เป็นสาวมุสลิมจงภูมิใจ
ในยุคญาฮิลียะฮ์(ยุคป่าเถื่อน)นั้นนับว่าเป็นยุคมืด ผู้คนเชื่อกันว่า สตรีเป็นที่มาของความชั่วร้าย เป็นที่มาของความสกปรกโสมม ใครก็ตามที่คลอดลูกเป็นผู้หญิง จะมีความรู้สึกว่าลูกหญิงจะมาสร้างความเสื่อมเสียให้กับครอบครัว ในสมัยนั้นผู้หญิงจึงเป็นเหมือนสินค้า ที่ถูกแลกเปลี่ยนด้วยเงินตรา ที่ใช้เปลี่ยนมือกันไป ดังนั้นจึงมีหลายครอบครัว เมื่อคลอดได้ลูกผู้หญิงจะนำลูกไปฝังดินทั้งเป็น ถ้าโตขึ้นมาจะถูกกีดกันสิทธิที่จะได้รับมรดก และเมื่อเธอมีประจำเดือน เธอจะถูกขับไล่ออกนอกบ้าน โดยไม่ให้เข้ามาร่วมรับประทานอาหารกับผู้คนในครอบครัว เมื่อเธอได้ถูกแต่งงานไปแล้ว จะถูกหย่าร้างซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไม่มีกำหนดจำนวน เมื่อสามีไม่พอใจ จะหย่าร้างทันที เมื่อมีความต้องการเมื่อใดจะมาคืนดีใหม่ ทำอย่างนี้เหมือนถูกกักขังไว้บำเรอความสุข
ผู้หญิงจะได้รับความทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องสิทธิใดๆ สภาพการรังเกียจลูกผู้หญิงได้แพร่ไปในหลายประเทศ เช่น ประเทศจีน อินเดีย กรีก และอื่นๆ มีบางประเทศบรรดาสตรีจำนวนไม่น้อยต้องถูกสังเวยชีวิตด้วยความเชื่อถือของคน โบราณ เช่น ถูกโยนลงในแม่น้ำ เพื่อเป็นเครื่องเซ่นบวงสรวงกับแม่น้ำคงคา หรือแม่น้ำไนล์
เมื่ออิสลามได้อุบัติขึ้น ท่านนะบีมุฮัมมัด ได้นำคำสอนจากพระผู้เป็นเจ้ามาเผยแผ่ ทำให้ผู้คนหลุดพ้นจากความมืดไปสู่แสงสว่าง หลุดพ้นจากความโง่เขลา หลุดพ้นจากความอยุติธรรมที่สังคมได้สร้างขึ้น อิสลามนำไปสู่ความยุติธรรม อิสลามห้ามการกดขี่ข่มเหงทุกชนิด โดยเฉพาะการข่มเหงกีดกันสิทธิเสรีภาพของสตรี และอิสลามห้ามฝังลูกทั้งเป็น
ท่านนะบี สอนว่า
“แท้จริงอัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงห้ามท่านทั้งหลาย ซึ่งการทรยศต่อบิดา มารดา ห้ามการตระหนี่และงกเอาทรัพย์ผู้อื่น ห้ามการฝังลูกหญิงทั้งเป็น
อัลลอฮฺไม่ชอบในการที่พวกเจ้ากล่าวว่า คนนั้นว่าอย่างนี้ คนนั้นว่าอย่างนี้ และการซักถามมากๆ (หมายถึงมีปัญหามาก) และเกลียดการผลาญทรัพย์”
- อิสลามได้ส่งเสริมให้ผู้เป็นพ่อ เมื่อคลอดลูกออกมา ให้เชือดแกะ แพะ เมื่อครอบครัวนั้นได้ลูกหญิง เพื่อแสดงออกซึ่งความดีใจ และเป็นการขอบคุณต่ออัลลอฮฺ ที่ให้ลูกผู้หญิง
- อิสลามได้กำหนดอัตราส่วนสำหรับสตรีทุกคน ในเรื่องสิทธิมรดก ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะแม่ พี่สาว น้องสาว บุตรสาว และผู้เป็นภรรยา สิ่งเหล่านี้ในยุคญาฮิลียะฮฺ สตรีจะไม่มีสิทธิในการได้รับส่วนแบ่งมรดกแต่อย่างใด
- อิสลามมีคำสอนให้ลูกทำดีต่อพ่อแม่ และนับว่า "แม่" เป็นคนแรกของลูกที่ต้องคอยเอาใจใส่ดูแล
•รายงานโดย อบูฮุร็อยเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า ท่านรอซูล (ซล.)กล่าวว่า
มีชายคนหนึ่งมาหาท่านร่อซูล แล้วถามว่า “โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ใครที่สมควรยิ่ง ที่ข้าพเจ้าจะเอาเป็นเพื่อนที่ดี”
ท่านรอซูลตอบว่า “แม่ของท่าน”
แล้วชายผู้นั้นก็ถามอีกว่า “มีใครอีกครับ?”
ท่านรอซูลตอบว่า “แม่ของท่าน”
ชายผู้นั้นก็ถามอีกว่า “มีใครอีกไหมครับ?”
ท่านรอซูลตอบว่า “แม่ของท่าน”
ชายผู้นั้นถามอีกว่า “มีใครอีกไหมครับ?”
ท่านรอซูลตอบว่า “พ่อของท่าน”
(บันทึกโดยบุคอรีย์และมุสลิม)
จากหะดีษนี้ชี้ให้เห็นว่า แม่นั้นเป็นบุคคลแรกในโลกที่ลูกจะต้องทำดีกว่าใครๆ ดังนั้นการที่ผู้ชายทำร้ายผู้หญิงนั้นขอให้เขาคิดว่าผู้ที่คลอดเขาออกมา ทำให้เจริญวัยเติบโต ลืมตากล้าแข็ง ก็คือแม่ที่เป็นเพศหญิงนั่นเอง
อิสลามสอนให้สามีทำดีต่อภรรยา ใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันด้วยความดี
อัลลอฮฺ ตรัสว่า
“ท่านทั้งหลาย จงอยู่ร่วมกับนางด้วยความดี”
หากสตรีที่อยู่ในฐานะเป็นลูก เธอก็มีสิทธิที่จะได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี เพราะลูกจะเป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อแม่เข้าสวรรค์ได้
ท่านรอซูล (ซล.)กล่าวว่า
“ผู้ใดที่มีลูกสาวสามคน หรือพี่สาวน้องสาวสามคน หรือมีลูกสาวสองคน หรือพี่สาวน้องสาวสองคน แล้วเขาทำดีต่อเธอ
และทำตามคำสั่งของอัลลอฮฺ ตามสิทธิของเธอทีได้รับ ทำได้อย่างนี้เขาจะได้เข้าสวรรค์”
(บันทึกโดยติรมีซีย์)
ส่วนในบันทึกของอบูดาวูด ใช้สำนวนว่า
“เขาได้อบรมลูกสาว ทำดีต่อลูกสาว และจัดการแต่งงานให้แก่ลูก เขาจะได้เข้าสวรรค์”
นอกจากนั้น อิสลามได้ให้เกียรติสตรี โดยที่ฝ่ายชายเมื่อจะแต่งงานกับเธอ ฝ่ายชายต้องเตรียมที่อยู่อาศัยให้เธอ และการแต่งงานจะต้องได้รับการยินยอมจากเธอ เธอมีสิทธิในมะฮัร(สินสอด) จะมากน้อยเป็นไปตามฐานะของแต่ละบุคคล มีการหมั้นหมาย มีการสู่ขอ มีสัญญา มีคำเสนอ คำสนองตอบด้วยวาจา ว่ายินดีรับเธอในฐานะภรรยา กระทำด้วยความจริงใจ มิใช่เป็นการชั่วคราว ต้องมีพยานรับรู้ อันนี้เป็นเงื่อนไขของการแต่งงานตามแบบศาสนาอิสลาม และสมควรจัดงานเฉลิมฉลองการแต่งงาน ซึ่งเรียกว่างาน “วะลีมะฮฺ”
ท่านนบี กล่าวว่า
“ท่านทั้งหลายจงจัดงานเฉลิมฉลองการแต่งงาน ถึงแม้ว่าจะใช้แกะสักหนึ่งตัวก็ตาม”
เมื่ออยู่กินกันในฐานะสามีภรรยา เกิดมีปัญหา ไม่เข้าใจกัน หรือหาความสุขในชีวิตคู่ไม่ได้ อิสลามมีทางออกโดยให้หย่าร้างกันด้วยความดี มีระยะการหย่าร้าง เช่น หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง แล้วจึงขาดจากกัน ส่วนในยุคญาฮิลียะฮ การหย่าร้างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีระยะเวลา ในกรณีที่ฝ่ายชายไม่ยอมหย่าร้าง โดยถืออำนาจกดขี่ข่มเหงเธอไว้ ฝ่ายสตรีมีสิทธิ์โดยชอบธรรมทางศาสนาที่จะซื้อหย่า ด้วยการคืนมะฮัรให้ฝ่ายชายไป นี่เป็นความยุติธรรมที่อิสลามกำหนดไว้เป็นสิทธิสตรี และยังเป็นการปรามฝ่ายชายมิให้เอาเปรียบสตรีได้
นอกจากนี้ในเรื่องของการเดินทาง อิสลามได้กำหนดให้มีมะห์รอมเป็นเพื่อนติดตามการเดินทาง ทั้งนี้เพื่อจะได้ปกป้องสตรีให้พ้นจากอันตราย ที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง หรือให้พ้นจากการติฉินท์นินทาสตรี จะเห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสตรีระหว่างการเดินทางคนเดียวมีมาก อิสลามจึงมีระเบียบเพื่อปกป้องเป็นการให้เกียรติสตรี และป้องกันปัญหาและความเสียใจภายหลัง เหตุการณ์สตรีถูกลวนลาม ถูกทำอนาจาร ข่มขืน ถูกฆ่าทิ้งเกิดขึ้นอย่างมากมาย ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่สตรีเดินทางไปไหนมาไหนตามลำพังนั่นเอง
ที่เสนอมาทั้งหมดนี้ จะเห็นว่าอิสลามได้ให้เกียรติสตรีมากที่สุดและเป็นสิ่งที่สตรีมุสลิมะฮฺควร ได้ภาคภูมิใจ ไม่หลงไปตามกระแส ที่ใส่ร้าย โจมตี จากศัตรูของอิสลาม ที่พยายามป้ายสีว่าอิสลามไม่ให้สิทธิสตรี ห้ามไม่ให้ไปไหนมาไหน หรือใส่ร้ายว่าสตรีถูกบังคับให้คลุมศีรษะเมื่อออกนอกบ้าน แต่ทางตรงกันข้ามอิสลามเท่านั้นที่ให้เกียรติสตรี สอนให้สตรีมีเกียรติ มีค่า
ความจริงแล้วไม่มีคำสอนใดที่จะให้เกียรติสตรี ปกป้องสิทธิสตรีเทียบเท่าอิสลาม ไม่มีเหตุผลอันใดทีจะเชื่อคำใส่ร้ายป้ายสีของศัตรูอิสลาม บุคคลเหล่านี้มีจิตใจมืดมิด ไม่มองใครอื่นดี นอกจากตัวเองหรือพวกตนเท่านั้น ดังอายะห์อัลกุรอานที่ว่า
فإنها لا تعمى الأبصار ولكن تعمى القلوب التى في الصدور
“แท้จริงสายตาของพวกเขามิได้บอด แต่ทว่าหัวใจที่มีอยู่ในทรวงอกของพวกเขาต่างหาก ที่บอดสนิท”
Cr:อาจารย์ มุคตาร ชนะมิตร