10 เหตุผล! ทำไมราคายางพาราจึงตกจาก 180 ถึง 40 บาท ?? อ่อๆ มันเป็นพันนี้นี่เอง !!!
โพสท์โดย ความภักดี
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ราคายางไทยเคยแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ด้วยราคา 174.44 บาทต่อกิโลกรัม แต่หลังจากนั้นกลับมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง จนกระทั่งเดือนสิงหาคม 2557 ราคายางดิ่งลงเหลือ 53.63 บาทต่อกิโลกรัมเท่านั้น ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำสุดในรอบ 5 ปี และเป็นราคาที่ตกต่ำกว่าต้นทุนการผลิตที่ระดับ 64.90 บาทต่อกิโลกรัม
ทำให้เกษตรกรชาวสวนยางฯ ใน 56 จังหวัด โดยเฉพาะพี่น้องภาคใต้ 14 จังหวัด และอีก 42 จังหวัด ซึ่งกระจายทั่วประเทศทั้งภาคกลาง-อีสาน-เหนือ จำนวนเกือบ 2 ล้านคน ต่างก็ได้รับความเดือดร้อนกันอย่างถ้วนหน้า
ทำไม ? ราคายางพาราจึงตกต่ำ!!! สะตอฟอร์ยู ได้รวบรวม 10 สาเหตุหลัก มาฝากเพื่อนๆครับ
1.) ไทยซึ่งเป็น 1 ใน 3 ประเทศที่ส่งออกยางมากที่สุดในโลก เคยผลิตยางได้ต่อปีประมาณ 1,500,000 ตันต่อปี กว่าร้อยละ 80-90 ส่งออก ส่วนใหญ่ปลูกในพื้นที่ภาคใต้ แต่เมื่อเศรษฐกิจโลกเติบโต ความต้องการใช้ยางเพิ่มขึ้น หลายคนหันมาลงทุนปลูกยางกันเกือบทั่วประเทศ จนถึงปี 2556 ไทยผลิตได้ต่อปีประมาณ 4,100,000 ตัน เพิ่มขึ้นเกือบๆ 4 เท่า โดยไม่มีการจัดโซนนิ่งและควบคุมปริมาณให้เหมาะสม
2.) ราคายางมีทิศทางเดียวกับราคาน้ำมัน เนื่องจากว่าในโรงงานอุตสาหกรรมจะใช้ยางสังเคราะห์จากยางพาราหรือจากพอลิเมอร์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันดิบ ถ้าเมื่อใดราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นซึ่งพอลิเมอร์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันเองก็จะมีราคาแพงด้วย โรงงานอุตสาหกรรมจึงหันมาซื้อยางพารามาใช้ในการผลิตแทน ทำให้ความต้องการยางพาราสูงขึ้น ราคายางพาราก็ปรับตัวสูงขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าเมื่อใดราคาน้ำมันปรับตัวลดลงซึ่งพอลิเมอร์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันเองก็จะมีราคาลดลงด้วย โรงงานอุตสาหกรรมจึงหันมาซื้อพอลิเมอร์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันมาใช้ในการผลิตแทน ทำให้ความต้องการยางพาราลดลง ราคายางพาราก็ปรับตัวลงเช่นกัน
3.) จีน ซึ่งถือเป็นผู้ใช้ยางพารามากที่สุดในโลก ข้อมูลปี 2556 จีนใช้ยางราวๆ 4,000,000 ตันต่อปี ส่วนใหญ่นำเข้า แต่ขณะนี้จีนกำลังลดการนำเข้ายางเพราะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เศรษฐกิจจีนยังไม่ฟื้น อุตสาหกรรมรถยนต์ลดกำลังการผลิต ขณะเดียวกันจีนก็เปลี่ยนบทบาทจากผู้ซื้อมาเป็นผู้ผลิตเองด้วย จีนเริ่มปลูกยางเองและเข้าไปลงทุนในเวียดนาม ลาว กัมพูชา ตอนนี้ครบอายุกรีดยางแล้ว ยางจะถูกส่งกลับไปจีน ขณะนี้จีนมียางอยู่ในสต็อคราวๆ 900,000 ตัน ขณะที่ไทยมีสต๊อคราวๆ 200,000 ตัน หลายปัจจัยจึงกดดันราคายางให้ตกต่ำอยู่ในขณะนี้
4.) เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ในช่วง 2-3 ปี เศรษฐกิจโลกขยายตัวในอัตราชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเศรษฐกิจประเทศกลุ่ม G3 ประกอบกับเศรษฐกิจจีนซึ่งเป็นผู้บริโภคยางอันดับ 1 ของโลก โดยเป็นฐานการผลิตล้อยางของบริษัทชั้นนำของโลก และเป็นตลาดส่งออกหลักของไทย ที่ผ่านมาเศรษฐกิจจีนเติบโตในระดับสูงมาตลอด แต่เริ่มชะลอตัวลงอย่างชัดเจนในช่วง 2-3 ปีนี้ ส่งผลให้ความต้องการใช้ยางของโลกอยู่ในระดับต่ำ โดยในช่วงปี 2554-2556 ความต้องการใช้ยางโลกขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 1.9 ในขณะที่ผลผลิตยางโลกขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 5.1
5.) สต็อกยางจีน ณ เมืองชิงเต่าและสต็อกยางไทยอยู่ในระดับสูง ชิงเต่าเป็นเมืองที่มีการนำเข้ายางมากที่สุดเพื่อผลิตล้อยาง ที่ผ่านมาพบว่าสต็อกยางชิงเต่าเร่งตัวสูงขึ้นโดยเฉพาะในช่วงปลายปี 2556 เนื่องจากการเร่งนำเข้าในช่วงงดเก็บเงินสงเคราะห์ (CESS) ซึ่งเป็นเงินที่สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) เรียกเก็บจากผู้ส่งออกยาง และการนำเข้ายางของเทรดเดอร์จีนที่สูงเกินความต้องการใช้จริง เพื่อทำกำไรการค้ายางจากวิธีการซื้อขายระหว่างประเทศและอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน โดยสต็อกยาง ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2557 อยู่ที่ระดับ 249,600 ตัน ขณะเดียวกันสต็อกยางไทยใน ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2557อยู่ที่ 374,527 ตัน ซึ่งสูงกว่าระดับปกติที่เคยอยู่ประมาณ 2 แสนตัน
6.) ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ที่ผลิตและส่งออกในรูปของสินค้าเกษตรโดยไม่มีการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า ดังนั้นเมื่ออุตสาหกรรมการแปรรูปสินค้าจากยางพาราในต่างประเทศลดการผลิต และสั่งซื้อยางน้อยลง ในขณะที่การผลิตเพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของประเทศไทย และประเทศอื่นก็ทำให้ราคายางพาราตกต่ำหนักขึ้นไปอีก และเชื่อว่าภาวะเช่นนี้จะยังคงเป็นไปอีกหลายปี
7.) ต้นทุนการผลิตยางมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยเฉพาะต้นทุนในด้านปุ๋ยเคมีและเคมีภัณฑ์ทางการเกษตร โดยต้นทุนเฉลี่ยในการผลิตยางในไทยอยู่ที่กิโลกรัมละ 52 บาท ซึ่งนับว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง โดยเฉพาะอินโดนีเซีย ซึ่งมีต้นทุนการผลิตยางโดยเฉลี่ยต่ำกว่าไทยกิโลกรัมละ 15-20 บาท ดังนั้น ราคาส่งออกยางของไทยจึงสูงกว่าอินโดนีเซีย โดยเฉพาะยางแท่ง ทำให้ประเทศคู่ค้าของไทยหันไปซื้อยางแท่งจากอินโดนีเซีย จะเห็นได้ว่าการส่งออกยางแท่งของไทยมีแนวโน้มลดลงตามลำดับ กล่าวคือ ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2551 มูลค่าการส่งออกยางแท่งลดลงเหลือ 731 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแล้วลดลงร้อยละ 43.3
8.) วิกฤติภาคการเงินสหรัฐฯที่ส่งให้เศรษฐกิจสหรัฐฯถดถอย สหรัฐฯเป็นตลาดส่งออกยางของไทยที่มีความสำคัญอันดับสี่ รองจากจีน มาเลเซีย และญี่ปุ่น โดยมีสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐฯร้อยละ 9.0 ของมูลค่าการส่งออกยางทั้งหมด ส่วนการส่งออกผลิตภัณฑ์ยาง โดยเฉพาะยางสำหรับยานพาหนะนั้น สหรัฐฯ เป็นตลาดที่มีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง โดยมีสัดส่วนการส่งออกถึงร้อยละ 28.2 ของมูลค่าการส่งออกยางยานพาหนะทั้งหมด วิกฤตสินเชื่อในสหรัฐฯ สร้างความเสียหายให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ในสหรัฐฯค่อนข้างสูง โดยในเดือนกันยายน 2551 ยอดขายรถยนต์ลดลงเป็นเดือนที่ 11 ติดต่อกัน และยอดขายรถยนต์แบรนด์ของภูมิภาคเอเชียในสหรัฐฯ ในเดือนกันยายน 2551 ลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา เพราะความเชื่อมั่นของผู้บริโภคถดถอยลง อีกทั้งยังเป็นการยากมากขึ้นที่ผู้ต้องการซื้อรถจะสามารถกู้เงินมาซื้อรถได้ เนื่องจากสถาบันการเงินเข้มงวดมาตรฐานการปล่อยกู้มากกว่าเดิม ในขณะเดียวกันผู้บริโภคก็ต้องการลดค่าใช้จ่ายลงด้วย
9.) ราคาชี้นำในตลาดล่วงหน้าของโลกลดลง ราคายางในตลาดล่วงหน้าโตเกียว (TOCOM) และตลาดล่วงหน้าสิงคโปร์ (SICOM) อยู่ในช่วงขาลง เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลกับปัญหาผลผลิตส่วนเกิน (Oversupply) และสต็อกยางที่อยู่ในระดับสูง ขณะที่ความต้องการใช้ยางอยู่ในช่วงชะลอตัว และยังไม่มีปัจจัยบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมากนัก ทำให้คาดการณ์ราคายางอนาคตปรับตัวลดลง
10.) นักเก็งกำไรสินค้าโภคภัณฑ์เทขายยาง ในช่วงที่ผ่านมา การที่ราคายางปรับตัวสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเนื่องจากการซื้อขายเก็งกำไรยางผ่านทางตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า แต่ในช่วงราคายางขาลง ตามภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา การเข้ามาเก็งกำไรมีแนวโน้มที่จะลดลง บรรดานักลงทุนหันไปสนใจตลาดหุ้น และโลหะมีค่า โดยเฉพาะทองคำแทน ทำให้ราคายางตกลงเร็วผิดปกติ
2.) ราคายางมีทิศทางเดียวกับราคาน้ำมัน เนื่องจากว่าในโรงงานอุตสาหกรรมจะใช้ยางสังเคราะห์จากยางพาราหรือจากพอลิเมอร์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันดิบ ถ้าเมื่อใดราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นซึ่งพอลิเมอร์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันเองก็จะมีราคาแพงด้วย โรงงานอุตสาหกรรมจึงหันมาซื้อยางพารามาใช้ในการผลิตแทน ทำให้ความต้องการยางพาราสูงขึ้น ราคายางพาราก็ปรับตัวสูงขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าเมื่อใดราคาน้ำมันปรับตัวลดลงซึ่งพอลิเมอร์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันเองก็จะมีราคาลดลงด้วย โรงงานอุตสาหกรรมจึงหันมาซื้อพอลิเมอร์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันมาใช้ในการผลิตแทน ทำให้ความต้องการยางพาราลดลง ราคายางพาราก็ปรับตัวลงเช่นกัน
3.) จีน ซึ่งถือเป็นผู้ใช้ยางพารามากที่สุดในโลก ข้อมูลปี 2556 จีนใช้ยางราวๆ 4,000,000 ตันต่อปี ส่วนใหญ่นำเข้า แต่ขณะนี้จีนกำลังลดการนำเข้ายางเพราะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เศรษฐกิจจีนยังไม่ฟื้น อุตสาหกรรมรถยนต์ลดกำลังการผลิต ขณะเดียวกันจีนก็เปลี่ยนบทบาทจากผู้ซื้อมาเป็นผู้ผลิตเองด้วย จีนเริ่มปลูกยางเองและเข้าไปลงทุนในเวียดนาม ลาว กัมพูชา ตอนนี้ครบอายุกรีดยางแล้ว ยางจะถูกส่งกลับไปจีน ขณะนี้จีนมียางอยู่ในสต็อคราวๆ 900,000 ตัน ขณะที่ไทยมีสต๊อคราวๆ 200,000 ตัน หลายปัจจัยจึงกดดันราคายางให้ตกต่ำอยู่ในขณะนี้
4.) เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ในช่วง 2-3 ปี เศรษฐกิจโลกขยายตัวในอัตราชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเศรษฐกิจประเทศกลุ่ม G3 ประกอบกับเศรษฐกิจจีนซึ่งเป็นผู้บริโภคยางอันดับ 1 ของโลก โดยเป็นฐานการผลิตล้อยางของบริษัทชั้นนำของโลก และเป็นตลาดส่งออกหลักของไทย ที่ผ่านมาเศรษฐกิจจีนเติบโตในระดับสูงมาตลอด แต่เริ่มชะลอตัวลงอย่างชัดเจนในช่วง 2-3 ปีนี้ ส่งผลให้ความต้องการใช้ยางของโลกอยู่ในระดับต่ำ โดยในช่วงปี 2554-2556 ความต้องการใช้ยางโลกขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 1.9 ในขณะที่ผลผลิตยางโลกขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 5.1
5.) สต็อกยางจีน ณ เมืองชิงเต่าและสต็อกยางไทยอยู่ในระดับสูง ชิงเต่าเป็นเมืองที่มีการนำเข้ายางมากที่สุดเพื่อผลิตล้อยาง ที่ผ่านมาพบว่าสต็อกยางชิงเต่าเร่งตัวสูงขึ้นโดยเฉพาะในช่วงปลายปี 2556 เนื่องจากการเร่งนำเข้าในช่วงงดเก็บเงินสงเคราะห์ (CESS) ซึ่งเป็นเงินที่สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) เรียกเก็บจากผู้ส่งออกยาง และการนำเข้ายางของเทรดเดอร์จีนที่สูงเกินความต้องการใช้จริง เพื่อทำกำไรการค้ายางจากวิธีการซื้อขายระหว่างประเทศและอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน โดยสต็อกยาง ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2557 อยู่ที่ระดับ 249,600 ตัน ขณะเดียวกันสต็อกยางไทยใน ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2557อยู่ที่ 374,527 ตัน ซึ่งสูงกว่าระดับปกติที่เคยอยู่ประมาณ 2 แสนตัน
6.) ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ที่ผลิตและส่งออกในรูปของสินค้าเกษตรโดยไม่มีการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า ดังนั้นเมื่ออุตสาหกรรมการแปรรูปสินค้าจากยางพาราในต่างประเทศลดการผลิต และสั่งซื้อยางน้อยลง ในขณะที่การผลิตเพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของประเทศไทย และประเทศอื่นก็ทำให้ราคายางพาราตกต่ำหนักขึ้นไปอีก และเชื่อว่าภาวะเช่นนี้จะยังคงเป็นไปอีกหลายปี
7.) ต้นทุนการผลิตยางมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยเฉพาะต้นทุนในด้านปุ๋ยเคมีและเคมีภัณฑ์ทางการเกษตร โดยต้นทุนเฉลี่ยในการผลิตยางในไทยอยู่ที่กิโลกรัมละ 52 บาท ซึ่งนับว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง โดยเฉพาะอินโดนีเซีย ซึ่งมีต้นทุนการผลิตยางโดยเฉลี่ยต่ำกว่าไทยกิโลกรัมละ 15-20 บาท ดังนั้น ราคาส่งออกยางของไทยจึงสูงกว่าอินโดนีเซีย โดยเฉพาะยางแท่ง ทำให้ประเทศคู่ค้าของไทยหันไปซื้อยางแท่งจากอินโดนีเซีย จะเห็นได้ว่าการส่งออกยางแท่งของไทยมีแนวโน้มลดลงตามลำดับ กล่าวคือ ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2551 มูลค่าการส่งออกยางแท่งลดลงเหลือ 731 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแล้วลดลงร้อยละ 43.3
8.) วิกฤติภาคการเงินสหรัฐฯที่ส่งให้เศรษฐกิจสหรัฐฯถดถอย สหรัฐฯเป็นตลาดส่งออกยางของไทยที่มีความสำคัญอันดับสี่ รองจากจีน มาเลเซีย และญี่ปุ่น โดยมีสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐฯร้อยละ 9.0 ของมูลค่าการส่งออกยางทั้งหมด ส่วนการส่งออกผลิตภัณฑ์ยาง โดยเฉพาะยางสำหรับยานพาหนะนั้น สหรัฐฯ เป็นตลาดที่มีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง โดยมีสัดส่วนการส่งออกถึงร้อยละ 28.2 ของมูลค่าการส่งออกยางยานพาหนะทั้งหมด วิกฤตสินเชื่อในสหรัฐฯ สร้างความเสียหายให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ในสหรัฐฯค่อนข้างสูง โดยในเดือนกันยายน 2551 ยอดขายรถยนต์ลดลงเป็นเดือนที่ 11 ติดต่อกัน และยอดขายรถยนต์แบรนด์ของภูมิภาคเอเชียในสหรัฐฯ ในเดือนกันยายน 2551 ลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา เพราะความเชื่อมั่นของผู้บริโภคถดถอยลง อีกทั้งยังเป็นการยากมากขึ้นที่ผู้ต้องการซื้อรถจะสามารถกู้เงินมาซื้อรถได้ เนื่องจากสถาบันการเงินเข้มงวดมาตรฐานการปล่อยกู้มากกว่าเดิม ในขณะเดียวกันผู้บริโภคก็ต้องการลดค่าใช้จ่ายลงด้วย
9.) ราคาชี้นำในตลาดล่วงหน้าของโลกลดลง ราคายางในตลาดล่วงหน้าโตเกียว (TOCOM) และตลาดล่วงหน้าสิงคโปร์ (SICOM) อยู่ในช่วงขาลง เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลกับปัญหาผลผลิตส่วนเกิน (Oversupply) และสต็อกยางที่อยู่ในระดับสูง ขณะที่ความต้องการใช้ยางอยู่ในช่วงชะลอตัว และยังไม่มีปัจจัยบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมากนัก ทำให้คาดการณ์ราคายางอนาคตปรับตัวลดลง
10.) นักเก็งกำไรสินค้าโภคภัณฑ์เทขายยาง ในช่วงที่ผ่านมา การที่ราคายางปรับตัวสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเนื่องจากการซื้อขายเก็งกำไรยางผ่านทางตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า แต่ในช่วงราคายางขาลง ตามภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา การเข้ามาเก็งกำไรมีแนวโน้มที่จะลดลง บรรดานักลงทุนหันไปสนใจตลาดหุ้น และโลหะมีค่า โดยเฉพาะทองคำแทน ทำให้ราคายางตกลงเร็วผิดปกติ
โพสท์โดย: ความภักดี
แหล่งที่มา: http://www.sator4u.com/paper/1911
แหล่งที่มา: http://www.sator4u.com/paper/1911
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
88 VOTES (4/5 จาก 22 คน)
VOTED: Dexter Suttipong, เจียงจื่อหยา, ผู้ดีคะ, ด๊วกกระซวกดาก, bgs, แย้มศรี, Tabebuia, ginger bread, เจ๊มด ณ โพสท์จัง, AdamS JaideE, ผมชื่อ ไอ้โง่, ความภักดี
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
รวมภาพเรียกรอยยิ้มประจำวันนี้ วันที่แดดออก แต่ฟ้าแอบๆครึ้มๆ ลมแรงมีไอเย็น เรียกได้ว่า 3 ฤดู ในวันเดียวเลยมั้งเนี่ยจั๊กกะบุ๋ม ปิดหนี้ แม่ปูนา 284,000 บาท สำเร็จตามสัญญาขุดวีรกรรมและข่าว (เคย) ฉาว "ฟิล์ม รัฐภูมิ" จาก "เสี่ยอู๊ด" ถึง "โหนกระแส"เซอร์ไพร์ !! กาฮี อดีตวง After School ร่วมแห่ขบวนขันหมากงานแต่งพี่ชายที่ไทย "เมืองสิงโตใต้บาดาล: การค้นพบเมืองโบราณอายุ 1,400 ปีที่หายสาบสูญใต้ทะเลสาบพันเกาะ ของประเทศจีน"ทะเลทรายในซาอุดีอาระเบีย หิมะตกครั้งแรกในประวัติศาสตร์ !"ดาวิกา โฮร์เน่" ซัดเดือด! ฟ้องเกรียนคีย์บอร์ด พร้อมเปลี่ยนเงินชดเชยช่วยเหลือสัตว์แก๊งบิ๊กไบค์ออกทริปเต็มถนน ติดธงประเทศเพื่อนบ้าน แช่ขวาขวางถนน.ไม่สนโลก'เจน' เด็กสาวที่ถูก'ฆ่ๅ' เพื่อ'กิน'!รู้จัก 'ซงแจริม' พระเอกเกาหลีผู้ทิ้งผลงานไว้ในใจแฟนๆ"ทรัมป์" แต่งตั้ง "มัสก์" คุมกระทรวงใหม่"ทรัมป์" แต่งตั้งพิธีกรทีวี คุมกลาโหมHot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
จั๊กกะบุ๋ม ปิดหนี้ แม่ปูนา 284,000 บาท สำเร็จตามสัญญา"โรงบ่มไวน์ใต้ผืนน้ำแห่งโครเอเชีย: มีไวน์อร่อยๆจำหน่าย และนักท่องเที่ยวยังสามารถดื่มด่ำกับการไปชมการบ่มไวน์ใต้ทะเลได้ด้วยนะ !!!เจาะสังคมเกาหลีสุดเครียด เปิดสถิติอัตราจบชีวิตสูงสุดในรอบ 9 ปี เกิดอะไรขึ้นกันแน่กระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
"ภาพถ่ายอวกาศจากนักบินอวกาศ Michael Collins: มุมมองที่ไม่เหมือนใครของโลกจากดวงจันทร์"ต้นหยดน้ำ: พืชอวบน้ำสายพันธุ์น่ารักจากแอฟริกาใต้ หลายคนชอบเลี้ยงมากๆเลยน๊า ^_^คุณยายอายุ 114 ปี เผยเคล็ดลับการมีอายุยืนพบโบราณวัตถุสุดล้ำค่า! มีดด้ามแก้วสีน้ำเงินอมม่วงและฝักงาช้างฝังอัญมณีแห่งจักรวรรดิออตโตมัน