คนไม่มีศาสนา กับปัญหาของนโยบายการอุปถัมป์ศาสนา
"มารศาสนา" ไม่น่ากลัวเท่า "มารในคราบศาสนา"
"ศาสนาเถื่อน" ไม่น่ากลัวเท่า "ศาสนาของรัฐ"
"รัฐไร้ศาสนา" ไม่น่ากลัวเท่า "รัฐศาสนา"
"สงครามผลประโยชน์" ไม่น่ากลัวเท่า "สงครามศาสนา"
ขอยืนยันว่า คนไม่มีศาสนาบางคนเป็นคนดีมาก
บางคนดีกว่าคนมีศาสนาหลายคน และดีกว่าคนเคร่งศาสนาหลายคนเสียด้วยซ้ำ
แต่นโยบายการอุปถัมป์ศาสนาของไทยไม่คุ้มครองสิทธิทางศาสนาของคนเหล่านี้เลย
นโยบายการอุปถัมป์ทางศาสนาของไทยเป็นการอุปถัมป์เฉพาะศาสนาที่มี มวลชน (โดยนัยคือมีจำนวน 5,000 คนขึ้นไป) สอง เป็นศาสนาที่ถูกถือว่าเป็นหนึ่งในศาสนาหลักของโลก (หมายความว่ามีมวลชนศาสนิกในหลายประเทศ) และแน่นอนว่า ต้องมีการเรียกร้องของมวลชนศาสนิก
ด้วยเหตุนี้ ศาสนานอกเหนือจากพุทธที่ได้รับการอุปถัมป์ทางศาสนาจึงมีเพียง 4 ศาสนาเท่านั้น คือ พราหมณ์ อิสลาม คริสต์ และซิกข์
และศาสนาอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ก็ไม่ถูกถือว่าได้รับสิทธิการอุปถัมป์ทางศาสนา
นี่ยังรวมถึง พุทธนิกายญี่ปุ่น และนิกายอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ใต้มหาเถรฯ ก็ไม่ได้รับสิทธิในการอุปถัมป์ทางศาสนาเช่นกัน
รวมทั้ง ชาวศาสนาคริสต์นิกายออธอด๊อกซ์ และศาสนามอร์มอน หรือคริสต์นิกายมอร์มอน ซึ่งไม่ได้อยู่ในสังกัดองค์กรคริสต์ใด ก็ไม่ได้รับสิทธิในการอุปถัมป์ทางศาสนา เช่นกัน
นี่ก็รวมไปถึง ชาวศาสนาเต๋า ชาวศาสนาโยเร ศาสนาฝ่าหลุนกง จนถึงชาวยิวที่นับถือศาสนายูดาย และศาสนาอื่นๆ อีกมากมายเหลือเกิน ซึ่งมีกลุ่มคนเป็นจำนวนน้อย ก็ไม่ได้รับสิทธิการอุปถัมป์ทางศาสนาเช่นกัน
การอ้างเรื่องการอุปถัมป์ศาสนาอื่น จึงเป็นการเลือกปฏิบัติและความไม่เสมอภาคทางศาสนา
และกลุ่มคนผู้ที่ถูกกดขึ่ทางศาสนามากที่สุดในปัจจุบันคือ ชาวอศาสนา หรือผู้ที่ไม่นับถือศาสนา จะน่าสงสารที่สุด ทั้งๆที่คนเหล่านี้หลายคนหัวก้าวหน้ามาก
และอีกครั้งที่ต้องบอกว่า คนที่ไม่นับถือศาสนาบางคน มีจริยธรรมที่สูงกว่าบางคนที่ว่ามีศาสนาหรือทำตัวเป็นคนเคร่งศาสนาเสียอีก
คนเหล่านี้ต้องกล้ำกลืนฝืนแสร้งทำตนเป็นคนมีศาสนาให้กลมกลืนไป เพราะเกรงจะถูกกดขี่และถูกเลือกปฏิบัติในสังคมเคร่งศาสนาแบบไทยๆ