เกร็ดน่ารู้ดาราฮอลลีวูด ตอน 1
= ฝันที่เกินจริงของ ทอม ฮาร์ดี้ =
.
___________________________
.
" ผมชอบเล่นบทผู้ร้ายมากกว่าเล่นเป็นพระเอก เพราะพวกผู้ร้ายมันได้ปล่อยของเยอะกว่า เราจะทำอะไรก็ได้ตามที่เราอยากจะทำ แยกเขี้ยวยังไงก็ได้ หรือเป็นพวกผู้ร้ายมาดนิ่งๆนี่ก็เล่นได้ตามใจโดยไม่ต้องมีคนบงการ พวกผู้ร้ายในฮอลลีวู้ดส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น แล้วเชื่อมั๊ยว่า แกรี่ โอลด์แมน ในหนังเรื่อง Leon นั่นคือผู้ร้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในความรู้สึกของผม ผมหลงรักเขามาตลอด และคิดว่าสักวันจะเป็นได้เหมือนเขา จนกระทั่งเราได้เจอกัน ผมเหมือนเด็กสาวที่เพิ่งนัดเจอคู่เดตทางออนไลน์ครั้งแรกเลย เขาเหมือนร็อคสตาร์ในโลกแห่งแผ่นฟิล์ม แต่เสียดายที่มันหมดยุคที่แกรี่เล่นเป็นคนเลวในหนังแล้ว ที่ผมเห็นคือตาลุงแก่ๆท่าทางใจดี เขาไม่เหมือนตอนเล่นหนัง Leon เอาซะเลย แน่นอนว่าเราเจอกันบ่อยมาก แกรี่ กับ ผม เล่นหนังด้วยกันไป 3 เรื่องแล้วนะถ้าใครจำได้ และแปลกมากที่ผมคิดว่า คนที่เล่นบทตัวร้ายในหนัง Leon กับคนที่อยู่ตรงหน้าผมนี่เป็นคนละคน มันบ้ามากที่เขาเป็นคนน่ารักๆคนหนึ่งที่สวมบทบาทได้ร้ายดีจริงๆ ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าเขาเป็นคนอย่างนั้นจริงๆนะ และผมโชคดีที่ได้ทำงานกับร่วมกับเขา การทำงานร่วมกับคนที่เราปลื้มเขาสุดขีดมันเป็นอะไรที่เกินฝันแล้วจริงๆ "
.
_______________________
.
ทอม ฮาร์ดี้ พูดถึง แกรี่ โอลด์แมน ดาราขวัญใจของเขา และเขาเจอกันในหนังมา 3 เรื่องแล้ว
" ผมชอบความรู้สึกนั้นนะ ตอนที่เห็นอาการของหลายๆคนที่ได้ดูตอนจบของหนังเรื่อง The Sixth Sense ผู้คนปรี่เข้ามาพูดคุยกับผมราวกับว่าพวกเขาโดนหักหลัง ผมจำความรู้สึกตอนนั้นได้ มันวิเศษจริงๆที่ผมได้เห็นอาการแปลกประหลาดใจของพวกเขา " เจ้าหนู นายยอดเยี่ยมจริงๆ ฉันคงไม่เจออะไรอย่างนี้ในหนังอีกนานเลย " พวกเขาบอกผมประมาณนี้ จนกระทั่งในตอนนี้ก็ยังมีคนเดินมาบอกผมอย่างนี้แหละ พวกเขาแปลกประหลาดใจมาก เพียงแต่หัวข้อที่พูดคุยมันไม่ใช่หนัง The Sixth Sense อีกแล้ว สิ่งที่เขาพยายามจะบอกผมและดูเหมือนพวกเขาจะเซอร์ไพรส์มันพอๆกับตอนจบของหนังผีเรื่องนั้นก็คือรูปร่างของผมนี่แหละ "
.
________________________
.
Haley Joel Osment อดีตดาราเด็กน้อยจากหนัง The Sixth Sense กล่าวอย่างอารมณ์ดี
= คู่แค้น =
.
____________________
.
" ข้ามศพกูไปก่อนเถอะมาร์กี้ จะไม่ได้อยู่ในหนังเรื่องนี้แน่นอน "
.
คำพูดยโสโอหังเย่อหยิ่งของ ลีโอนาโด้ ดิคราปริโอ้ ในวัยหมอยเพิ่งขึ้นที่พูดกับ มาร์ค วอลเบิร์ก ในวัยไล่เลี่ยกันเมื่อครั้งที่ทั้งคู่รู้ว่าจะได้เล่นหนัง The Basketball Diaries ด้วยกัน
.
เรื่องราวเกิดขึ้นก่อนหน้าการคัดเลือกตัวนักแสดง ลีโอ กับ มาร์กี้ ต้องปะทะกันในการแข่งขันบาสเก็ตบอลการกุศลงานหนึ่ง สองคนเขม่นกันอย่างแรง เพราะ มาร์กี้ จุดชนวนความร้าวฉานด้วยการเล่นแรง
.
และโชคชะตาก็ขีดให้สองคนมาเจอกันในวันแคสติ้งบทหนังเรื่องนี้ ลีโอ กรีดร้องปานจะบ้าตายเมื่อรู้ว่าคนที่จะมาเล่นเป็นเพื่อนสนิทของเขาคือ มาร์ค วอลเบิร์ก เขาเหวี่ยงทีมงานและชี้ขาดว่าหากมีไอ้หมอนั่นกูก็ไม่เล่นหนังห่านี่
.
ตามประสาเด็กวัยรุ่นที่กำลังจะโด่งดัง มาร์ค วอลเบิร์ก รู้สึกว่าเขาจะต้องชวดบทนี้แน่ๆเพราะเขาวางตัวไอ้ห่านั่นในบทพระเอกมานานก่อนเขา เรียกได้ว่าหนังเรื่องนี้มันถูกสร้างขึ้นเพื่อไอ้หมอนั่นอย่างไม่ต้องสงสัย
.
มีการไกล่เกลี่ยจากผู้กำกับฯ ชักแม่น้ำทั้งห้ามากล่อมไอ้เด็กเอาแต่ใจอย่างลีโอนาโด้ ซึ่งตอนนั้นโด่งดังขีดสุดจากการแสดงหนังอย่าง What's Eating Gilbert Grape ในขั้นตอนการต่อบทและซักซ้อมก่อนแคสติ้ง ลีโอ ยอมอ่อนข้อให้ แต่อย่าได้หวังว่าจะมีฉากกอดคอประสาเพื่อนรักอย่างเด็ดขาด ยอมเล่นให้กูบุญหำเท่าไหร่แล้ว
.
มาร์กี้ เข้าบทกับ ลีโอ ท่ามกลางไฟแค้นที่สุมอก แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพทั้งคู่เล่นได้เข้าขากันจนทีมงานอินไปตามๆกันว่าสองคนนี้มันเพื่อนรักกันมานานนมจริงๆนี่หว่า
.
ที่น่ายินดีคือทั้ง ลีโอ และ มาร์กี้ ต่างก็รู้สึกถึงมันเช่นกัน เขาทั้งคู่มีอะไรหลายๆอย่างที่จูนกันติด แบบว่าแค่มองตาก็รู้ใจ สองคนสนิทกันรวดเร็วจนทุกคนในกองถ่ายงง มันนั่งคุยกันได้ทั้งวี่ทั้งวัน เรื่อง บาสเก็ตบอล เรื่องหนัง เรื่องเพลง เรื่องสาวๆ
.
จวบจนเสร็จสิ้นการถ่ายทำและการเดินสายโปรโมท สองคนนี้ยังติดต่อกันเรื่อยมา เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอๆ
.
และในการคัดเลือกบทในหนัง The Departed ของผู้กำกับฯ มาร์ติน สกอเซซี่ ลีโอ เสนอชื่อ มาร์ค วอลเบิร์ก เพื่อนซี้ของเขาให้ สกอเซซี่ พิจารณา ผู้กำกับฯตอบตกลงทันที และบทนี้เอง มาร์กี้ เล่นได้มันส์หยดจนแย่งซีนได้ทุกฉากที่เขาออกมา
.
มาร์ค วอลเบิร์ก มาเฉลยในภายหลังว่า ถ้าเขาเย่อหยิ่งไม่จ้องหน้าหมอนั่น และกอดคอหมอนั่นตอนซ้อมต่อบท ทั้งๆที่เรื่องนี้มันเกิดขึ้นก็เพราะความหมั่นไส้ตามประสาเด็กๆที่มีต่อ ลีโอนาโด้ เขาอาจจะไม่ใช่ มาร์ค วอลเบิร์ก อย่างที่คนรู้จักทุกวันนี้
.
และในกองถ่าย The Departed เด็กหนุ่มสองคนในวันนั้นก็ยังคงคุยกันโขมงโฉงเฉงเช่นเดิม
= หากไม่มีเจ้าบุทกัส ก็ไม่มีสตอลโลน =
.
______________________________
.
สิ่งหนึ่งที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตของ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน คือการที่เขาเคยขายหมาแสนรักของเขาให้ชายแปลกหน้าในร้านเหล้า เพราะเขาไม่มีจะกิน เจ้าบุทกัส คือหมา คือเพื่อน คือลูกชายที่เขาขายไปแค่ 25 ดอลล่าร์ เพื่อนำเงินมาประทังชีวิตในยามที่เขากำลังดิ้นรนเข้าสู่วงการ
.
สตอลโลน ได้แรงบันดาลใจจาก มูฮัมหมัด อาลี ในการเขียนบทหนังอย่าง Rocky เขาเขียนบทหนังด้วยท้องที่หิว ไส้ที่กิ่ว และคิดถึงเจ้าบุทกัสหมาสุดรัก เขาเฝ้าโทษตัวเองทุกวินาทีที่นึกถึงหน้าย่นๆของมัน
.
สตอลโลน ยื่นข้อเสนอขายบทหนัง Rocky ภาคแรกให้สตูดิโอด้วยเงิน 125,000 เหรียญ บวกอีกหนึ่งออฟชั่นคือ เขาต้องได้แสดงบทพระเอกเองเท่านั้น แต่มันยากเหลือเกินที่จะทำแบบนั้นได้ สตูดิโอยื่นให้สตอลโลน 250,000 เหรียญ แต่อยากให้ดาราดังกว่านี้มาเล่น เขาปฏิเสธและพร้อมจะเก็บบทหนังเดินจากไป สตูดิโอเล็งเห็นว่าบทหนังเรื่องนี้มันดีมากจนไม่อยากปล่อยไปสู่สตูดิโออื่น พวกเขาเสนอให้สตอลโลน 350,000 เหรียญ ให้ยอมปล่อยบทให้พวกเขาเถอะ แต่สตอลโลนยืนกรานว่ายังไงต้องเป็นพระเอกให้ได้ เขามีศักยภาพพอ
.
สตูดิโอ เคาะราคาอยู่ที่ 35,000 เหรียญเท่านั้นหากว่าเขาต้องการจะเล่นหนังเรื่องนี้เอง สตอลโลน ตกลงรับข้อเสนอ เขาได้ค่าบทหนังเพียง 35,000 และบวกกับกำไรจากการฉายอีกนิดหน่อย ทางสตูดิโอชอบบทหนังมาก แต่ก็ยังดูถูกว่าหนังจะไม่สามารถทำเงินได้ระดับ 100 ล้านหรอก หมอนี่ควรรับข้อเสนอโดยที่ไม่ต้องแสดงก็จบแล้ว เขาควรจะนอนกอดเงินแสนโดยไม่ต้องไปนอนที่สถานีรโดยสารอย่างนั้น แต่ สตอลโลน มั่นใจว่าเขาทำได้
.
หนัง Rocky ใช้เวลาถ่ายทำ 28 วัน ด้วยงบ 1 ล้านเหรียญเท่านั้น โดยในช่วงแรกของการถ่ายทำ สตอลโลน ยังคงอาศัยสนานีรถโดยสารในการซุกหัวนอน เขาบอกผู้คนระแวกนั้นว่าเขาเป็นดารา และกำลังจะโด่งดัง ไม่มีใครเชื่อชายผู้นี้เลย
.
Rocky ทำเงินไปทั้งสิ้น 225 ล้านเหรียญ และเข้าชิง 10 สาขาบนเวทีออสก้าร์ เขาคือคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ที่ได้เข้าชิงในหนังเรื่องเดียวสองสาขาคือ บทยอดเยี่ยม กับ ดารานำชายยอดเยี่ยม เขาได้รับเงินล้านจากกำไรของหนังเรื่องนั้น
.
ย้อนกลับไปก่อนที่จะถ่ายทำหนัง สิ่งแรกที่เขาทำเมื่อได้เงินค่าเขียนบทมา 35,000 คือการออกตามหาเจ้าบุทกัส หมาแสนรักของเขาเพื่อขอซื้อมันคืน เขาใช้เวลาไปรอหน้าร้านเหล้าถึง 3 วัน จนกระทั่งชายคนนั้นมา สตอลโลน ยื่นข้อเสนอซื้อ เจ้าบุทกัส คืนทันที แต่ชายคนนั้นบอกว่า เขาเลี้ยงมันมาสักพักและเราไปด้วยกันได้ดี เขาก็รักเจ้าบุทกัสเหมือนกัน ทั้งคู่เกือบจะมีเรื่องชกต่อยกันเพราะ สตอลโลน ยื่นข้อเสนอถึง 1,000 เหรียญ แต่ชายคนนั้นก็ไม่ยอมอยู่ดี
.
สตอลโลนนึกถึงวันที่เขาเข้าไปเจรจากับสตูดิโอเรื่องบทหนัง เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนายทุนหน้าเลือดพวกนั้น ชายคนนี้เริ่มผูกพันกับเจ้าบุทกัส และเขากำลังจะมาพรากมันไปจากชายคนนี้เช่นกัน เหมือนๆที่พวกนายทุนชอบทำ
.
สตอลโลนจึงยื่นข้อเสนอถึง 15,000 เหรียญ ให้ชายคนนั้น มันคือราคาค่าซื้อความรักที่เขายอมจ่าย ชายคนนั้นยอมรับข้อเสนอก่อนส่งมอบเจ้าบุทกัสให้สตลอโลนในวันต่อมาด้วยใจที่สลายเช่นกัน
.
และหากใครยังจำกันได้ เจ้าบุสกัท ได้ร่วมแสดงในหนัง Rocky ด้วย หากไม่ตัดสินใจขายเจ้าบุทกัสในวันนั้น ป่านนี้ไม่รู้ว่าโลกนี้จะรู้จัก ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน กันหรือเปล่า