนั้นมีข้อความเขียนไว้ว่า
.
1 teaspoon white Karo
1 big can evaporated milk
equal part boiled water or
distilled water
1 egg yoke
mix and chill
.
Don't feed him meat or formula cold.
1 drop vitamen solution per day
.
Take Marcus to Dr. Cooper on Melrose for shots next week
.
แต่ถึงกระนั้น เจมส์ ดีน ก็ไม่ได้กลับมารับมาร์คัสไปอยู่ด้วยกันอีกแล้ว เพราะเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ในวันรุ่งขึ้น อุบัติเหตุเกิดขึ้นในตอนที่เจมส์ ดีน กำลังขับรถอยู่บนทางหลวงสาย 466 ที่บริเวณช่วงเมืองโชเลม แคลิฟอร์เนียเพื่อไปแข่งรถที่เมืองซาลีน่าส์ รถจากเลนฝั่งตรงข้ามซึ่งขับโดย โดนัลด์ เทิร์นอัพสีด นักศึกษาวัย 23 ปี ไม่ได้สังเกตเห็นรถของดาราหนุ่ม เขาได้เลี้ยวรถตัดหน้ารถของเจมส์เพื่อจะเข้าสู่ทางหลวงสาย 41 ทำให้รถทั้งสองคันประสานงานกันเข้าอย่างจังจนเกิดเหตุร้ายขึ้น
.
จากรายงานของตำรวจถึงอุบัติเหตุครั้งนั้นพบว่า โดนัลด์ เทิร์นอัพสีด ผู้ก่อเหตุโดยประมาทได้รับบาดเจ็บเพียงแค่จมูกฟกช้ำและมีบาดแผลที่ศีรษะด้านหน้าเล็กน้อย ส่วนรอล์ฟ วูเทอริช ช่างยนต์ที่เดินทางมากับเจมส์ ดีน กระเด็นตกจากรถ เกิดบาดแผลที่ศีรษะ ขากรรไกรหัก และได้รับบาดเจ็บตามร่างกาย ในขณะที่เจมส์ ดีน ได้รับบาดเจ็บอาการสาหัสทันทีที่เกิดอุบัติเหตุนี้ขึ้น แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะรีบนำเขาส่งโรงพยาบาล แต่เขาก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหว สิ้นใจไปในเวลา 6 โมงเย็น ขณะที่มีอายุได้เพียง 24 ปี ปิดตำนานดาวจรัสแสงแห่งฮอลลีวู๊ดลงอย่างน่าเสียดาย
.
กระดาษโน๊ตแผ่นนั้นที่เขาเขียนให้เจเน็ต จึงน่าจะเป็นการเขียนด้วยลายมือครั้งสุดท้ายในชีวิตที่เจมส์ ดีน ได้เขียนอะไรสั่งเสียไว้ก่อนที่เขาจะจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับ ส่วนมาร์คัส เจ้าแมวไทยที่เจมส์ ดีน รักจนต้องฝากฝังกับเจเน็ตไว้ มันได้หนีออกจากบ้านของเจเน็ตไปในวันที่เจ้านายของมันเสียชีวิต…
-นางฟ้าของชาร์ลี-
__________________
อูน่า โอนีล จบจากโรงเรียนเอกชนชื่อดังในแมนฮัตตั้น โดยมี กลอเรีย แวนเดอร์บิลและ ทรูแมน คาโพที(นักเขียนชื่อดัง)เป็นเพื่อนสนิท-แม้ยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่พวกเขามักใช้เวลาอยู่ในไนท์คลับที่นิยมและเริ่มปรากฏตัวในหน้านิตยสารสังคมต่างๆ
.
หลังจากเรียนจบอูน่ามีความฝันที่จะเป็นนักแสดงแม้ว่าพ่อของเธอจะไม่เห็นด้วยและมีแต่หลายต่อหลายครั้งพ่อของเธอใช้อำนาจเส้นสายในการยกเลิกการแสดงทั้งหมดของเธอ แต่เธอก็ไม่ได้ละลดความพยายาม เธอย้ายไปอยู่ฮอลลีวู๊ดเพื่อสานต่อการเป็นนักแสดงอาชีพ ที่นั่นเองที่เธอได้พบกับ ชาลี แชปปลินและได้แสดงในภาพยนตร์ของเขา ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ได้พัฒนาขึ้น 1เดือนหลังจากที่เธอเข้าสู่อายุ18ปี พวกเขาก็ได้พากันหนีไปแต่งงานที่เมืองซานต้าบาบาร่า
.
เธอได้กลายเป็นภรรยาคนที่4ของชาลี ด้วยอายุที่ห่างกันถึง36ปี (ชาลีในวัย54และอูน่าในวัย18ปี) ทำให้พ่อของเธอที่อยู่ในวัยเดียวกันกับชาลีแสดงความโกรธในการแต่งงานของเธอ เขาแสดงมันออกมาด้วยการประกาศตัดขาดพ่อลูกกับหล่อน หลังการแต่งงานอูน่าละทิ้งอาชีพการแสดงและเปลี่ยนบทบาทมาเป็นแม่บ้านและน้อยครั้งมากๆที่เธอจะออกสื่อ ใน9ปีแรกของการแต่งงานพวกเขาอาศัยอยู่ในเบเวอรี่ฮิลล์แม้ว่าเธอจะมุ่งเน้นไปที่การเป็นแม่บ้านและดูแลลูกๆทั้ง4แต่อูน่าก็ยังใช้เวลาอยู่ที่สตูดิโอในเวลาที่ชาลีทำงานและมีส่วนร่วมในการให้คำปรึกษารวมไปถึงบางครั้งก็ยังทำหน้าที่เป็นแสตนด์อิน
.
แม้ว่าจะมีหลายคนที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขาแต่ไม่นานพวกเขาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและการแต่งงานที่สมบุกสมบัน ในช่วงท้ายๆของชีวิตชาลี เมื่อปี1952วีซ่าของชาลีถูกยกเลิกเนื่องจากการเข้าไปพัวพันกับการเมืองฝ่ายซ้าย เขาจึงถูกเนรเทศ ภายหลังอูน่าประกาศสละสัญชาติอเมริกันและเปลี่ยนเป็นสัญชาติอังกฤษตามสามีพวกเขาและลูกๆย้ายไปอยู่บ้านใหม่ในชนบทในสวิสแลนด์และมีลูกๆเพิ่มอีก4คน รวมเป็น8คน
.
ทั้งคู่ได้กลับไปยังอเมริกาในรอบ20ปีเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวเมื่อชาลีได้รับรางวัลออสการ์เกียรติยศในปี1972 เขากล่าวขอบคุณทุกคนที่ยังระลึกถึงเขาอยู่และรู้สึกซาบซึ้งมากจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ต่อมาเขาถูกแต่งตั้งจากสมเด็จพระราชินีอังกฤษให้เป็น เซอร์ ชาร์ล สเปนเซอร์ แชปปลิน จูเนียร์
.
34ปีของความสุขหลังแต่งงานแชปปินเสียชีวิตในปี1977อายุ88 อูน่า โอนีล แชปปินวัย52ในตอนนั้นถูกคาดหวังจากหลายสำนักพิมพ์ให้ตีพิมพ์และถูกให้สัมภาษณ์เรื่องราวชีวิตแต่งงาน แต่เธอยังคงอยู่ในอาการเสียใจและไม่มีคนในครอบครัวคนไหนแม้กระทั่งพ่อแม่ของอูม่าในการให้คำสัมภาษณ์
.
1 มีนาคม ปี1978 โลงศพของชาลีถูกขุดและขโมยเพื่อเรียกค่าไถ่ คนร้ายถูกจับกุมได้ในเดือนพฤษภาคมและโลงศพถูกนำมาฝังใหม่ล้อมรอบด้วยคอนกรีตเสริมใยเหล็ก อูม่ายังคงอยู่อย่างสันโดษ เธอเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับอ่อนในปี1991 เธออายุ66ปีและถูกฝังอยู่ข้างสุสานของสามี โดยพินัยกรรมสุดท้ายของเธอคือการสั่งให้เผาและทำลายงานเขียนและไดอารี่ทั้งหมดของเธอเอง