ประสบการณ์ที่อยากให้เป็นอุทาหร ชาว เกย์
เรื่องนี้ คือ เรื่องที่เกิดขึ้นจริงจากชีวิตผม ผมเป็นเด็กต่างจังหวัดที่มาเรียนกรุงเทพ และคงเหมือนกับหลายๆคน ที่หลงระเริงกับแสงสีเมืองกรุงที่งามวิไล ผมใช้ชีวิตที่ผิดๆมาโดยตลอด ขอเงินพ่อแม่มาใช้กับความสะดวกความสบาย และในที่สุดผมก็ตัดสินใจว่า เบื่อกับการเรียนหางานทำดีกว่า และผมก็ได้งานที่ดีทำ ตอนแรกเหมือนกับว่า ชีวิตผมจะไปได้ดี กับงานที่ดีเงินที่ดี ชีวิตที่ผ่านมา ผมผ่านการมีแฟนมาแล้วหลายต่อหลายคน ซึ่งในใจผมคิดทุกครั้งว่าผมอยากได้แฟนที่ดี ใช่ครับผ่านได้แฟนที่ดีหลายคน
แต่ผมเลือกที่จะไม่หยุดกับคนที่ดี ผมดิ้นรนหาแฟนใหม่ไปเรื่อยๆ จนวันนี้ผมมีงานที่ดี มีเงิน ผมมีพร้อม ผมได้รู้จักกับผู้ชายคนนึง เขาเป็นคนธรรมดา หาเช้ากินค่ำ ซึ่งไม่ตรงกับความต้องการผมสักนิด แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงชอบผู้ชายคนนี้มากตั้งแต่แค่เห็นรูปเพียวในเฟสบุ๊คเท่านั้นเอง และนี้คือจุดเปลี่ยนของชีวิตผม ผมคุยกับผู้ชายคนนี้มาสักพัก ซึ่งดูท่าเขาก็มีใจให้ผมไม่น้อย แต่ทุกอย่างมันเรืชิ่มต้นจากความผิด ผิดตรงที่ เขามีแฟนที่คบกันมาสี่ปีอยู่แล้ว และในที่สุดผมกับเขาก็ได้เสียกัน ซึ่งผมรู้สึกผิด ผิดที่กำลังทำเรื่องแย่ๆ มันเหมือนมีอะไรบังตา ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี เราตัดสินใจคบกัน ผมรักเขา เขารักผม และเขาก็รักแฟนเขา ผมมารู้จากปากเขาทีหลังว่า แฟนเขากำลังป่วย ป่วยเป็นมะเร็ง
มันยิ่งทำให้ผมรู้ว่าผม มันก็คนเลวดีดี นี่เอง แต่ผมก็ยังฝืนทำในเรื่องที่ผิด จนวันนึงความแตกแฟนเขารู้เรื่อง และมันทำให้ผมกับเขาทะเลาะกันมาโดยตลอด ผมตัดสินใจจะหนีไปจากเขาหลายครั้งแต่ผมทำไม่ได้สักที จนวันที่มีเรื่องราวใหญ่โต เราสามคนได้เจอเพื่อเคลียปัญหากัน วินาทีแรกที่ผมเห็นแฟนเขา ผมยิ่งรู้ว่าตัวเองเลวแค่ไหน เขาดูป่วยมากจริงๆ ผมพูดไปประโยคเดียว ว่า ผมจะไปเอง ผมขอโทษ แต่เขากับเลือกผม และให้แฟนเขากับไป หลังจากนั้นก็เหลือผมกับเขาสองคน เราตกลงว่าจะลืมเรื่องเก่าและเริ่มต้นใหม่ เรามีความสุขได้ไม่นานครับ แฟนเขาโทรมาถามแปลกๆ ว่ามีอะไรกับผมใส่ถุงยางไหม วินาทีที่ได้ยินคำถามนี้ ผมเริ่มหวั่นๆกับสิ่งที่จะได้ยิน และคำพูดของแฟนเขาต่อจากนั้น (((ผมเป็นเอดส์))) กลัวไหมที่ได้ยิน กลัวนะผมยอมรับ ผมตัดสินใจไปตรวจเลือดกัน
ซึ่งลึกๆผมภาวนาว่า ไม่ใช่ มันต้องไม่ใช่ หลังจากจากเลือดได้สองชั่วโมง เราก็ฟังผลเลือดกัน ผลเลือดเป็นบวกทั้งคู่ครับ เมื่อเขาได้ยิน เขาก็เอาแต่ร้องไห้ ส่วนผมทำอะไรไม่ถูก รู้สึกว่างเปล่า เราขับรถกลับบ้านกัน ประโยคนึงที่ผมได้ยินจากปากเขา ก็คือ ((เราจะอยู่กันแบบนี้แหละ อยู่จนกว่าไครจะตายไปข้างนึง)) มันทำให้ผมรู้ว่า การที่เขาเลือกผม และพูดประโยคนี้กับผม แสดงว่าเขารักผมมากกว่าแฟนเขา ผมทั้งคู่ก็เริ่มการรักษาตัวเอง จากที่เคยใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย กินเหล้าสูบบุหรี่ เราก็เลิก หาหมอรับยา ออกกำลังกาย ดูแลตัวเอง
เราจับมือกันทุกครั้งที่มีปัญหาเขามา และใช่ครับปัญหามันมีเข้ามาตลอด แต่เราไม่เคยท้อ และไม่เคยทิ้งกัน กำลังใจจากอีกฝ่ายมันสำคัญในเวลานี้ และทุกวันนี้เราสองคนใช้ชีวิตได้ตามปกติ เหมือนคนทั่วไป แต่เรารักตัวเองและครอบครัวมากขึ้น มันเหมือนกับว่า ตั้งแต่เราได้รับเชื้อมา เราได้เปลี่ยนชีวิตใหม่ ผมพยายามมองโลกในแง่ดี มองทุกอย่างว่าเดี่ยวมันก็ผ่านไป ไม่มีอะไรน่ากลัวกว่าสิ่งที่เราเป็น แต่มีเรื่องเดี่ยวในใจที่ผมทำจไม่ให้โกรธแค้นไม่ได้ คือ แฟนเขา คนที่มันเห็นแก่ตัว ใช่ครับผมยอมรับที่ผมเลวเข้ามาเป็นมือที่สาม แต่ไหนละ สิ่งที่คุณบอกว่าคุณรักเขา รักมาก แต่ปิดบังเรื่องที่ตัวเองเป็นเอดส์มาสองปี แต่โกหกว่าเป็นมะเร็งมาโดยตลอด
จากความรู้สึกที่เคยสงสาร เคยเห็นใจและรู้สึกผิด ผมลืมมันไปหมดเลย ไครจะมองว่าผมเลวยังไง ก็ได้ครับ แต่ไครไม่เป้นผมคงไม่รู้และไม่เข้าใจ ที่ผมมาเล่าให้ฟัง ผมอยากเตือนน้องๆและทุกคนที่กำลังใช้ชีวิตที่เสี่ยงๆอยู่ การเกิดเป็นรักร่วมเพศ มันก็เท่ากับว่าคุณเดินบนหนทางที่เสี่ยงอยู่แล้ว ดังนั้นจะทำอะไร จะมีอะไรกับไครไม่ใช่เรื่องผิด แค่ป้องกัน มันไม่อยากครับ เชื่อผมเถอะ ผมเจอมันมาแล้ว