ทะลายกำแพงอคติ: ฉายหนัง 'เดอะดาวน์ เป็นคนธรรมดามันง่ายไป' ในรร.ทุกสังกัดทั่วประเทศ
ผมยังจำได้วันที่ลูกลืมตามาดูโลก คุณหมอบอกว่า “ดีใจด้วยลูกคุณเป็นผู้ชาย แต่เสียใจด้วยลูกคุณเป็น ‘ดาวน์ชินโดรม’ ”
ตอนนั้นเหมือนฟ้าผ่ากลางใจ ไม่มีเรี่ยวแรง แล้วก็เดินงงอยู่ในรพ. เผลอแป๊บเดียวไปอยู่บนดาดฟ้าร้องไห้ให้ลูกครั้งแรก ผมสงสารลูกจับใจ เพราะเขาต้องอยู่ในตู้อบ แขนขาคอไม่มีแรง โดนเจาะเลือดหลายครั้ง ลูกร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ส่วนผมยิ่งเจ็บมากกว่า
น้องนายน์ลูกชายของผมตอนนี้อายุ 16 ปี เป็น ‘เด็กพิเศษ’ เป็นความสุขของสมาชิกทุกคนในบ้าน น้องนายย์ชอบร้องเพลง กล้าแสดงออก เป็นเด็กน่ารักและมีมารยาท พยายามช่วยเหลือพ่อแม่ทำงานบ้านเท่าที่จะทำได้ เช่น ตากผ้า พับผ้า จับคู่ถุงเท้า กวาดหน้าบ้าน เขาเขียนหนังสือไม่ได้มากนัก แต่ลายมือสวยมากและเขียนจากความตั้งใจ
ผมพูดได้ว่า นายน์คือความภูมิใจของผม
กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ครอบครัวเราต้องผ่านความทุกข์มาเยอะ มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่ต้องเฝ้าดูแลลูกตลอด 24 ชม. วันแล้ววันเล่ากว่าจะสอนให้เดิน กินข้าว แปรงฟัน เข้าห้องน้ำ เราต้องฝึกลูกให้ทำสิ่งต่างๆ เป็นร้อยๆ ครั้ง เพื่อให้เขาเป็นคนดีเท่าที่ศักยภาพเขามี ทุกวันนี้นายน์มีภูมิต้านทานและเข้มเเข็งพอที่จะอยู่ในสังคมร่วมกับคนปกติทั่วไปได้
อาการดาวน์ซินโดรมเกิดจากโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่งหรือไตรโซมี่ 21 ผมเคยถามหมอว่าลูกมีโอกาสหายไหม? คำตอบคือ “ไม่มี” แต่สิ่งที่เราทำได้คือกระตุ้นพัฒนาการอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งครอบครัวของเราก็ผ่านจุดนั้นมาได้ด้วยความพยายาม
แต่ปฏิกริยาจากคนในสังคมทำให้เราลำบากใจทุกครั้งในการพาลูกไปไหนมาไหน มี ‘สายตา’ ที่ไม่เข้าใจจากคนรอบข้างอยู่ตลอด พอถึงวัยที่น้องนายน์จะต้องเรียนหนังสือ 20 โรงเรียนปฏิเสธที่จะรับลูกผมเข้าโรงเรียน บางที่แค่เห็นหน้าก็ปฏิเสธทันที บ้างกลัวว่าเด็กคนอื่นจะไม่กล้ามาโรงเรียน หรือไม่มีบุคคลากรที่สามารถดูแลเด็กพิเศษได้ พอได้เข้าเรียนก็โดนเพื่อนแกล้ง เอาปากกามาจิ้มแขนบ้าง เอารองเท้าไปซ่อนบ้าง ทั้งยังเรียกเด็กกลุ่มนี้ว่าเป็นคน “ปัญญาอ่อน” คำนี้คำเดียวทำให้ผู้ปกครองไม่กล้าที่จะพาลูกออกจากบ้าน เด็กเลยขาดโอกาสที่จะเข้าสู่สังคม
ความจริงก็คือดาวน์ซินโดรมเป็นภาวะทางพันธุกรรมไม่ได้เป็นโรคติดต่อ และคนกลุ่มนี้ก็สามารถอยู่ร่วมกับเราในสังคมได้ครับ
ผมอยากเห็นทัศนคตินี้ได้เริ่มบ่มเพาะในโรงเรียน ผ่านการฉายหนังสารคดีเรื่อง ‘เดอะดาวน์ เป็นคนธรรมดามันง่ายไป’ ของคุณโหน่ง A Day วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ ตัวหนังติดตามเด็กพิเศษที่ไม่ธรรมดาทั้ง 5 คน เราจะได้เข้าใจชีวิตของเด็กพิเศษ แล้วจะรู้ว่าชีวิตของคนปกติมันธรรมดาเกินไป ผมไปดูหนังมาแล้วขอเชียร์สุดใจ หนังดี สุข สนุก ซึ้ง ตลอดทั้งเรื่อง ถ่ายทอดออกมาแทนความคิดของพ่อแม่ ตลอดเวลาผมนั่งดูด้วยความเพลิดเพลิน ยิ้มให้กับบางฉาก หัวเราะลั่นตบมือ มีน้ำตาซึม มันเหมือนชีวิตจริงของพวกเรา
---
ผมอยากขอร้องให้กระทรวงศึกษาฯ สั่งการไปยังโรงเรียนทั่วประเทศ ให้ผู้บริหาร ครู และนักเรียน ในโรงเรียนดูหนังเรื่องนี้ รวมทั้งจัดช่วงเวลาสั้นๆ พูดคุยถึงประเด็นนี้ในชั้นเรียน ใช้เวลาแค่ชั่วโมงครี่งสองชั่วโมง ผมเชื่อว่าจะสามารถเปลี่ยนมุมความคิด ได้ข้อคิดมากมาย ทำให้เด็กปกติ และเด็กพิเศษสามารถเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ การสร้างความเข้าใจในคนที่แตกต่างจากเรา ยิ่งเริ่มในวัยเด็กยิ่งง่ายครับ
การพูดคุยและทำความเข้าใจนี้จะช่วยทะลายกำแพงที่ขวางกั้น ‘คนธรรมดา’ ออกจาก ‘คนพิเศษ’ แล้วก็จะทำให้สังคมของเราน่าอยู่ขึ้นยิ่งๆ ขึ้นไปอีกครับ
---
บางครั้งผมแอบอิจฉาลูกชายเพราะชีวิตเขาดูมีแต่ความสุข ไม่มีอดีต ไม่กังวลอนาคต อยู่กับปัจจุบัน เขาเป็นของขวัญจากท้องฟ้าที่ส่งให้ครอบครัวผม และผมอยากให้คนในสังคมเข้าใจ ไม่รังเกียจเขาครับ
---
ขอบคุณครับ
สุชาติ โอวาทวรรณสกุล
พ่อน้องนายน์ และนายกสมาคมเพื่อคนพิการทางสติปัญญาแห่งประเทศไทย