Pedro Lopez สัตว์ประหลาดแห่งเทือกเขาแอนดีส
โพสท์โดย ห่ะไรนะ
เปโดร อลองโซ โลเปซเคยออกมาสัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่า ผมคือสัตว์ประหลาดแห่งเทือกเขาแอนดีส
ผมเป็นบุคคลแห่งศตวรรษที่หลายคนยากจะลืมเลือน ผมจะหาเหยื่อตามท้องตลาด เหมือนกับเลือกผัก ปลา
เหยื่อต้องเป็นเด็กที่ดูน่ารัก บางครั้งผมต้องเฝ้ารอสองถึงสามวัน เพื่อรอให้เธออยู่คนเดียว ผมจะให้ของมีค่า
เล็กๆ น้อยแก่เธอ พาเธอออกถึงบริเวณชานเมืองหรือนอกเมือง โดยบอกว่าผมมีของจะให้แม่ของเธอ
ผมพาเธอไปที่ลับตาคน ผมขุดหลุมสำหรับเธอเอาไว้ บางที่หลุมนั้นก็มีศพเหยื่อคนก่อนอยู่แล้ว
ผมเริ่มโอบกอดเธอและข่มขื่นตอนอาทิตย์ลับขอบฟ้า เมื่อถึงจุดสุดยอด ผมเริ่มกำมือบรอบลำคอ
ก่อนที่ดวงอาทิตย์ขึ้นผมจะบีบเต็มแรง
ดวงตาเธอเยี่ยมที่เดียว ผมดูตาคู่นั้นภายใต้แสงอาทิตย์ มันเปรียบเหมือนช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์ ผมจ้องตา
และเห็นแสงที่เป็นประกายก่อนที่จะหายวับในพริบตา ช่วงเวลาตายนั้น มันช่างแสนหลงใหล ชวนตื่นเต้น
ที่คนทั่วไปไม่มีทางเข้าใจหรอก มีแต่คนที่ฆ่าคนจริงๆ เท่านั้นว่ามันหมายถึงอะไร
ถึงอย่างไรกว่าพวกเธอจะตายก็กินเวลามากอยู่ สักห้าถึงสิบห้านาทีก็ได้ ผมรอบคอบมากนะ จะใช้เวลา
อยู่กับเธอนานๆ เพื่อที่จะรู้ว่าเธอสิ้นลมจริงหรือเปล่า บางทีก็เอากระจกไปอังจมูกด้วยละ พวกเธอไม่เคยกรีดร้อง
เพราะไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง ช่างไร้เดียงสาจริงๆ และผมก็มองหาเด็กผู้หญิงต่อไป.........และต่อไป
เปโดร อลองโซ โลเปซ ให้สัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์ มกราคม 1999
เปโดร อลองโซ โลเปซ (Pedro Alonso Lopez)
เปโดร อลองโซ โลเปซ เป็นฆาตกรต่อเนื่องชาวโคลัมเบีย ที่หลายคนเชื่อว่าเขาได้ข่มขืนและฆ่าเด็กสาว
และเด็กชายจำนวน 53-300 คนทั่วทวีปอเมริกาใต้ คือ โคลัมเบีย, เอกวาเดอร์และเปรู ในช่วงระหว่าง 1969-1980
ก่อนที่จะถูกจับกุมเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 1980 เขาเป็นฆาตกรไม่กี่คนที่ได้รับความสนใจจากทั่วโลกที่ต้องการสัมภาษณ์
เขาระหว่างที่เขาจำคุกใน Ambato ปี 1980
การสัมภาษณ์ของเปโดรถูกเผยแพร่เป็นอย่างกว้างขวางครั้งแรกโดยหนังสือพิมพ์ Chicago Tribune
เมื่อวันอาทิตย์ ที่ 13 กรกฎาคม 1930 จากนั้นก็ใน Toronto Sun และ The Sacramento Bee
วันที่ 21 กรกฎาคม 1980 และต่อมาเรื่องราวของเปโดรก็ปรากฏในสื่อพิมพ์ต่างประเทศจำนวนมาก
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
เรื่องราวของเปโดรเป็นที่รู้จักกันดีในฐาน สัตว์ประหลาดแห่งเทือกเขาแอนดีส ในปีเขาถูกจับ( ค.ศ.1980)
นั้นเขาได้พาตำรวจไปยังหลุมฝังศพของเหยื่อจำนวนถึง 53 รายในเอกวาเดอร์ ส่วนมากเป็นเด็กผู้หญิง
อายุระหว่าง 9-12 ปี ในปี 1983 เขาได้รับสารภาพลงมือสังหารหญิงสาว 110 คนในเอกวาดอร์เพียงผู้เดียว
นอกจากนี้เขายังสารภาพอีกว่าเขายังสังหารคนอีก 240 รายในประเทศเพื่อนบ้านในเปรูและโคลัมเบีย
เปโดร อลองโซ โลเปซ เกิดในวันที่ 8 ตุลาคม 1948 เป็นลูกชายคนที่ 7 ในบรรดาลูกทั้งหมด 13 คน
ในครอบครัวที่แม่เป็นโสเภณีในเมืองซาตา อิซาเบล โทลิมา ประเทศ เอกวาเดอร์
ในช่วงโปโดรเกิดนั้นเป็นช่วงประเทศโคลัมเบียกำลังอยู่ในช่วงสับสนวุ่นวาย เมื่อนักการเมืองเสรีนิยมขวัญใจ
มหาชนชื่อจอร์จ อลิเซอร์ไกแตน ถูกลอบสังหารและการตายของเขานำมาซึ่งสงครามกลางเมือง ความรุนแรง
ปัญหาอาชญากรรม พุ่งถึงขีดสุด บ้านเมืองถึงกวียุคอย่างแท้จริงคนกว่าล้านต้องละทิ้งที่อยู่และทรัพย์สิน
ของพวกเขา สื่อและการสื่อสารล้มเหลว กิจกรรมทั้งหมดถูกยกเลิก และดำเนินมานานกว่ากว่าสิบปี
ประชาชนล้มตายยิ่งกว่าผักปลาประมาณกันว่ามีคนตายกว่าสองแสนคน ซึ่งชาวโคลัมเบียรู้จักเหตุการณ์นี้
ดีในชื่อ La Violencia (1948-1958)
นี้คือสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายที่เปโดรต้องอยู่และปรับตัว นอกจากนั้นสภาพครอบครัวก็ยังเต็มไปด้วยปัญหา
ไม่ว่าจะเป็นยากจนและรุนแรง แม่ก็เป็นผู้หญิงที่ชอบใช้อำนาจเผด็จการ ชอบตบตีเขาเวลาเธอต้อนรับลูกค้า
ที่มาบริการถึงบ้าน เมื่อเขาอายุได้ 8 ขวบถูกแม่จับได้ว่าเขาพยายามมีเพศสัมพันธ์กับน้องสาวจึงต้องโยน
ออกกบ้าน โปโดรเริ่มเดินโต๋เต๋เร่ร่อนไปตามท้องถนนที่อันตรายที่สุดในโคลัมเบียที่เต็มไปด้วยเลือดและ
ซากศพ แต่ในอีกแง่หนึ่งเขาก็สามารถสำรวจสถานที่และละแวกใกล้เรือนเคียงที่เขาไม่มีโอกาสเข้าถึงมาก่อน
แม่ของโปเดร
ในเวลาต่อมา ในขณะที่เปโดรกำลังอยู่บนท้องถนนนั้นก็มีชายชราแปลกหน้าให้อาหาร น้ำ และที่พักให้กับเขา
เปโดรตกลงไว้เนื้อเชื่อใจและซาบซึ้งความมีน้ำใจของเพื่อนมนุษย์ แต่เมื่อมาถึงบ้านดังกล่าวเขากลับถูกตี
และถูกถอดเสื้อและลงมือข่มขืนเขาทางทวารหนักนับครั้งไม่ถ้วนซ้ำไปซ้ำมา ก่อนที่จะถูกปล่อยทิ้ง ไว้ริมทาง
นับจากนั้นเป็นต้นมา เปโดรได้กลายเป็นคนนิสัยกลัวคนแปลกหน้าเพราะเขามีประสบการณ์ถูกข่มขืนโดย
คนแปลกหน้าในอดีต ด้วยเหตุนี้เขาจึงชอบหลับนอนในทางเท้า กลัวที่ซอยคับแคบ ตึกร้าง ชอบออกหา
อาหารในเวลากลางคืนในถังขยะ ด้วยเหตุนี้ทำให้เขาเป็นที่รังเกียจแก่คนรอบข้าง เขาถูกกัดโดยสุนัขจรจัด
และถูกตีโดยคนเร่ร่อนคนอื่นๆ ที่ข้ามถิ่น
เปโดร อลองโซ โลเปซ
วันหนึ่งโปเดรเดินไปตามถนนในโบโกตา เขาได้รับความช่วยเหลือจากคนที่ขับรถสวนเขาโดยไม่รู้ตัวคู่ชรา
ชาวอเมริกันตนหนึ่งเกิดสงสารเขาที่คุ้ยหาอาหารจากกองขยะ ทั้งคู่ติดสินใจพาเด็กไปอยู่กับเขาและครอบครัว
ของเขาที่บ้าน แล้วพาเขาไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนเด็กกำพร้า
ปี 1963 เมื่อเปโดรอายุ 12 ปี ชะตาก็เล่นตลกกับเขาอีกครั้ง เมื่อการละเมิดทางเพศเกิดขึ้นกับเขาอีกครั้ง
เมื่อถูกครูวัยกลางคนคนหนึ่งที่สอนในโรงเรียนเด็กกำพร้าข่มขืนและถูกทำร้ายทางเพศ ความกลัวในวัยเด็ก
เมื่ออายุ 8 ขวบหวนกลับมาอีกครั้ง ภายหลังที่เกิดเหตุดังกล่าว เปโดรได้ขโมยเงินโรงเรียนแล้วหนีออกจากบ้าน
เมื่อสิ้นสุดสงครามกลางเมือง โคลัมเบียเริ่มปรับโครงสร้าง บ้านเมืองกลับมาสู่ความสงบสุขอีกครั้ง
หากแต่ในเวลานั้นยังมีชายคนหนึ่งเริ่มที่จะสู่มุมมืดอย่างเงียบๆ โปโดรในตอนนั้นเริ่มหางานทำ
แต่เขาไม่มีประสบการณ์ทำงาน ไม่มีความรู้และทักษะอาชีพ ทำให้เขาถูกปฏิเสธทุกที่ ที่หางานทำ
และเมื่อจนตรอกเขาก็เริ่มเข้าสู่เส้นทางอาชญากรรมเขาโจรกรรมรถยนต์ จนเขาเริ่มมีทักษะการขโมยรถขั้นมือโปร
และเริ่มเลือกเหยื่อที่เป็นรถของนักธุรกิจ ต่อมาในปี 1969 ก็ถูกตำรวจโคลัมเบียจับข้อหาขโมยรถและขับรถข้ามประเทศ
เปโดรได้รับโทษจำคุกแต่ไม่วายที่ต้องตกเป็นเป้าโดนนักโทษร่วมห้องข่มขืนถึง 4 คน ระหว่างนี้เปโดรทำการ
ฆาตกรรมนักโทษร่วมห้องชาย 3 คน ที่ข่มขืนเปโดร ส่วนอีกคนอาการสาหัส โดยเปโดรใช้มีดทำครัวแทงไม่ยั้ง
ทางการเห็นว่าเป็นการป้องตัวจึงเพิ่มไปอีกสองปี
เหล่าเหยื่อของโปโดร
ต่อมาโปโดรได้พบว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงภายในตัวของเขา เมื่อเมล็ดแห่งความมืดงอกงอมในจิตใจของเขา
เมื่อเขาจะหายกลัวที่แคบกับความมืด หากแต่เขากลับพบว่าตัวเองเป็นโรคหวาดกลัวผู้หญิงขึ้นมาแทน เขาไม่สามารถ
สื่อสารกับพวกเธอได้ เขามองผู้หญิงเป็นเพียงเครื่องบำบัดทางเพศ จ้องผู้หญิงเหมือนดูนิตยสารลามก เขามีความเชื่อว่า
สาเหตุที่ทำให้เขาเป็นเช่นนี้ก็เพราะแม่ที่ตบตีเขาจนทำให้เขาเจ็บปวดทางจิตใจ
ปี 1978 เมื่อเปโดรพ้นโทษออกจากคุกแล้วไปโคลัมเบีย เอกวาเดอร์ แล้วเริ่มเดินทางไปทั่วเปรู เดินทางไปตาม
พรมแดนของประเทศเหล่านั้นโดยเขาเริ่มพบเห็นเด็กมากหน้าหลายตา และนั้นเองทำให้เขาเกิดความคิดที่ว่า
ผมเสียความบริสุทธิ์ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ผมกลัวผู้หญิง ผมต้องตัดสินใจที่จะแก้แค้นสิ่งที่ผมเคยโดนมาอดีต
คือจะข่มขืนเด็กผู้หญิงเหมือนที่ผมเคยโดน และต้องทำให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้
โปโดรเริ่มไล่ล่าเหยื่อ โดยเหยื่อส่วนใหญ่ของเขามักจะเป็นเด็กสาวที่อยู่ตัวคนเดียวในท้องถนน ส่วนใหญ่
มักเด็กหญิงเชื้อสายอินเดียแดงเผ่าต่างๆ เพราะเผ่าที่สังคมไม่ค่อยสนใจอยู่แล้วอีกทั้งยังง่ายต่อการหลอกลวง
นำไปฆ่า โดยวิธีฆ่าที่เขามักทำประจำกับเหยื่อก็คือข่มขืนและจบด้วยการรัดคอเหยื่อ ในขณะที่รัดคอนั้น
เขาจะจ้องมองตาของเหยื่อนานหลายชั่วโมง ก่อนที่จะฝังร่างเหยื่อนั้นในหลุมที่เขาขุดเอาเองก่อนที่จะกลบทำลายหลักฐาน
ภายในไม่กี่เดือนเด็กร้อยคนจากโคลัมเบีย เอกวาเดอร์ เปรูก็หายตัวไปอย่างลึกลับ หลายคนถูกพบเป็นศพ
ในสภาพถูกทำร้ายอย่างรุนแรงแล้วถูกฝังอย่างรอบคอบ หากแต่เหยื่อส่วนใหญ่เป็นลูกและหลานชาวอินเดีย
จึงไม่ค่อยถูกนำมาพิจารณาโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ อีกทั้งทางการยังสันนิษฐานว่าสาเหตุที่เด็กหายน่าจะมาจาก
การลักพาตัวโดยเครือข่ายค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นแก๊งค์ที่ระบาดในภูมิภาคอเมริกาใต้อยู่แล้ว
ซากศพของเหยื่อที่พบ
และเมื่อมีเด็กหายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ชาวพื้นเมืองที่นับถือโชคลางก็เริ่มมีความเชื่อว่าเรื่อง สัตว์ประหลาดแห่งเทือกเขาแอนดีส
วันหนึ่งในภาคเหนือของเปรู โปโดรได้เลือกเหยื่อเป็นเด็กหญิงชาวอินเดียแดง เผ่า อยาคูโซ อายุแค่ 8-9 ขวบ
แต่กระนั้นพอดีตอนที่เขาในขณะกำลังฆ่าเหยื่อ ชาวบ้านอินเดียแดงมาพบพอดี ส่งผลทำให้เขาถูกประชาทัณฑ์
ถูกกระหน่ำตี และพยายามจะฝังเขาทั้งเป็น แต่โชคยังดีที่เวลานั้นมีมัชชันนารีสอนศาสนาชาวอเมริกันมาช่วยเปโดรพอดี
เธอหว่านล้อมให้ชาวอินเดียแดงไม่ให้ฆ่าเขา เพราะเป็นการผิดต่อพระเจ้า จนชนอินเดียแดงใจอ่อน และส่งให้
ทางการเปรูตัดสิน อย่างไรก็ตามทางการตอนนั้นไม่ค่อยสนใจในเรื่องการตายของเด็กหญิงอินเดียแดงมากนัก
ทำให้เปโดรมีโทษแค่เนรเทศกลับไปเอกวาดอร์เท่านั้น
ข่าวการจับกุมโปโดร
หลังจากนั้นโปโดรยังคงออกอาละวาดฆ่าผู้หญิงในแถบชายแดนเอกวาเดอร์และโคลัมเบีย เขาเรียกเหยื่อผู้หญิง
ที่ชอบเหมือนเลือกผักปลาในตลาด เหยื่อของเขาเริ่มมีอายุน้อยยิ่งขึ้นระหว่าง 8-12 ปี เขาหลอกล่อเด็กด้วยวิธีการง่ายๆ
โดยเอาขนมเข้ามาล่อแล้วพาไปข่มขืนและฆ่า วิธีการเหล่านี้ได้ผลดีจนกระทั้งเหยื่อของเขาถึงตัวเลขสามร้อย
เดือนเมษายน 1980 ในเมืองแอมบาโต เอกวาเดอร์ เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ ทางการเริ่มได้ค้นพบซากศพของผู้หญิง
สี่ศพปรากฏตัวขึ้น เมื่อมีการสืบสวนอย่างเป็นทางการพบว่าศพดังกล่าวถูกฆาตกรรมและมีการอำพลางด้วยการฝังศพ
เพียงแต่ตอนนั้นยังไม่มีใครคิดว่าเป็นนี้เป็นฝีมือของฆาตกรที่ฆ่าคนมากที่สุดในโลกสมัยใหม่อย่างโปโดร
เด็กหญิงมารีอาผู้โชคดี
เพียงไม่ก็วันหลังจากเหตุน้ำท่วมในโคลัมเบีย ที่ตลาดนัดท้องถิ่นแห่งหนึ่งในเอกวาเดอร์ คาร์วินา รามอน โปเวดา
กำลังเดินช้อปปิ้งอยู่กับลูกสาวมารีอา อายุ 12 ปี แต่แล้วเมื่อเธอเดินไประยะเธอก็พบว่าลูกสาวของเธอได้หายตัวไป
ด้วยความตกใจเธอได้เรียกขอให้คนแถวนั้นมาช่วยเหลือ จนกระทั้งมีคนบอกว่าเห็นลูกสาวของเธอเดินออกนอกตลาด
ไปกลับชายแปลกหน้าคนหนึ่ง คาร์ลิน่าจึงพาชาวบ้าน ตามล่าชายแปลกหน้าคนนั้น ด้วยความช่วยเหลือของชาวบ้าน
มารีอาปลอดภัย ส่วนชายแปลกหน้าก็ถูกจับได้และโดนรุมสกัมก่อนที่ตำรวจจะมาถึง จึงรู้ว่าชายแปลกหน้าคนนั้นชื่อ
"เปโดร อลองโซ โลเปซ"
หลังจากที่เปโดรถูกจับ ในตอนแรกเขาแสดงท่าทีเป็นบ้า ไม่จาไม่เป็นภาษาคน มือหงิกมืองอ เมื่อถูกนำตัวส่งกับ
สำนักงานใหญ่ เขาปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือกับทางการใดๆ ทั้งสิ้น เขานั่งเงียบตลอด ทางการเลยคิดแผนให้เขา
เอยปากสารภาพ โดยให้เจ้าหน้าที่ทางการสวมรอยปลอมเป็นบาทหลวงในท้องถิ่น สวมชุดนักโทษเข้าไปอยู่ในคุกด้วย
เพื่อให้เปโดรเอ่ยปาก ซึ่งแผนนี้ประสบผลสำเร็จ เพราะเปโดรเริ่มเชื่อใจบาทหลวงปลอม จนสารภาพเรื่องราว
การกระทำทั้งหมด
โปรโดรในห้องขัง
ผมฆ่าเด็กกว่า 300 คน จากนั้นเปโดรเริ่มสารยาย เขาสารภาพว่าเขาทำการฆาตกรรมเด็กหญิโดยแบ่งเป็น
ในเอกวาดอร์ประมาณ 110 คน ในโคลัมเบียอีก 100 คน และที่อื่นๆ อีกมากมายในเปรูอีก 100 คน
ผมชอบผู้หญิงในเอกวาดอร์ โปโดรบอกตำรวจ พวกเธอไร้เดียงสาและอ่อนโยน ไว้เนื้อเชื่อใจง่าย และบริสุทธิ์
ไม่เหมือนเด็กหญิงโคลัมเบีย
หลังจากโปโดรสารภาพ เขาก็ตำหนิชีวิตอันโดดเดี่ยวของตนเองสมัยยังเด็ก ผมสูญเสียความไร้เดียงสา
ตั้งแต่อายุแปดขวบ เขาอธิบาย ดังนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะทำแบบเดียวกันกับหญิงสาวอายุเท่ากับผม เท่าที่จะมากได้
เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจถามโปโดรว่ารู้สึกอย่างไรที่ฆ่าคน เขาตอบว่า
"ผมมีความสุขในการฆาตกรรมแต่ละครั้ง ผมชอบมองตาเหยื่อเวลาถูกฆ่า มันเป็นช่วงเวลาที่ผมเสมือนพระเจ้า
เวลาที่ผมรัดรอบของเหล่าเด็กผู้หญิงและดูแสงเลือนลงในตาของพวกเขา มันเป็นช่วงเวลาแห่งความตาย
ที่ตื่นเต้นชะมัด เด็กหญิงแต่ะละคนใช้เวลานานกว่าสิบห้านานทีก่อนที่จะตาย หลังจากค่ำคืนการฆาตกรรม
ผมก็รู้สึกเบื่อ และก่อนที่จะเลือกเหยื่อใหม่อีกครั้ง มันเหมือนกับเลือกกินไห่ไม่มีผิด"
ด้วยจำนวนเหยื่อที่มากเกินไป ทำให้ตอนแรกเจ้าหน้าที่ตำรวจโคลัมเบียแทบไม่เชื่อคำสารภาพน่ากลัวที่เปโดรเล่า
แต่เมื่อประสานงานกับทางการเปรูและโคลัมเบียก็เริ่มเชื่อบ้างแต่ไม่มากนัก จนเปโดรทนไม่ไหวจึงขออาสาพาไป
พิสูจน์ตามจุดต่างๆ ทั่วประเทศที่ตนทิ้งศพไว้
เพียงไม่กี่วันหลังจากโปโดรสารภาพ สำนักงานงานใหญ่ตำรวจในสามประเทศต่างตื่นตัว รีบตั้งกองตำรวจคาราวาน
ไปตามคำบอกเล่าของเปโดรในสภาพโซ่ตรวจ เพื่อนำตัวเขาไปชี้จุดที่เกิดเหตุ ตามที่ต่างๆ เริ่มจากซอกหลืบ
ใกล้เมืองแอมบาโต ตำรวจพบศพเด็กหญิงอายุ 8 ขวบ และ 12 ขวบ ร่วม 53 ศพ นอกจากนี้เปโดรพาตำรวจ
ไปดูตามจุดกว่า 28 แห่ง แต่ไม่พบศพเพิ่มเติม สันนิษฐานว่าอาจเป็นเพราะสัตว์มากัดแทะ และถูกอุทกภัย
พัดพาไปที่อื่น
เมื่อกลับมาถึงสำนักงานใหญ่ตำรวจ เปโดรถูกตั้งข้อหา 57 จากคดีฆาตกรรม แม้เขาจะสารภาพว่าฆ่าไป 110 ศพก็ตาม
ส่วนเรื่องราวการพิจารณาคดีของเปโดร ทางการไม่ต้องการเปิดเผยให้คนภายนอกได้รับรู้ แต่ว่าปลายปี 1980 เปโดร โลเปซ
ถูกตั้งข้อหาฆ่าคนมากกว่าหนึ่งคน และพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิตและมีสิทธิไต่สวนอีกครั้งที่ศาลในโคลัมเบียและเปรู
ภาพความดีใจของโปโดรหลงจากออกจากคุก
แต่เรื่องราวที่เหลือเชื่อของโปโดรยังไม่จบแต่เพียงเท่านั้น เพราะประเทศเอกวาดอร์ไม่มีโทษประหารชีวิตดังนั้น
เปโดรจึงได้โทษสูงสุดของประเทศจำคุกตลอดชีวิต แต่เขากลับปล่อยตัวออกจากคุกเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 1994
(เขาถูกจับกุมวันที่ 1980) โดยทางการเอกวาเดอร์ไม่ส่งตัวไปลงโทษต่อยังโคลัมเบียและเปรูเนื่องจากทั้งสามประเทศ
ไม่มีการตกลงกันในเรื่องส่งผู้ร้ายข้ามแดน
ในวันที่โปโดรปล่อยตัวนั้น เขาถูกถ่ายด้วยสถานีโทรทัศน์ ภาพเขาในตอนนั้นมีแต่รอยยิ้มเต็มไปด้วยความสุข
และขอบคุณพระเจ้าออกมา เขาหัวเราะไปพร้อมกับเก็บเข้าของส่วนตัวใส่ในถุงพลาสติก โปโดรออกมานอกเรือนจำ
ระหว่างทางเต็มไปด้วยฝูงชนที่โกรธแค้น บางคนเป็นญาติของเด็กหญิงที่ตาย บางคนร้องไห้ บางคนโยนก้อนหินใส่เขา
แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกันไว้
ต่อมาโปโดรถูกจับกุมอีกครั้งในฐานเข้าเมืองผิดกฎหมายแล้วส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจโคลัมเบียเพื่อจำคุก
อีกยี่สิบปีฐานฆาตกรรม เขาถูกตรวจสภาพจิตแล้วพบว่าเขาเป็นคนบ้าและถูกส่งไปยังจิตเวชในโรงพยาบาล
ในปี ค.ศ. 1998 และถูกปล่อยตัวเป็นอิสระในปี 1999 จากนั้นเขาก็หายไปมีความเป็นไปได้ว่า เขาอาจอยู่เอกวาดอร์
ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาฆ่าเหยื่อมากที่สุด หรือไม่ก็กลับตัวกลับใจเหมือนที่เขาเคยสัมภาษณ์ในคุกว่า ถ้าผมได้ออกไป
ผมจะกลับตัวเป็นคนดี
รายงานล่าสุดของตำรวจในปี 2002 บอกว่าพบเห็นตัวเขาที่เมืองในประเทศอาร์เจนติน่า โดยปะปนอยู่กับผู้อพยพ
และหลังจากนั้นไม่มีใครใครพบเห็นตัวเขาอีกเลย ครอบครัวของเหยื่อพากันตั้งรางวัลกว่า 250,000 ดอลลาร์
ให้กับใครก็ได้ที่จับโปโดร
แต่จนบัดนี้เขาก็ไม่ถูกจับ เชื่อว่าเขาอาจจะถูกฆ่าตายโดยนายพรานหรืออาจถูกฆ่าโดยญาติผู้ตายที่โกรธแค้น
และจนบัดนี้ชื่อและเรื่องราว สัตว์ประหลาดแห่งเทือกเขาแอนดีส ของโปโดรยังคงอยู่ความทรงจำของชาวเอกวาดอร์
โคลัมเบีย และเปรูอย่างไม่เสื่อมคลาย
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
32 VOTES (4/5 จาก 8 คน)
VOTED: Rinnn, ginger bread
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ใครเป็นคนคิด ทำไมเมืองไทยถึงสะดวกสบายขนาดนี้ ฝรั่งอึ้ง ไทยแลนด์ครบจบในที่เดียวนายแบบฟิลิปปินส์เดือด! โวยเวทีไทย เบี้ยวจ่ายรางวัล รอมาเป็นปี ไม่มีคำตอบไปเนปาลเจอนักพรตต้องระวังเพจดังแฉหัวหน้าแก๊งค์ “น้ำไม่อาบ” ไม่ทน ออกแถลงการณ์ลั่นปิดท้าย “ผมด่ากลับ แล้วรับให้ได้เปิดวาร์ป "นางฟ้าลอตเตอรี่"! สวยจนโซเชียลสงสัย อาชีพจริงหรือแค่คอนเทนต์?จำได้ไหม? "พุฒ เดชอุดม" จากยูทูบเบอร์เสียงเพี้ยน สู่สาวสวยสุดlซ็กซี่ปิดตำนานไร่ชื่อดังที่วังน้ำเขียว ลานกางเต็นท์ยอดนิยมได้ประกาศหยุดดำเนินการแล้วคลั่ง อาละวาดทำร้ายพยาบาล ญาติเผยไม่เคยเป็นมาก่อนป้าตบหนุ่มจนเลือดออกในสมองตาย หลังไม่ยอมลุกให้นั่งบนรถเมล์"จั๊กกะบุ๋ม" ปิดหนี้ “แม่ปูนา” สำเร็จ จบฉายา “จั๊กกะเบี้ยวบิดหนี้”"หนิง ปณิตา" กางหลักฐานชัด ไม่ได้ดักตบใครในโรงเรียนดัง !!ใครคือยอดนักรบที่เก่งที่สุดในสามก๊ก?Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
ปิดตำนานไร่ชื่อดังที่วังน้ำเขียว ลานกางเต็นท์ยอดนิยมได้ประกาศหยุดดำเนินการแล้วดราม่า ไอดอลฝึกหัดจีนวัย 13 ถูกบูลลี่หนักในโรงเรียน แม่ชี้แค่เล่นกันนายแบบฟิลิปปินส์เดือด! โวยเวทีไทย เบี้ยวจ่ายรางวัล รอมาเป็นปี ไม่มีคำตอบ