จอกพระเยซู
จอกศักดิ์สิทธิ์ ของพระเยซู จริงเท็จแค่ไหนแอดไม่สามารถบอกได้
ที่มา// touch.exteen.com
@Chaos
Holy Grail
โฮลี่เกรลปรากฏในตำนานหลายเรื่องของยุโรปยุคกลาง พูดถึงจอกศักดิ์สิทธิ์ที่พระเยซูใช้ในพระกระยาหารมื้อสุดท้ายและรองรับพระโลหิตของพระองค์เมื่อถูกตรึงกางเขนแต่ใช่ว่าเนื้อหาของตำนานจะยึดเอาศาสนามาเป็นแก่นเรื่อง ตำนานจอกศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้มักจะมีเนื้อหากล่าวถึงบรรดาอัศวินที่ออกเดินทางไปผจญภัยต่างๆนานาเพื่อค้นหาจอกศักดิ์สิทธิ์เสียมากกว่า ที่มีชื่อเสียงที่สุดได้แก่ ตำนานพระเจ้าอาเธอร์และอัศวินโต๊ะกลม และอัศวินผู้ค้นพบโฮลี่เกรลนี้ก็คือ เซอร์กาเวน เซอร์กาลาฮัด และเซอร์เพอร์ซิวาล (หรือพาร์ซิฟาลตามโอเปร่าของวากเนอร์)โดยมากตำนานจะวางตัวเอกให้เป็นลูกหลานของฟิชเชอร์คิงซึ่งเป็นผู้ดูแลโฮลี่เกรล และเรียกสถานที่ซึ่งพบโฮลี่เกรลว่าปราสาทแห่งจอกศักดิ์สิทธิ์
ตำนานจอกศักดิ์สิทธิ์แต่ละเรื่องมักจะมีการผูกเรื่องเข้าด้วยกันอย่างซับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตำนานพระเจ้าอาเธอร์ เช่นในส่วน"การสวรรคตของพระเจ้าอาเธอร์"ซึ่งเรียบเรียงโดยโทมัส มาโลลี่มีการรวมเอาเรื่องของเซอร์ลานสล็อธและโฮลี่เกรลเข้าด้วยกัน โดยกล่าวว่ากาลาฮัดซึ่งเป็นบุตรของลานสล็อธและเอเลน บุตรสาวของฟิชเชอร์คิงได้เดินทางไปค้นหาโฮลี่เกรลพร้อมกับอัศวินโต๊ะกลมคนอื่นๆ หากมีเพียงกาลาฮัดกับอัศวินอีก 2 คนที่ค้นพบโฮลี่เกรลได้ในขณะที่อัศวินคนอื่นล้มเหลวหรือถอนตัวไป ลานสล็อธสามารถไปถึงปราสาทแห่งจอกศักดิ์ได้ก็จริง แต่เนื่องด้วยความผิดที่เขาเป็นชู้กับพระนางกวีเนเวีย ทันทีที่เขาเห็นโฮลี่เกรล เขาก็ล้มลงเสียชีวิตไป ฝ่ายกาลาฮัดก็ได้นำโฮลี่เกรลไปจนถึงแดนศักดิ์สิทธิ์และไปถึงสวรรค์
ในอีกตำนานหนึ่งได้กล่าวถึงวิหารเยรูซาเล็มซึ่งเก็บสมบัติที่เกี่ยวข้องกับศาสนาคริสต์ไว้ก่อนที่กรุงเยรูซาเล็มถูกโรมันยึดครองในปีค.ศ.70
กล่าวกันว่าปี 73 โยเซฟได้นำโฮลี่เกรลไปยังบริตาเนีย (จะอย่างไรก็ดี มีคำค้านเกี่ยวกับตำนานนี้เป็นจำนวนมาก) และนักบวชที่หนีรอดไปได้ก็กลายมาเป็นตระกูลใหญ่ในยุโรป จนกระทั่งศตวรรษที่ 11 ตระกูลเหล่านี้เรียกตัวเองว่า"เร็กซ์เดอุส" พวกเขาได้ทำการปกป้องรักษาสมบัติศักดิ์สิทธิ์ต่างๆอยู่เบื้องหลัง และถ่ายทอดความลับเหล่านี้เฉพาะแก่ผู้สืบทอดของตนเท่านั้น
การบุกเยรูซาเล็มในปี 1071 ถูกตีความว่าเป็นส่วนหนึ่งของ"วิวรณ์ของยอห์น" เร็กซ์เดอุสซึ่งถือว่าการปลดปล่อยกรุงเยรูซาเล็มเป็นหน้าที่ของตนจึงใช้อิทธิพลของพวกตนให้เกิดการก่อตั้งกองทัพครูเสดขึ้นมา
ปี 1099 กรุงเยรูซาเล็มถูกชิงกลับคืนมาได้ หากการฆ่าสังหารในการปะทะกันครั้งสุดท้ายนั้นก็โหดเหี้ยมจนเป็นที่กล่าวขวัญมาจนทุกวันนี้ ซึ่งผู้มีส่วนเกี่ยวข้องก็คือเทมเปิ้ลไนท์ที่เร็กซ์เดอุสเป็นผู้ก่อตั้งนั่นเอง
นับแต่ปี 1118 เป็นต้นไป มีการค้นวิหารเยรูซาเล็ม ซึ่งหนึ่งในสมบัติที่ถูกพบนี้กล่าวกันว่ามีโฮลี่เกรลรวมอยู่ด้วย จึงนับได้ว่าเทมเปิ้ลไนท์ก็เป็นผู้ค้นพบโฮลี่เกรลเช่นกัน
เช่นเดียวกับสมบัติศักดิ์สิทธิ์ชิ้นอื่นๆที่ถูกเชื่อว่าสามารถสร้างปาฏิหารย์ได้ ตำนานกล่าวว่าโฮลี่เกรลจะสร้างเสียงดนตรีอันไพเราะและอาหารอันมีรสชาติล้ำเลิศออกมา ทั้งนี้เนื่องจากตำนานพระเจ้าอาเธอร์ได้รับอิทธิพลจาก Celtic mythology มาเป็นอย่างมาก โฮลี่เกรลในที่นี้จึงถูกโยงไปถึงสัญลักษณ์ทางเวทย์มนต์ของเซลติกด้วย (ถ้วย เหรียญ ดาบและคฑา)
ตำนานจอกศักดิ์สิทธิ์ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในยุโรปและถูกนำมาเป็นโครงเรื่องของความบันเทิงหลายประการ เป็นต้นว่า"พาร์ซิฟาล"ของริชาร์ด วากเนอร์ "The Waste Land"ของโทมัส S. เอลิออท ในยุคปัจจุบันนี้ก็มีการนำมาทำภาพยนตร์หลายเรื่อง แม้แต่ในประวัติศาสตร์ ยังมีการกล่าวว่าฮิทเลอร์และบุคคลในประวัติศาสตร์อื่นๆ เคยทำการตามหาโฮลี่เกรลอยู่เช่นกัน