หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

วิปริต..สุดขอบโลก !!!

โพสท์โดย ผีเจ้า

 

อัลเบิร์ด ฟิช (Albert Halmilton Fish) ฆาตกรต่อเนื่องตัวจริง ชายผู้ถูกขนานนามว่า เป็นชายชราที่โรคจิตสุดขั้ว คนหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก


Albert Halmilton Fish (1870 – 1936)


วันที่ 28 พฤษภาคม 1928 ชายชราแต่งตัวดีคนหนึ่งซึ่งแนะนำตัวเองว่าชื่อแฟรงค์ ฮาวาร์ดปรากฏตัวขึ้นที่อพาร์ทเมนท์ของครอบครัวบัดด์ในกรุงนิวยอร์ค เอ็ดเวิร์ด วัย 18 ปี ลูกชายคนโตได้ลงประกาศหางานในหนังสือพิมพ์เพื่อหารายได้มาช่วยจุนเจือครอบครัว และฮาวาร์ดก็บอกว่าเขามีฟาร์มอยู่ที่ลองไอส์แลนด์ และมาที่นี่เพื่อสัมภาษณ์ว่าเอ็ดเวิร์ดจะเหมาะสมกับงานหรือไม่ ชายชราผู้นี้มีใบหน้าใจดี สุภาพ อ่อนโยน มีหนวดเคราสีเทา เขายังบอกว่าเขามีเมียที่ทิ้งเขาไปแล้วให้เขาเลี้ยงลูกหกคนตามลำพัง ในวันนี้ชายชราบอกว่าเขายังต้องสัมภาษณ์ผู้สมัครงานคนอื่นด้วยและกลับไปโดยไม่ได้ทำอะไร

วันที่ 3 มิถุนายน ชายชรากลับมาหาครอบครัวบัดด์อีกครั้งและบอกว่าเขาตกลงรับเอ็ดเวิร์ดเข้าทำงาน ครอบครัวบัดด์ต่างพากันดีใจ นอกจากนี้ชายชรายังแสดงน้ำใจด้วยการนำคอทเทจชีสมาฝากและให้เงินแก่ลูกชายคนรองไว้เป็นค่าขนมอีกด้วย ครอบครัวบัดด์จึงรู้สึกสนิทสนมกับชายชราในเวลาไม่ช้า
 



เกรซ บัดด์


ตอนแรกชายชราก็เล็งเอ็ดเวิร์ดไว้ แต่ทันทีที่เขานั่งลงที่โต๊ะอาหาร น้องสาวของเอ็ดเวิร์ดชื่อเกรซ บัดด์ วัย 10 ขวบ ก็เดินร้องเพลงเข้ามาในห้อง เธอเป็นเด็กหญิงอายุสิบขวบ มีดวงตากลมโตสีน้ำตาลและผมสีน้ำตาลเข้มสวยน่ารัก ชายชราไม่อาจถอนสายตาไปจากเด็กหญิงคนนั้นได้เลย เขาหลอกล่อให้เด็กหญิงมานับเงินเหรียญที่เขามี ดูซิว่าคิดเลขเป็นมั้ย เธอก็ตอบได้ถูกต้อง เขาก็มอบเงินให้เด็กไปห้าสิบเซนต์พร้อมชมว่าเก่งมาก…เขาตัดสินใจที่จะกินเธอ

เมื่อรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันเสร็จ ชายชราก็กล่าวขึ้นว่าน้องสาวของเขาที่อาศัยอยู่ที่บล๊อกที่ 137 ในถนนโคลัมบัส (Columbus and 137th Street.) จัดงานเลี้ยงวันเกิดให้กับเด็กผู้หญิงในวันนี้พอดี และเขาก็อยากจะพาเกรซ บัดด์ ไปร่วมงานวันเกิดที่ว่านี้ด้วย

ในครั้งแรก มิสซิสบัดด์ไม่อยากให้เกรซไปนัก แต่อัลเบิร์ตผู้พ่อก็เห็นว่าเกรซควรจะได้มีโอกาสไปเปิดหูเปิดตาบ้าง พวกเขาจึงส่งเกรซในชุดออกงานสีขาวออกจากบ้านไปพร้อมกับชายชรา และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเขาได้เห็นเกรซ

เมื่อเกรซไม่กลับมา ในวันรุ่งขึ้นครอบครัวบัดด์ก็แจ้งความกับตำรวจ หากการสืบสวนก็มืดแปดด้าน ถนนโคลัมบัสมีเพียงแค่ 109 บล๊อกและก็ไม่มีฟาร์มของ”แฟรงค์ โฮวาร์ด”อยู่ที่ลองไอส์แลนด์ โดยไม่มีเบาะแสใดๆ

Without A Trace
 

ตำรวจที่มาทำคดีปวดหัวมาก เพราะที่อยู่ที่ชายชราให้มาเป็นที่อยู่ปลอม และไม่มีคนที่ชื่อแฟรงค์ โฮเวิร์ด ไม่มีฟาร์มเฟิมอะไรทั้งนั้น
 

 


ตำรวจเริ่มการสืบสวน และส่งรูปถ่ายเกรซี่แจกจ่ายไปทั่ว เช็คทุกอย่างที่ “ แฟรงค์ โฮเวิร์ด” ได้บอกกับครอบครัวบัด ดูแฟ้มต่างๆเช่น แฟ้มข้อมูลอาชญากรที่ชอบทำร้ายเด็ก รวมทั้งแฟ้มคนไข้โรคจิตด้วย แต่ก็ไม่เป็นผล ตำรวจตรวจจดหมายของชายชรา พบว่าคนนี้มีการศึกษาและเขียนถูกหลักไวยากรณ์ และยังสืบพบว่าครีมสดที่ชายชราเอามาฝากนั้นมาจากร้านในย่าน อีส ฮาเลม จึงให้ตำรวจลงพื้นที่บริเวณนั้น



A Letter From Hell


เวลาก็ผ่านไปกว่า 6 ปี และในวันที่ 11 พฤศจิกายน 1934 มีจดหมายประหลาดส่งมายังบ้านบัดด์ มิสซิสบัดด์เป็นผู้รับ หากโชคดีที่เธออ่านหนังสือไม่ออก ลูกชายของเธอเป็นผู้อ่านและรีบนำแจ้งตำรวจทันที

นี่คือเนื้อความทั้งหมดของจดหมายจากนรกนั้น (มันโหดเกิน)
Spoil


ครึ่งแรกไม่น่าจะมีมูลความจริง แต่ในครึ่งหลัง เป็นการบ่งอย่างชัดเจนว่าเขาฆ่าและกินเกรซลงไปเรียบร้อยแล้ว

ไม่มีใครอยากจะเชื่อว่าจดหมายนั้นเป็นเรื่องจริง มันเป็นความซาดิสม์มาก แต่ตำรวจก็เอาลายมือจดหมายฉบับนี้ไปเทียบกับจดหมายเก่าที่เขาเคยส่ง พบว่าตรงกัน

ทีมสืบสวนนำโดยสารวัตรคิงทำการไล่เลียงที่มาของจดหมายฉบับนี้ เบาะแสสำคัญคือซองจดหมายที่มีตราสมาคมคนขับรถอยู่ จึงไปถามสมาคมนั้นมีภารโรงในสมาคมนั้นนำจดหมายไปให้ที่บ้าน แต่เขาย้ายบ้านแล้ว บ้านเก่าอยู่ที่ 200 East 52nd Street ตำรวจไปพบเจ้าของบ้านที่ให้เช่าหลังนั้น หญิงผู้ดูแลก็ตอบได้ในทันทีที่ฟังรูปพรรณสันฐานของแฟรงค์ ฮาวาร์ดว่าเขาน่าจะเป็นอัลเบิร์ท ฟิชซึ่งเช่าห้องอยู่ข้างบนนี่เอง โดยเช่ามาสองเดือนแล้วแต่เพิ่ง check out ไป เธออธิบายลักษณะคนนี้ตรงกับคำให้การของพยานที่ผ่านๆมา

เจ้าของบ้านเล่าว่าเขาบอกให้เก็บจดหมายไว้ให้เขาด้วย เพราะลูกชายมักส่งเช็คมาให้ จนวันที่ 13 ธันวา 1934 เจ้าของห้องเช่าก็โทรมาบอกตำรวจว่าฟิชมาที่บ้าน สารวัตรคิงทำการจับกุมฟิชในที่นั้นทันที
 


 


มีรายงานว่าเมื่อตำรวจเข้าไปถาม เขาก็ตอบรับด้วยท่าทีสงบว่าตนเองคืออัลเบิร์ท ฟิชจริง หากจู่ๆก็ควักมีดโกนออกมาซึ่งตำรวจก้ทำการปลดอาวุธได้ทัน และเมื่อทำการค้นตัวก็พบมีดโกนซ่อนอยู่อีกจำนวนหนึ่ง
 


 


ตำรวจถามว่าอะไรเป็นสาเหตุที่เขาทำเรื่องสยองนี้ เขาบอกว่า “I never could account for it.”




ตำรวจพาชายชราไปหาซากที่ยังเหลือของเกรซี่ เขาก็พาไปและทำสีหน้าเฉยเมย เขาบอกว่าเขามี “a sort of blood thirst”

ตำรวจถามว่าทำไมถึงต้องเขียนจดหมายไปหาแม่เด็ก เขาตอบว่า “I just had a mania for writing.”

นอกจากนี้เขายังสารภาพอีกด้วยว่าเขาเคยย้ายบ้านมาแล้วกว่า 23 รัฐ และในแต่ละรัฐได้ก่อคดีฆาตกรรมไว้อย่างน้อยรัฐละ 1 ครั้ง เหยื่อของเขาเป็นเด็กชายหญิงซึ่งจากปี 1910 ถึง 1934 เขาได้สังหารไปกว่า 400 คนเลยทีเดียว จำนวนนี้เป็นคำให้การของฟิชเองซึ่งไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจริงแค่ไหน แต่ตามคดีที่มีหลักฐานแน่นอนแล้ว เขาฆ่าเด็กกว่า 15 คนและน่าจะมีผู้ตกเป็นเหยื่อประมาณ 100 คน(ในจำนวนนี้ ส่วนใหญ่เป็นคดีที่เขาก่อในชื่อของ Gray Man ซึ่งในครั้งแรก ไม่มีใครนึกว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับคดีของเกรซ บัดด์)

อัลเบิร์ท ฟิช เกิดที่วอชิงตัน DC ในปี 1870 เขาถูกเลี้ยงดูมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าซึ่งมีการลงโทษเด็กที่ทำผิดด้วยการเฆี่ยน

เมื่อายุได้ 15 ปีก็ออกมาทำงานกับช่างทาสี และเมื่ออายุ 28 ปีก็แต่งงานกับผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า 9 ปี

เขาเคยถูกจับกุมมาในปี 1903 เพราะลักขโมย และส่งจดหมายหยาบคาย เขาเคยเข้าโรงพยาบาลโรคจิตเวชมาหลายครั้ง ครอบครัวเป็นโรคทางจิตเวชหลายคน

เขามีบุตร 6 คนซึ่งแต่ละคนต่างก็ได้รับความรักใคร่เอ็นดูอย่างที่เด็กธรรมดาควรจะเป็น นับเป็นครอบครัวตัวอย่างที่ใครๆต่างก็อิจฉา

ฟิชเริ่มออกอาการหลังจากที่ภรรยาของเขาหนีไปกับผู้ชาย หลังจากนั้น เขามีความสัมพันธ์กับผู้หญิงอีก 3 คน หากโดยทะเบียนสมรสแล้ว ยังเป็นชื่อภรรยาคนแรกอยู่

เขาอาศัยอาชีพช่างทาสีของตนออกเดินทางไปทั่วประเทศ

เขา erection ตอนโดนเฆี่ยน คิดว่านี่อาจเป็นสาเหตุให้เขาชอบความเจ็บปวด เขาเคยมีแฟนหนุ่มที่แนะนำให้เขาลองกินปัสสาวะและอุจจาระ

อาการ SM (sado-masochism) ของเขาเริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ฟิชจ้างเด็กให้ใช้แส้เฆี่ยนเขา รับประทานสิ่งปฏิกูลของผู้อื่น กระทั่งสำเร็จความใคร่ของตัวเองด้วยการแทงตะปูและเข็มลงไปรอบๆอวัยวะเพศ
(เข็มเหล่านี้ถูกแทงซ้ำๆหลายครั้งจนถอนไม่ออกและถูกปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น) นอกจากนี้ฟิชยังเล่าด้วยว่าเขาเผาทวารหนักตัวเองด้วยการเอาผ้าชุบน้ำมันยัดเข้าทางทวารหนักและจุดไฟเผา



ในไม่ช้า ฟิชก็เริ่มฆ่าเด็กและกินศพของพวกเขา ซึ่งเขาได้ให้การเกี่ยวกับบิลลี่ กาฟฟ์เนอร์ หนึ่งในเหยื่อของเขาว่าเขาได้เฆี่ยนก้นของเด็กจนเลือดออก (เพื่อทำให้เนื้อนิ่ม) แล้วเฉือนจมูกกับหูออก เขากรีดปากจากหูจนจรดหูอีกข้าง ควักลูกตาออกมา ถึงตรงนี้ เด็กก็ตายแล้ว จากนั้นก็เอามีดปักท้องแล้วดื่มเลือดที่ไหลออกมา ก่อนจะหั่นศพเป็นชิ้นๆ หัว แขน มือ ถูกยัดใส่ถุงพร้อมกับหินแล้วนำไปทิ้งในบ่อ



ขณะขึ้นศาล ทนายจำเลยมุ่งไปที่ชีวิตอันแปลกปะหลาดของเขา และการทำร้ายตัวเอง เช่นฟาดตัวเองด้วยไม้พายที่มีตะปูฝัง




ตอนที่เขาโดนจับ ได้นำเขาไป x ray พบว่ามีเข็ม 29 เล่มที่ลูกอัณฑะและอุ้งเชิงกราน ซึ่งเขาชอบแทงตัวเองและบางทีก็เอาออก บางทีก็เอาไม่ออก

หมอคนที่ตรวจ Dr. Wertham บอกว่า เป็น”Sado-masochism directed against children, particularly boys, took the lead in his sexually regressive development.”

ทนายยืนยันว่าเขามีความผิดปกติทางจิตและควรได้รับการละเว้นโทษ และพยายามบอกว่าเขาเป็นพ่อที่ดี และบุคคลที่ชอบกินคน cannibalism ต้องมีจิตไม่ปกติอยู่แล้ว



 


ตลอดการไต่สวนคดีเขามีท่าทางเรียบเฉย หลังการไต่สวนสิบวัน ศาลก็ตัดสินว่าผิดจริง

หนังสือพิมพ์รายงานว่า A Daily News reporter wrote, “his watery eyes gleamed at the thought of being burned by a heat more intense than the flames with which he often seared his flesh to gratify his lust.”

ศาลตัดสินประหารชีวิตในท้ายที่สุด ซึ่งในขณะเดียวกันจิตแพทย์ผู้รับผิดชอบคดีของฟิชก็กล่าวว่า อาการของฟิชเลวร้ายจนไม่อาจรักษาได้ก็จริง หากการลงโทษก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเช่นกัน เนื่องจากฟิชกำลังใจจดใจจ่อรอเก้าอี้ไฟฟ้าของเขาอยู่อย่างตื่นเต้นทีเดียว




อับเบิร์ท ฟิช ถูกประหารด้วยเก้าอี้ไฟฟ้าเมื่อวันที่ 16 มกราคม 1936
เค้าไม่รู้สึกตกใจกับคำตัดสิน มันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ในทางกลับกัน เค้ากลับต้องการที่อยากจะขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ไฟฟ้า ให้เร็วที่สุด
เพราะอยากรู้ถึงการทำงานว่า กระแสไฟเวลาผ่านเข้าร่างกายจะเป็นยังไง
พอถึงวันประหาร ก็แน่นอนเค้า ไม่รู้สึกขัดขืนต่อเจ้าหน้าที่ หน้าตาเบิกบาน
ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ที่จะโดนประหาร !!!
กล่าวว่า ต้องประหารถึง 2 ครั้ง เพราะครั้งแรก ระหว่างที่ อับเบิร์ท ฟิช ขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้
พอเครื่องไฟฟ้าทำงาน ก็เกิดไฟฟ้ารัดวงจร เพราะว่า เข็มตะปูต่างๆ ที่ฝังคาอยู่ในร่างกาย อับเบิร์ท นั้นส่งผลทำให้เกิดไฟฟ้ารัดวงจร จนถึงครั้งที่ 2 ถึงทำการประหารสำเร็จ
และนี่แหละครับ ปิดตำนาน อับเบิร์ท ฟิช ชายชรา ที่เกิดมาพร้อมความโรคจิตสุดขั้ว.
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
ผีเจ้า's profile


โพสท์โดย: ผีเจ้า
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
64 VOTES (4/5 จาก 16 คน)
VOTED: นายเอือมระอา, llHackll, jujuuuu, aRnoNAe, กุ้งฝอย, ท่านฮั่ว แม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้ง, cutiebarbie, โดราเอม่อน, โยนี
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ช็อตฮาประชาชี : บ้านญาติบรรยากาศแบบนี้ ต้องหาคนมานอนเป็นเพื่อนหน่อยเน่อ ไม่งั้นหลอนแน่ๆทางกัมพูชา และ จีนจัดงานโชว์ศิลปะการต่อสู้ กังฟู + โบกาตอร์ ตอนแรกหลายคนนึกว่า จะเอามาสู้ๆกัน อ้อ ไม่ใช่ มาโชว์กระบวนท่าการแสดงเฉยๆ พอมีคนดูอยู่เหมือนกันเด้อ3 นักษัตรที่การเงินเด่น มีโชคด้านการลงทุน เสี่ยงดวงช่วงนี้ขำสุดซอย..ฮาก๊าก..คลายเครียด!เตือนแล้วไม่ฟัง ต้องบังให้มิดHuawei ทวงคืนบัลลังก์! ขึ้นแท่นอันดับ 1 ตลาดสมาร์ทโฟนจีนอีกครั้ง
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
"ป๋าเสรี" ร่วมงานศพ"ทวี ไกรคุปต์" ด้าน"ปารีณา" โผล่สวมกอด ลั่นขอโทษที่เคยทำไม่ดีกับท่านเสรี!ทางกัมพูชา และ จีนจัดงานโชว์ศิลปะการต่อสู้ กังฟู + โบกาตอร์ ตอนแรกหลายคนนึกว่า จะเอามาสู้ๆกัน อ้อ ไม่ใช่ มาโชว์กระบวนท่าการแสดงเฉยๆ พอมีคนดูอยู่เหมือนกันเด้ออดีตหัวหน้าพรรคคนดัง ย้ายซบ ปชป. ตอบแทนบุญคุณช่วยเป็น สส. สมัยแรกตอนเรียนกับตอนทำงานเต่างกันแค่ไหน?
กระทู้อื่นๆในบอร์ด นิยาย เรื่องเล่า
เหงาอยู่คนเดียวเผยนาทีระทึก "พายุฤดูร้อน" ถล่มเชียงราย..ทำเอากำแพงล้มระเนระนาด!แอบรักในรอยใจ ตอนที่ 4รีวิวของแจกเปิดเทอมโรงเรียนที่ญี่ปุ่น..ของแต่ละชิ้นนั้นคิดมาดีแล้ว
ตั้งกระทู้ใหม่