แดนสวรรค์ของเหล่านักโทษหลบหนี
กรุงเทพฯ - ไม่ว่าจะเป็นผู้ค้ายา นักฟอกเงิน หรือนักโทษที่กำลังหลบหนีที่โหยหาเสรีภาพ... ก็มาเถิด มายังประเทศไทย... ถึงแม้ว่าประเทศไทย จะไม่เคยโฆษณาตัวเองว่าเป็นสรวงสวรรค์ของเหล่าอาชญากรที่กำลังหลบหนี แต่เหล่านักโทษของโลกที่ร้องหาเสรีภาพ ต่างปรากฏตัวขึ้นที่ประเทศนี้อย่างไม่หยุดหย่อน นักท่องเที่ยวจำนวนหลายล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะปราศจากประวัติอาชญากรรมนั้น เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยทุกๆ ปี เนื่องจากถูกใจอาหารที่อร่อย ชีวิตกลางคืนที่มีสีสัน และทะเลที่สวยใส นักโทษหลบนีจำนวนมากก็เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยด้วยสาเหตุเดียวกัน พร้อมกับความประสงค์ในการกำจัดชนักที่ติดหลัง โทรเลขเดือนมีนาคม 2552 ของสถานทูตสหรัฐอเมริกา ที่ปล่อยจากวิกิลีกส์ระบุว่า “ประเทศไทยกลายเป็นประเทศระดับต้นๆ ที่มีจำนวนอาชญากรที่ต้องส่งกลับไปยังสหรัฐอเมริกามากที่สุด” โทรเลขดังกล่าวนี้ มีรายชื่อของอาชญากรหลบหนีจำนวนมากที่ถูกจับได้ในประเทศไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นนักโทษจากคดีการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก ผู้ค้ายาเสพติด การฟอกเงิน หรืออาชญากรรมไซเบอร์ โทรเลขดังกล่าว ระบุว่าอาชญากรที่ถูกส่งกลับสหรัฐฯ จากประเทศไทยในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา มีจำนวน 135 ราย และอีกจำนวนกว่า 20-30 คนที่ถูก “เนรเทศโดยตรง” อย่างไรก็ตาม หากดูการพาดหัวข่าวจากหนังสือพิมพ์ของไทยในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าอาชญากรของสหรัฐเป็นเพียงติ่งจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น จากจำนวนนักโทษทั้งหลายที่กำลังหลบหนีไปทั่วโลก ในช่วงสองปีที่ผ่านมา สื่อในเมืองไทย รายงานการจับกุมของชาวเยอรมันที่ต้องการตัวในข้อหาฉ้อโกงและหนีภาษี, ชายที่สงสัยว่าอาจเป็นหัวหน้าแก๊งมาเฟียเกาหลีใต้, ชาวเช็คที่ต้องการตัวในข้อหาปล้นธนาคารมูลค่าหลายล้านยูโร (และหลบหนีมายังประเทศไทยหลังจากหนีประกันในระหว่างการยื่นฎีกา), ชาวปากีสถานที่ปลอมพาสปอร์ต, ฆาตกรชาวฟิลิปปินส์ที่ต้องการตัวที่สุดในประเทศ แต่กลับมาทำงานในประเทศไทยเป็นคนขายเครื่องประดับ, ชาวฝรั่งเศสที่ค้ายา ผู้ซึ่งหวังว่าจะหลอกตำรวจได้โดยใช้พาสปอร์ตของพี่ชาย, หัวหน้าแก๊งอาชญากรที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น, นักโทษชาวอิสราเอล ซึ่งต้องการตัวในข้อหาฆาตกรรมสองคดีในเบลเยี่ยม และเดินทางโดยพาสปอร์ตมัลดีฟปลอม, ชาวออสเตรเลียที่ต้องสงสัยว่าฆาตกรรมครอบครัวสามคน, และอื่นๆ อีกมากเกินกว่าจะนับได้ จากลิสต์ที่กล่าวไปนี้ ยังรวมถึงวิคเตอร์ บูต ที่ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ค้าอาวุธระหว่างประเทศ ซึ่งถูกส่งตัวไปให้สหรัฐอเมริกาแล้วในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังจากการต่อสู้ทางคดีความอันยืดเยื้อในประเทศไทย อาชญากรจำนวนมาก มาพักอาศัยอยู่ที่เมืองพัทยา ซึ่งเป็นเมืองตากอากาศชายทะเล อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงเทพฯ และเลื่องลือเรื่องบาร์และผู้หญิง โทรเลขของสหรัฐอีกฉบับหนึ่งระบุว่า อาชญากรสหรัฐได้ “ลงหลักปักฐานที่พัทยาในช่วงปีที่ผ่านมา พร้อมๆ กับเหล่าคนที่น่าจะได้รับการรักษาอาการทางจิต แต่ไม่ได้รับ” จอห์น เบอร์เด็ต นักเขียนชาวอังกฤษที่เขียนนวนิยายอาชญากรรมเกี่ยวกับประเทศไทย และศึกษาสังคมนอกกฎหมายในไทย กล่าวว่า สังคมไทยอันปราศจากกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัด การบังคับใช้กฎหมายที่หละหลวม และค่าครองชีพที่ค่อนข้างถูก ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดเหล่าอาชญากรจากหลายประเทศ “มีทั้งสาเหตุทั่วไป และสิ่งที่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เหล่าอาชญากรที่กำลังหลบหนี รู้สึกห้ามใจไม่ได้ในการหลบหนีเข้ามาประเทศไทย” เบอร์เด็ตกล่าวในอีเมลล์ “เหตุผลเล็กๆน้อยก็เช่น ปืน ผู้หญิง การพนัน กัญชา และชายหาดที่สวยงาม โดยเฉพาะสำหรับพวกที่หลุดออกมาจากการจองจำ” แต่ชื่อเสียงที่ทำให้ประเทศไทยน่าดึงดูดเป็นพิเศษ “ไม่ว่าอยากจะได้หรือไม่ก็ตาม คือ ชื่อเสียงระดับนานาชาติเรื่องตำรวจที่ว่าง่ายและสามารถติดสินบนได้” ผู้นำของประเทศไทยได้ยอมรับกลายๆ ว่าก็มีปลาที่เน่าอยู่ในเข่งบ้างในหมู่ตำรวจ แต่บางคนก็บอกว่าปลาที่เน่าดังกล่าวกลับมีเป็นกะตั้ก พลตำรวจโทวิบูลย์ บางท่าไม้ หัวหน้าตำรวจฝ่ายคนอพยพเข้าเมือง กล่าวในการสัมภาษณ์ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ประจำอยู่ชายแดนที่ห่างไกล มักประสบปัญหาทางคอมพิวเตอร์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ เมื่อมีคนที่ถือเงินจำนวนมากโผล่มาที่ชายแดนไทยและต้องการจะเข้ามาชายแดนไทยอย่างผิดกฎหมาย “เจ้าหน้าที่ที่จุดตรวจชายแดนเล็กๆ จะปิดระบบคอมพิวเตอร์และยอมให้คนพวกนั้นเขามา” พลตำรวจโทวิบูลย์กล่าว โทรเลขของสหรัฐระบุว่า ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นจากการบังคับใช้กฎหมายที่อ่อน การที่ประเทศเต็มไปด้วยปัญหาทางการเมือง และสภาพทางภูมิศาสตร์ที่ไม่เอื้ออำนวยมากนัก โดยโทรเลขปี 2552 ดังกล่าว ระบุว่า “ชายแดนของประเทศไทยค่อนข้างยาว และสามารถแทรกซึมเข้ามาได้ง่าย ประเทศไทยจึงเปราะบางต่อการอาชญากรรมระหว่างประเทศแทบจะทุกชนิด” อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ไทยประสบปัญหาในการแก้ไขปัญหาอาชญากรเหล่านี้ เนื่องมาจากว่า การกำจัดสิ่งที่ดึงดูดต่อนักโทษที่ต้องการตัวมากที่สุดเหล่านี้ อาจส่งผลประทบต่อธุรกิจการท่องเที่ยวมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ที่มีลูกค้าเป็นนักท่องเที่ยวทั่วไป ทัศนคติของประเทศไทยแบบ “อะไรก็ได้” ยังปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ฮอลลีวูด “เดอะ แฮงโอเวอร์ II” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเอื้อเฟื้อในการเป็นเจ้าภาพที่ดี โดยไม่คำนึงถึงภูมิหลังและโฉมหน้าของชาวต่างประเทศไม่ว่าจะคนไหนๆ ในย่านไฟแดงของกรุงเทพฯ ต่างเต็มไปด้วยชาวต่างประเทศที่กรึ่มเบียร์เต็มท้อง ที่อาจจะไม่ได้ดูแตกต่างใบหน้าของเหล่าอาชญากรที่ต้องการตัวในโปสเตอร์ของสำนักงานตำรวจมากนัก แต่อย่างที่เจ้าหน้าที่ทางการไทยได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า ในการแยกเหล่าอาชญากร ออกจากนักลงทุนทางธนาครที่มาพักผ่อนในวันหยุด ไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าใดนัก (ในบางกรณี ทั้งสองรายอาจะเป็นคนเดียวกันก็ได้) สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของประเทศไทย กล่าวว่า ทางสำนักงานกำลังจะปรับปรุงระบบคอมพิวเตอร์ในสองเดือนข้างหน้า โดยจะอัพเกรดให้ข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าออกประเทศมารวมอยู่ในที่เดียวกัน เนื่องจากในขณะนี้ ข้อมูลของคนเข้าออกประเทศอื่นๆ ถูกเก็บแยกออกจากข้อมูลขาเข้าและออกที่สนามบินสุวรรณภูมิ อาชญากรเหล่านี้ “จะเข้าประเทศได้ยากขึ้น” พลตำรวจตรีมนู เมฆหมอก ผู้บังคับการสืบสวนและสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง “พูดง่ายๆ คือว่า คนเหล่านี้จะต้องเปลี่ยนจุดหมายปลายทางไปที่อื่น” อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า การเปลี่ยนระบบการตรวจคนเข้าเมือง ไม่น่าจะสามารถกำจัดเหล่าอาชญากรเหล่านี้ออกนอกประเทศได้ ดังจะเห็นจากจากการไปเยี่ยมเยือนเร็วๆนี้ ที่ศูนย์บัญชาการเพื่อสืบสวนอาชญากรระหว่างประเทศ ที่ตั้งอยู่ในอาคารของรัฐบาล พบว่าศูนย์ดังกล่าวกลายเป็นตึกที่มืดทึม เหม็นอับ และว่างเปล่าไปเสียแล้ว เจ้าหน้าที่กล่าวว่า เป็นเพราะขาดงบประมาณที่เพียงพอ และถึงแม้ในคดีที่เป็นที่รู้จักกันดี ผู้ต้องสงสัยที่อยู่ในเมืองไทย ก็กลับหายไปเฉยๆ เช่น ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ชายจากประเทศสหรัฐเอมิเรตส์ ถูกจับกุมในข้อหาลักลอบสัตว์หายากที่สนามบินดอนเมือง โดยชายดังกล่าวได้พยายามลักลอบลูกเสือดาวสี่ตัว ลูกหมี และลิงตัวเล็กๆ อีกสองตัว กรณีดังกล่าวขึ้นหน้าหนึ่งในเมืองไทย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความอุกอาจที่พยายามจะลักลอบสัตว์หายากจำนวนมาก ผ่านทางระบบความปลอดภัยของสนามบิน อย่างไรก็ตาม สองอาทิตย์ถัดมา ตำรวจกล่าวว่าผู้ต้องสงสัยคนดังกล่าวไม่ได้ไปขึ้นศาลตามกำหนด และหนีออกนอกประเทศไปเสียแล้ว และตำรวจมิได้ให้รายละเอียดใดๆ เพิ่มเติม