ศึกอลาโม
ย้อนกลับไปในปี ค.ศ.1821 หลังชนะสงครามประกาศเอกราชกับสเปน ทำให้เม็กซิโก ได้ครอบครองดินแดนกว้างใหญ่ไพศาลที่ทุกวันนี้ เป็นภาคตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกาซึ่งประกอบด้วย เท็กซัส อริโซนา แคลิฟอร์เนีย และนิวเม็กซิโก
ดินแดนแถบนี้แห้งแล้งทุรกันดารและเต็มไปด้วยชาวอินเดียนที่ดุร้าย ทำให้มีชาวเม็กซิกันไม่กี่ครอบครัวที่กล้าเข้าไปอยู่ แต่เนื่องจาก รัฐบาลเม็กซิโกต้องการให้เป็นพื้นที่กันชนจากพวกอินเดียน จึงประกาศชักชวนผู้อพยพชาวอเมริกา ให้เข้าไปตั้งรกรากในเท็กซัส โดยเสนอขายที่ดินราคาถูกแก่ผู้อพยพโดยแลกกับการที่ผู้อพยพต้องเปลี่ยน สัญชาติเป็นเม็กซิกัน
ในระยะแรกความสัมพันธ์ ระหว่างผู้อพยพกับรัฐบาลเม็กซิโกเป็นไปด้วยดี แต่ชุมชนเท็กซัสขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยในเวลาเพียงสิบปีก็มีชาวอเมริกันมากถึง 20,000 คน และทาสผิวดำอีกพันคน แต่ชาวเม็กซิกันแท้ ๆ มีเพียง 5,000 คน เท่านั้น ขณะเดียวกันก็เริ่มมีความคิดในหมู่ชาวเม็กซิโกเชื้อสายอเมริกันในเรื่องการ ที่จะแยกตัวไปรวมกับอเมริกา อีกทั้งทางอเมริกาเองก็รอจังหวะที่จะเจรจาซื้อเท็กซัส ดังนั้นนายพล ซานตาอันนา (Santa Anna) ประธานาธิบดีเม็กซิโก จึงออกกฏหมายห้ามชาวอเมริกันเข้าไปตั้งรกรากเพิ่ม ห้ามไม่ให้มีทาสและไม่ส่งเสริมการสร้างสาธารณูปโภคใดๆ สร้างความไม่พอใจให้เกิดขึ้นในหมู่ชาวเท็กซัส และได้ส่งตัวแทนไปเจรจาขออิสรภาพจากรัฐบาลกลาง ซึ่งซานตา อันนาเคยรับปากจะมอบให้เมื่อถึงเวลาอันควร
นายพลซานตา อันนาปฎิเสธและจับกุมสตีเฟน ออสติน (Steven Austin) ผู้เป็นตัวแทนเจรจาขังคุก 8 เดือน ความอดทนของชาวเท็กซัสหมดลง เมืองต่างๆลุกฮือประท้วงไม่ยอมอยู่ใต้การปกครองของเม็กซิโก อีกทั้งมีการระดมกองกำลังป้องกันตนเองโดยมีนายพลแซม ฮูสตัน (Sam Houston) อดีตนายทหารจากเทนเนสซี่เป็นหัวหน้าเพื่อทำสงครามประกาศอิสรภาพจากเม็กซิโก นายพล ซานตาอันนา ผู้มีสมญาว่า นโปเลียนแห่งตะวันตกจึงกรีฑาทัพบุกเท็กซัส
สำหรับป้อมอลาโม (Alamo) นั้นเดิมทีเป็นสำนักมิสชันนารีสเปน ที่สร่างขึ้นในปี 1718 โดยพวกมิสชันนารีสเปนที่มาเผยแผ่ศาสนาให้กับชนพื้นเมือง และได้ถูกทิ้งร้างไปในเวลาต่อมา จนกระทั่งถึงปี 1836 กองทัพเม็กซิกันเข้าโจมตีเท็กซัส นักรบทหารอาสาเท็กซัสจำนวน 189 นาย นำโดย พันเอก วิลเลียม เทรวิส , จิม โบวี่ และ เดวี่ ครอกเก็ต ได้ใช้โบสถ์เก่าแห่งนี้เป็นที่มั่นโดยเรียกที่นี่ว่า ป้อมอลาโม เพื่อเตรียมรับมือกองทัพเม็กซิกัน โดยจะตรึงกำลังข้าศึกไว้จนกว่านายพลแซม ฮูสตันจะมาช่วย แต่กองทัพของนายพลฮุสตันเป็นเพียงทหารใหม่ที่ ยังไม่พร้อมจะออกรบและไม่อาจจะยกกำลังมาช่วยได้ทันเวลา เดือนกุมภาพันธ์ ปี 1836 ทหารเม็กซิกันจำนวน 7,000 นาย ภายใต้การนำของนายพล ซานตา อันนา ก็เคลื่อนทัพมาถึง ซาน อันโตนิโอ (San Antonio) อันเป็นที่ตั้งของป้อมอลาโม ชาวเท็กซัสทั้ง 189 คนปฏิเสธที่จะยอมจำนน กองทัพเม็กซิกันจึงเข้าล้อมป้อมอลาโมไว้ แต่ก่อนที่จะสั่งโจมตีป้อม นายพลซานตา อันนา ยื่นข้อเสนอให้อพยพผู้หญิงและเด็กทั้งหมดออกจากป้อม หลังจากผู้หญิงและเด็กทั้งหมดออกไปแล้ว กองทัพเม็กซิกันจึงเริ่มเปิดฉากโจมตี ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์
The Alamo (1960)
ในวันแรก ขบวนทหารม้าเม็กซิกันเป็นหัวหอกในการเข้าโจมตี แต่ถูกระดมยิงจากปืนใหญ่จนต้องล่าถอยไป ในช่วงสองวันแรกกองทัพเม็กซิกันระดมยิงปืนใหญ่ใส่ป้อม แต่เนื่องจากป้อมตั้งอยู่ไกลเกินไป จึงไม่มีผลอะไร จนถึงวันที่สามฝ่ายเม็กซิกันลากปืนใหญ่เข้าไปใกล้และระดมยิงอย่างหนัก วันที่สี่และวันที่ห้า ฝ่ายเท็กซัสส่งคนไปลอบเผาที่พักข้าศึก และได้ปะทะกับทหารเม็กซิกัน การโจมตียังคงมีอยู่เรื่อยๆ จนถึงวันที่สิบโดยทหารเม็กซิกันโอบล้อมเข้ามาช้าๆในวันที่สิบเอ็ดผู้พันเท รวิสให้ทุกคนเลือกทางของตนเองว่าจะหนีหรือสู้ ไม่มีใครยอมหนีแม้แต่คนเดียว และเมื่อถึงวันที่สิบสาม ซานตา อันนา มั่นใจว่าฝ่ายอลาโมอ่อนแรงเค็มที่แล้ว จึงส่งกำลังบุกอีกครั้งในเวลาตีสี่ของวันที่ 6 มีนาคมแต่ถูกฝ่ายเท็กซัสตีถอยร่นกลับ
.
ซานตา อันนา สั่งบุกอีกระลอกในตอนตีห้าครึ่งเพราะเกรงว่าถ้ารอนานไปทหารฝ่ายตนจะเสียขวัญ มากขึ้น นักรบเท็กซัสสู้อย่างถวายชีวิต ทำให้ข้าศึกสูญเสียกำลังพลเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ในที่สุดกองทัพเม็กซิกันก็สามารถเจาะเข้าทางด้านเหนือของป้อมได้และบุกทพลวง เข้าไปต่อสู้ประชิดตัวจนถึงแท่นหน้าโบสถ์ ผู้พันเทรวิสตายคาที่มั่น ในขณะที่จิม โบวี่ซึ่งกำลังนอนป่วยอยู่บนเตียงสามมารถฆ่าทหารเม็กซิกันได้ห้าคนก่อนโดย รุมแทงตาย ชาวเทกซัสล้มตายกลาดเกลื่อนหลังการรบอันดุเดือดในที่สุดฝ่ายเม็กซิกันก็ได้ รับชัยชนะมีผู้รอดชีวิตเพียง 9 คน และถูกจับเป็นเชลย ซึ่งในนั้นมี เดวี่ ครอกเก็ต และร้อยเอกดิคคินสันกับภรรยาและลูกรวมอยู่ด้วย
ซานตา อันนา ปล่อยตัว นางดิคคินสันและบุตรพร้อมกับทาสผิวดำอีก 1 คนออกไป นายพลซานตา อันนาแทงเดวี่คร็อกเก็ต ตายและสั่งให้ยิงทิ้งเชลยทั้ง 5 คนอย่างทารุณ แม้ว่าเม็กซิกันจะได้รับชัยชนะ แต่ก็เป็นชัยชนะที่ราคาแพง เนื่องจากต้องแลกด้วยชีวิตทหารเม็กซิกันเกือบ 1,700 นาย และจากวีรกรรมของนักรบอลาโมในครั้งนี้เอง ได้กลายเป็นเหตุการณ์ที่ช่วยปลุกใจชาวเท็กซัสทั้งหลายให้ร่วมมือกันลุกขึ้น ต่อสู้เพื่อเอกราช จากเม็กซิโก
หลังจากการรบที่อลาโมจบ สิ้นลง ซานตา อันนาเคลื่อนทัพไปโจมตีผู้ต่อต้านที่เมืองโกเลียต (Goliad) ผู้ต่อต้าน 330 คนสู้ไม่ได้และยอมจำนนแต่กลับถูกยิงทั้งอย่างเหี้ยมโหด ส้รางความโกรธแค้นแก่ชาวเท็กซัสอย่างที่สุด แต่ขณะนั้น ฝ่ายเท็กซัสยังไม่เข้มแข็งพอ นายพลแซม ฮูสตันจึงล่าถอยไปเรื่อย ๆ เพื่อหาจังหวะเผชิญหน้าข้าศึก ฝ่ายเม็กซิกันซึ่งได้ชัยชนะมาตลอดเกิดความชะล่าใจ จนถึงวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 1836 กองทัพหลวงที่มีทหารเม็กซิกัน 1,500 นาย ได้ตั้งค่ายพักที่เมืองซานฮาซินโต (San Jacinto) ในขณะเหล่าทหารกำลังนอนพักตอนเที่ยง อันเป็นกิจวัตรประจำวัน ที่เรียกว่า ซีเอสต้า (Siesta) นายพลแซม ฮูสตันก็นำกำลังทหารอาสาเท็กซัส 900 นาย บุกเข้าโจมตี เหล่าทหารต่างร้องตะโกนกึกก้องด้วยคำว่า ” เพื่ออลาโม ” ขณะที่บุกเข้าโจมตี การโจมตีใช้เวลาเพียง 15 นาที โดยฝ่ายเท็กซัสตายเพียง 9 คน
หลังการรบ ชาวเท็กซัสได้รับชัยชนะ สังหารทหารเม็กซิกันตายไป 630 นาย บาดเจ็บ 208 นาย และอีก 730 นาย ถูกจับเป็นเชลย ส่วนนายพล ซานตาอันนา ผู้นำเม็กซิโกหนีไปซ่อนตัวในพงหญ้า อย่างไร้ศักดิ์ศรี เมื่อถูกลากตัวมาเขาถูกมีดโบวี่จ่อคอหอยและถูกบังคับให้ลงนามปล่อยให้เท็ก ซัสเป็นรัฐอิสระ โดยมีนายพลแซม ฮูสตันเป็นประธานาธิบดีคนแรก ต่อมาอีกเก้าปี สาธารณรัฐเท็กซัสก็เข้ามารวมกับที่จะมารวมตัวกับสหรัฐอเมริกาในวันที่ 1 มีนาคม ปี ค.ศ.1845 ทุกวันนี้เรื่องราววีรกรรมของนักรบอลาโมยังเป็นที่จดจำและน่ายกย่องในความ รักชาติ กล้าหาญและเสียสละเพื่อแผ่นดินเกิด ป้อมอลาโมเป็นอีกหนึ่งในตำนานอันยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา