หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

เสาหลักเมืองกับการบูชายัญมนุษย์

โพสท์โดย Fuckyou


ตามประเพณีไทยแต่โบราณมา เมื่อจะมีการสร้างเมืองใหม่ขึ้น ณ ที่ใดก็ตามสิ่งที่จะต้องทำเป็นประการแรกก็คือ หาฤกษ์ยามอันดี สำหรับฝังเสาหลักเมือง แล้วหลังจากนั้นจึงจะดำเนินการสร้างบ้านสร้างเมืองกันต่อไป

ประเพณีการตั้งเสาหลักเมือง ก่อนจะเริ่มลงมือสร้างเมืองนั้น มาจากประเพณีพราหมณ์ ซึ่งรุ่งเรืองอยู่ในชมพูทวีปหรือบริเวณประเทศอินเดียในปัจจุบัน แล้วประเพณีพราหมณ์นี้เอง ได้แพร่เข้ามาในแหลมทอง เพราะการเดินทางค้าขายของพ่อค้าชาวอินเดียในสมัยโบราณ โดยพราหมณ์มาตั้งรากฐานวัฒนธรรมที่เมืองนครศรีธรรมราชอันเป็นเมืองใหญ่และสำคัญของภาคใต้ในสมัยนั้น จนกระทั่งประเพณีพราหมณ์เผยแพร่ขึ้นมาสู่เมืองสุโขทัยและเจริญรุ่งเรืองสืบต่อมาถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา แม้แต่ในสมัยปัจจุบันนี้ก็ตาม ประเพณีพราหมณ์หลายอย่างก็เป็นพิธีที่นับเนื่องอยู่ในการพระราชพิธีต่าง ๆ

ศาสนาพราหมณ์ หรือ ศาสนาฮินดู นี้ ได้เจริญรุ่งเรืองมาก่อนพระพุทธศาสนา ครั้นสมัยต่อมาเมื่อพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองในชมพูทวีปนั้น พิธีทางศาสนาก็ปะปนกันระหว่างศาสนาพราหมณ์และพระพุทธศาสนา จนเมื่อชาวไทยเราซึ่งนับถือพระพุทธศาสนา ก็ยังรับพิธีพราหมณ์หลายอย่างมาปฏิบัติปะปนกัน แต่ถ้าใครเข้าใจความแตกต่างระหว่างทั้งสองศาสนา ก็จะแยกออกว่าอันใดเป็นพุทธ อันใดเป็นพราหมณ์

ที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดก็คือ การตั้งศาลพระภูมิ ในอาณาเขตของบ้านนั่นเอง สิ่งนี้ก็เป็นประเพณีพราหมณ์ ไม่มีในพระพุทธศาสนา ฉะนั้นจึงจะพบว่า ตามบ้านเรือนของผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัดนั้น จะไม่ตั้งศาลพระภูมิในบ้านเลย

ความจริงหากจะพิจารณากันแล้ว การตั้งศาลพระภูมิในเขตบ้าน ก็คล้าย ๆ กับการตั้งเสาหลักเมือง เมื่อจะมีการสร้างเมืองขึ้นใหม่นั่นเอง ถึงแม้ว่าธรรมเนียมการตั้งเสาหลักเมือง จะเป็นพิธีทางศาสนาพราหมณ์ก็ตามที แต่ชาวไทยเราก็ได้ปฏิบัติกันมาจนแทบจะกลายเป็นประเพณีไทยไปแล้ว ดังจะเห็นว่า เมื่อแรกจะสร้างกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. 1893 นั้น สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือ พระเจ้าอู่ทอง ก็โปรดฯ ให้มีพิธีกลบบัตรสุมเพลิง เพื่อตั้งเสาหลักเมือง และในการขุดดินปฐมฤกษ์ตรงใต้ต้นหมันนั่นเอง พราหมณ์ผู้ประกอบพิธีขุดพบหอยสังข์สีขาว จึงถือเป็นมงคล และได้ถือหอยสังข์กับปราสาทและต้นหมัน เป็นสัญลักษณ์ของกรุงศรีอยุธยาเรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้

-------
การฆ่าเพื่อสร้างอาถรรพ์ให้หลักเมือง

มีเรื่องสืบกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โบราณถือว่าพิธีสร้างพระนครหรือสร้างบ้าน สร้างเมือง ต้องฝังอาถรรพ์ 4 ประตูเมือง ต้องฝังเสาหลักเมือง

การฝังเสาหลักเมืองและเสามหาปราสาทต้องเอาคนที่มีชีวิตทั้งเป็น ลงฝังในหลุม เพื่อให้เป็นผู้เฝ้าทวารมหาปราสาทบ้านเมือง ป้องกันอริราชศัตรูมิให้มีโรคภัย ไข้เจ็บเกิดแก่เจ้าฟ้ามหากษัตริย์ผู้ครองนครบ้านเมือง

ในการทำพิธีกรรมดังกล่าว ต้องเอาคนที่ชื่อ อิน จัน มั่น คง มา ฝังลงหลุม จึงจะศักดิ์สิทธิ์และขณะที่นายนครวัฒ เที่ยวเรียกชื่อ อิน จัน มั่น คง ไปนั้น ใครโชคร้ายขานรับขึ้นมาก็จะถูกนำตัวไปฝังในหลุม

หลุมเสาหลักเมืองนั้น จะผูกเสาคานใหญ่ชักขึ้นเหนือหลุมนั้นในระดับสูงพอสมควร โยงไว้ด้วยเส้นเชือกสองเส้นหัวท้ายให้เสาหรือซุงนั้นแขวนอยู่ตามทางนอนเหมือนอย่างลูกหีบ

ครั้นถึงวันกำหนดที่จะกระทำการอันทารุณนี้ ก็เลี้ยงดุผู้เคราะห์ร้ายให้อิ่มหนำสำราญแล้ว แห่แหนนำไปที่หลุมนั้น พระเจ้าแผ่นดินมีรับสั่งให้บุคคลทั้งสามนั้นเฝ้าประตูเมืองไว้ด้วย และให้เร่งแจ้งข่าวให้รู้กันทั่ว

เมื่อคนมาชุมนุมกันเขาก็ตัดเชือกปล่อยให้เสาหรือซุงหล่นลงมาบนศีรษะผู้เคราะห์ร้ายผู้ตกเป็นเหยื่อของการถือโชคถือลางนั้น บี้แบนอยู่ในหลุม

คนไทยเชื่อว่าผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้จะกลายสภาพเป็นอารักษ์จำพวกที่เรียกว่า ผีราษฏร คนสามัญบางคนก็กระทำการฆาตกรรมแก่ทาสของตนในทำนองเดียวกันนี้เพื่อใช้ให้เป็นผีเฝ้าขุมทรัพย์ที่ตนฝังซ่อนไว้
---
ตัวอย่างจากพม่า

เรื่องนี้อาจเทียบเคียงกับสิ่งที่เคยทำมาก่อนในการสร้างเมืองใหม่ของพม่า คือเมืองมัณฑเล

เมืองมัณฑเลเป็นรูปสี่เหลี่ยม จึงมีกำแพงสี่ด้าน กำแพงแต่ละด้านมีประตูเมือง 3 ประตู รวมเป็น 12 ประตูด้วยกัน

ที่เสาประตูเมืองและตามที่สำคัญอื่นๆนั้น ต้องฝังอาถรรพ์ และอาถรรพ์นั้นก็คือคนเป็นๆ

เมื่อพระเจ้ามินดุงสร้างเมืองมัณฑเลนั้น ต้องเอาคนเป็นๆมาฝังถึง 52 คน โดยฝังตามประตูเมืองประตูละ 3 คน 12 ประตููู ก็เป็น 36 คน ตามมุมเมืองอีกมุมละคน ประตูพระราชวังและสี่มุมกำแพงพระราชวังก็ต้องฝังคนอีก และเฉพาะใต้พระที่นั่งสิงหาสน์อันเป็นพระที่นั่งในท้องพระโรงสำหรับเสด็จออกขุนนางนั้น ต้องฝังถึง 4 คน

สรุปอีกที ชัดๆ ต้องเอาคนเป็นๆมาฝัง 52 คน

และคนที่ถูกฝังทั้งเป็นเพื่อเป็นผีคอยรักษาเมืองและพระราชวังนั้นไม่ใช่ เอาใครก็ได้ แต่ต้องเลือกให้ได้ลักษณะตามที่โหรพราหมณ์กำหนด ไม่ใช้นักโทษที่ต้องโทษประหาร แต่จะเป็นคนที่อยู่ในวัยต่างๆกันมีตั้งแต่คนมีอายุจนถึงเด็กทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ทุกคนต้องมีฐานะดีเป็นที่ยกย่องในกลุ่มชน และต้องเกิดตามที่โหรกำหนด

ถ้าเป็นชายต้องไม่มีรอยสัก ผู้หญิงต้องไม่เจาะหู เมื่อสั่งเสียร่ำลาญาติพี่น้องแล้วก็จะถูกนำตัวไปลงหลุมญาติพี่น้องก็จะได้รับพระทานรางวัล

พอมีข่าวออกไปว่าจะเอาคนมาฝังทั้งเป็น ผู้คนก็หลบไปจากเมืองมัณฑเลเกือบหมด ทางราชการสั่งให้มีละคร ให้คนดูทั้งกลางวันและกลางคืนหลายวัน แต่ก็ไม่มีใครมาดู ในที่สุดก็ต้องเที่ยวซอกซอนค้นเอาตัวมาได้จนครบ เมื่อได้ฤกษ์ก็เลี้ยงดูคนเหล่านั้นแล้วสั่งเสียให้คอยเฝ้าเมือง และรักษาพระราชวัง แล้วก็เอาลงหลุม

เอาเสาประตูใส่หลุมตามลงไป ลูกเมียญาติพี่น้องซึ่งได้รับพระราชทานรางวัลก็คงจะรับไปอย่างไม่สบายใจนัก..."

อย่างไรก็ดี มีบางข้อมูลบางตัวที่บอกว่าว่า กรุงมัณฑเลนั้นสร้างทีหลังกรุงเทพฯหลายสิบปี แต่เมื่อสร้างกรุงเทพฯนั้น ประเพณีฝังคนได้เลิกไปแล้ว

-----
ไม่ใช่แค่ในเมืองหลวง

การฝังคนลงในหลุมของเสาหลักเมือง ไม่ได้ทำเฉพาะเสาหลักเมืองเมืองหลวงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเสาหลักเมืองในเมืองอื่นๆ ของไทยอีกด้วย

อย่างเช่นเรื่องราวของการตั้งเสาหลักเมืองที่เพชรบูรณ์ เล่ากันมาว่าก่อนจะตั้งเสาหลักเมืองนั้น เจ้าเมืองได้ป่าวร้องหาคนที่ชื่อ มั่น และ คง เพื่อจะนำตัวมาฝังพร้อมกับเสาหลักเมืองเพชรบูรณ์ ปรากฏว่าไปเจอสามเณรพี่น้องสององค์ชื่อมั่นและคงตามที่ต้องการพอดี จึงให้นำสามเณรมั่นและสามเณรคง มาฝังทั้งเป็นพร้อมกับการตั้งเสาหลักเมืองเพชรบูรณ์ เพื่อให้บ้านเมืองมั่นคงตามเคล็ดที่เชื่อถือกันมาแต่โบราณ

----
ก็มีการค้านว่าไม่จริงด้วย

เรื่องที่ว่า มีการฝังมนุษย์ทั้งเป็นในหลักเมือง ก็ไม่ใช่จะไม่มีการค้านว่าไม่จริง มีบางข้อมูลที่บอกว่าเป็นเพียงเรื่องเล่าที่ไม่ได้เป็นความจริงด้วย โดยบอกว่า

ความเชื่อเรื่องฝังคนทั้งเป็นนี้เข้าใจว่าจะมีการบอกเล่าสืบต่อกันมา เป็นการเชื่อแบบชาวบ้านโดยที่ไม่มีหลักฐานไตร่ตรองจนถึงกับนำมาเขียนเป็นประวัติศาสตร์ก็มี เท่าที่พบมีอยู่แห่งหนึ่งคือการฝังหลักเมืองของเมืองถลาง ในหนังสือ "ประวัติจังหวัดภูเก็ตฉบับฉลอง 25 พุทธศตวรรษ" เมื่อพ.ศ.2500 ได้กล่าวถึงการฝังหลักเมืองไว้ตอนหนึ่งว่า

"เมื่อท้าวเทพกษัตรีและท้าวศรีสุนทรได้ถึงอสัญกรรมแล้ว พระยาถลาง (ทองพูน) ได้เป็นเจ้าเมืองถลาง ได้จัดหาสถานที่เพื่อสร้างเมืองใหม่ขึ้น และได้ตกลงให้สร้างเมืองใหม่ขึ้น ที่ตำบลเทพกษัตรี อำเภอถลางในปัจจุบันนี้ โดยเรียกว่า "บ้านเมืองใหม่" เมื่อจัดหาที่ได้แล้ว จึงได้ประกอบพิธีกรรมขึ้นเพื่อฝังหลักเมืองโดยนิมนต์พระภิกษุสงฆ์รวม 32 รูป เจริญพระพุทธมนต์อยู่ 7 วัน 7 คืน แล้วจึงให้อำเภอทนายป่าวร้องหาตัวผู้ที่จะเป็นแม่หลักเมือง (ผู้ที่จะเป็นแม่หลักเมืองได้ต้องเป็นคนที่เรียกกันว่า สี่หูสี่ตา คือกำลังมีครรภ์นั่นเอง) การป่าวร้องหาตัวแม่หลักเมืองนี้ได้ประกาศป่าวร้องไปเรื่อย ๆ ไปตลอดทุกหมู่บ้านว่า โอ้เจ้ามั่น โอ้เจ้าคง อยู่ที่ไหนมาไปประจำที่ ในที่สุดจึงไปได้ผู้หญิงชื่อนางนาคท้องแก่ประมาณ 8 เดือนแล้ว นางนาคได้ขานตอบขึ้น 3 ครั้ง แล้วได้เดินตามผู้ประกาศไป ขณะนั้นเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เมื่อไปถึงหลุมที่จะฝังหลักเมือง นางนาคก็กระโดดลงไปในหลุมนั้นทันที ฝากหลุมก็เลื่อนปิด เจ้าพนักงานก็กลบหลุมฝังหลักเมืองเป็นอันเสร็จพิธีการฝังหลักเมือง

ตามเรื่องข้างต้นนี้ไม่มีในพงศาวดาร คนเขียนขึ้นตามที่เคยฝังเขาเล่ากัน หรือจับเอาเรื่อง "ราชาธิราช" เมื่อพระเจ้าฟ้ารั่วสร้างปราสาทมาเป็นพิธีฝังหลักเมืองดังมีข้อความตอนหนึ่งว่า

"ครั้นวันฤกษ์พร้อมกันคอยหาฤกษ์แล้วนิมิตกึ่งฤกษ์เวลากลางวัน พอหญิงมีครรภ์คนหนึ่งเดินมาริมหลุม คนทั้งปวงพร้อมกันว่าได้ฤกษ์ แล้วก็ผลักหญิงนั้นลงในหลุม จึงยกเสาปราสาทนั้นลงหลุม"

บางทีจะเป็นเรื่องนี้เองก็ได้ ที่คนเอาไปโจษขานเล่าลือกัน แล้วเลยหลงเข้าใจผิดไปว่า การฝังหลักเมืองหรือประตูเมืองนั้นต้องฝังคนท้องทั้งเป็นหรือคนที่มีชื่อว่า อิน จัน มั่น คง จนพวกฝรั่งฟังไม่ได้ศัพท์จึงเอาไปเขียนอธิบายกันยืดยาว และที่น่าอัศจรรย์ใจก็คือ หนังสือประวัติจังหวัดภูเก็ตเล่มดังกล่าวได้ตีพิมพ์เรื่องตอนนี้ไปได้อย่างไร คนอ่านไม่ได้คิดก็จำเรื่องผิด ๆ ไป

ตามตำราพระราชพิธีฝังหลุมพระนคร หรือที่เรียกอีกอยางหนึ่งว่า "ตำราพระราชพิธีนครฐาน" ฉบับโบราณก็มีอยู่หลายฉบับ ได้พรรณนาพิธีการตั้งแต่ต้นจนสุดท้ายอย่างละเอียดพิสดาร ก็ไม่มีตอนใดกล่าวถึงคนชื่อ อิน จัน มั่น คง หรือคนมีท้อง มีแต่ให้เอาดินจากทิศทั้ง 4 มาปั้นเท่าผลมะตูม สมมติว่าเป็นธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม มีคนถือก้อนดินคนละก้อนยืนปากหลุมทั้ง 4 ทิศ เมื่อทำพิธีมีโหรผู้ใหญ่ถามถึงก้อนดินแต่ละก้อนนั้นมีคุณสมบัติประการใด ผู้ที่ถือก้อนดินก็ตอบไปตามลำดับ คือธาตดินมีพระคุณจะทรงไว้ซึ่งอายุพระนครให้บริบูรณ์ด้วยคามนิคมเป็นที่ประชุมประชาชนพลพาหนะตั้งแต่ประถมตามเท่าอวสาน, คนถือธาตุน้ำตอบว่า มีพระคุณให้สมเด็จบรมกษัตริย์แลเสนาอำมาตย์ราษฎรทั้งหลายเจริญอายุวรรณะสุขะพละสิริสวัสดิมงคลทั้งปวง, คนที่ถือธาตุไฟตอบว่า มีพระคุณให้โยธาทหารทั้งปวงแกล้วกล้า มีตบะเดชะแก่หมู่ข้าศึก, คนที่ถือธาติลมตอบว่า มีพระคุณให้เจริญสมบัติธนธัญญาหารกสิกรรมวาณิชกรรมต่าง ๆ เมื่อกล่าวตอบครบแล้วก็ทิ้งก้อนดินนั้นลงในหลุมแล้วเชิญแผ่นศิลายันต์ลงในหลุม และเชิญหลักตั้งบนแผ่นศิลานั้น อัญเชิญเทวดาเข้าประจำรักษาหลักพระนคร

พิธีสำคัญก็มีเพียงเท่านี้ ไม่มีการฝังคนทั้งเป็นแต่อย่างไรเลย

(ภาพหลักเมือง ภายในศาลหลักเมือง กรุงเทพ ที่สนามหลวง ตรงข้ามพระบรมมหาราชวัง)

ที่มา: ข้อมูลจาก : สารคดี. ปีที่ 16 ฉบับที่ 190 เดือนธันวาคม 2543 หน้า 121
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
Fuckyou's profile


โพสท์โดย: Fuckyou
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
48 VOTES (4/5 จาก 12 คน)
VOTED: กบขึ้นวอ, MAC Mask, ซาอิ, pacific, เคน กระทิงทอง, chuanb
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
เลขเด็ดลุงแป้น งวด 16 พฤษภาคม 2567เจนนี่ Blackpink - ไบร์ท วชิรวิชญ์ นำทีมซุปตาร์เอเชียร่วมงาน Met Gala 2024
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
ด่วน ! ฝนกระหน่ำตกหลาย ชม.ภูเก็ต-กระบี่ น้ำท่วมหลายจุด"โน้ส อุดม" ขอยอมแพ้ บุก สนง.ใหญ่ "Netflix"..เพราะทนกระแสกดดันไม่ไหวสุดเศร้าหนุ่มนักแคสเกมจบชีวิต เพราะผู้หญิงที่รัก ยอมให้หมดตัวแม้ไม่ได้กินของโปรดของตัวเองนักการเมืองชาวไทย ที่ร่ำรวยและมีมูลค่าทรัพย์สินมากที่สุดเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ไม่เก่งด้านทักษะภาษาอังกฤษ
กระทู้อื่นๆในบอร์ด ข่าววันนี้
ชาวศรีสัชนาลัยลงแม่น้ำยมร่อนทองปากถ้ำพญานาค ทั้งคลายร้อน และหารายได้เสริมดาราดังเผย "วลาดิเมียร์ ปูติน" คือ "พี่ชายของผม"หมาเข้าไปในเครื่องเล่น คนเข้าไปช่วย ถูกเครื่องเล่นฟาดเข้าอย่างจังเจนนี่ Blackpink - ไบร์ท วชิรวิชญ์ นำทีมซุปตาร์เอเชียร่วมงาน Met Gala 2024
ตั้งกระทู้ใหม่