เปิดเผยตำนานอันน่าสะพรึงกลัว ซีอุย มนุษย์กินคน
เปิดประวัติซีอุย
เรื่องราวที่จะขอนำมาบอกเล่าให้ฟังในวันนี้..ขอย้อนไปเมื่อหลายสิบปีก่อน กับเหตุการณ์ฆาตกรรมอันน่าสยดสยอง ที่เป็นข่าวครึกโครมในสังคมไทยเกี่ยวกับมนุษย์ผู้สร้างความตกตะลึงให้กับสังคมมนุษย์ด้วยกัน คือการนำเอาอวัยวะบางส่วนของมนุษย์ที่เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน มาปรุงเป็นอาหาร ด้วยความเชื่อที่ผิด ด้วยจิตใจที่เหี้ยมโหดและทารุณ เขาคนนั้นก็คือ “ซีอุย มนุษย์กินคน”
นาย ซีอุย แซ่อึ้ง มีชื่อจริงว่า หลีอุย แซ่อึ้ง แต่คนไทยเรามักจะเรียกให้เพี้ยนออกไปเป็น “ซีอุย” นายซีอุย แซ่อึ้ง เกิดที่เมืองซัวเถา ประเทศจีน เมื่อปี พ.ศ. 2470 ในครอบครัวที่มีอาชีพทำเกษตร และมีฐานะยากจน เป็นบุตรของนายฮุนฮ้อ กับ นางไป๋ติ้ง แซ่อึ้ง โดยเป็นลูกคนที่ 3 จากพี่น้องทั้งหมด 12 คน เป็นเด็กวัยรุ่นร่างเล็กที่มีส่วนสูงเพียง 150 เซนติเมตรเท่านั้น จึงมักถูกเพื่อนๆรังแกอยู่เสมอ จนกระทั่งได้รับคำแนะนำจากนักบวชรูปหนึ่งว่า ถ้าอยากจะมีร่างกายแข็งแรงต้องกินเนื้อหรืออวัยวะมนุษย์ และคำสอนนี้ได้ถูกปลูกฝังหลอมรวมอยู่ในจิตใจของ ซีอุยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เมื่อนายหลีอุย หรือซีอุยมีอายุครบ 18 ปีเต็ม ในปี พ.ศ. 2488 ก็ได้ถูกเกณฑ์ไปรับใช้ชาติด้วยการเป็นทหาร เพื่อไปรบในสงครามโลกครั้งที่สอง พลทหารหลีอุยได้ประจำอยู่หน่วยรบทหารราบที่ 8 ในขณะที่จีนและญี่ปุ่นได้ทำสงครามระหว่างกันในสมัยนั้น พลทหารหลีอุยได้ถูกส่งตัวไปรบในสมรภูมิพม่า แนวสนามรบตามรอยต่อตะเข็บชายแดนของจีน เป็นเวลาถึงหนึ่งปีเต็มที่พลทหารซีอุยต้องเสี่ยงตายอยู่ในสมรภูมิแห่งความแร้นแค้น ต้องเผชิญกับความลำบากนานัปการ โดยเฉพาะเสบียงอาหารที่ขาดแคลนและร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ ในขณะที่เพื่อนทหารด้วยกันก็ทยอยล้มตายลงไป จากผลแห่งสงคราม และในสมรภูมิแห่งความโหดร้ายนี่เอง ที่ทำให้พลทหารหลีอุย หรือนายซีอุยได้ลิ้มลองรสชาติของเนื้อมนุษย์ที่เป็นพลทหารด้วยกัน เพื่อความอยู่รอด และด้วยความจำเป็น
จนกระทั่งเมื่อสงครามสงบลง นายซีอุยก็ได้ถูกปลดจากการเป็นทหาร และด้วยความยากจน ด้วยคำชักชวนของเพื่อน ๆ ซีอุยได้หลบหนีเข้ามามาหางานทำในเมืองไทย เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2489 โดยหลบหนีเข้าเมือง ด้วยการเป็นกรรมกรรับจ้างในเรือขนส่งสินค้าชื่อ "โคคิด" โดยใช้เวลาในการหลบซ่อนตัวประมาณ 3 สัปดาห์ และได้ขึ้นฝั่งที่ท่าเรือคลองเตย และก็ได้หลบซ่อนตัวอยู่ในห้องแถวเล็กๆแห่งหนึ่ง ต่อมาซีอุ่ยก็ได้เดินทางไปหาญาติ ที่อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และได้ทำงานด้วยการรับจ้างทำสวนผักและรับจ้างทั่วไปเป็นเวลานานถึง 8 ปีเต็ม ด้วยบุคลิกท่าทางที่แปลกๆไม่เหมือนใคร มีนิสัยชอบเกาหัวและหาวอยู่เสมอ ๆ และมักจะเก็บตัวอยู่คนเดียวไม่สุงสิงกับใคร หากดูผิวเผินก็เป็นเพียงแค่คนคนธรรมดาที่ไม่มีพิษมีภัยอะไร แต่เหตุการณ์ที่หลายคนคาดไม่ถึงก็ได้บังเกิดขึ้น เมื่อนายซีอุยได้ก่ออาชญากรรมสะเทือนขวัญและน่าสยดสยองขึ้น เมื่อเขาได้จับเด็กมาผ่าเอาตับและหัวใจแล้วนำไปปรุงเป็นอาหาร โดยเชื่อว่าเป็นยาอายุวัฒนะตามคำสอนของนักบวชที่เขายังจำฝังใจในสมัยที่ยังเป็นเด็ก โดยได้ทำการฆาตกรรมเด็ก 3 รายแรก ที่ อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ก่อนที่จะขึ้นรถไฟหลบหนีไป และก่อเหตุอีกครั้งที่จังหวัดนครปฐม เมื่อปี พ.ศ. 2500 ที่งานฉลองตรุษจีน ณ บริเวณองค์พระปฐมเจดีย์ และสุดท้ายบาปกรรมที่เขาได้ก่อไว้ก็ได้ตามสนอง นายซีอุย แซ่อึ้ง ได้ถูกจับกุมตัวได้เมื่อปี พ.ศ. 2501 หลังจากได้ก่อคดีฆาตกรรมในจังหวัดระยอง และกำลังเตรียมที่จะทำลายหลักฐาน ซึ่งเป็นศพของเด็กชายวัย 10 ขวบที่เขาได้ลงมือฆาตกรรมอย่างเหี้ยมโหด
หลังจากที่ได้ถูกจับกุมตัว นายซีอุยก็ได้รับสารภาพว่า "เขาเคยฆ่าเด็กหญิง 6 คน เพื่อนำตับและหัวใจมากิน" และในบรรดาเหยื่อของซีอุย มีเพียงเหยื่อรายแรกและเป็นรายเดียวเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้ ซึ่งเป็นเด็กผู้หญิงวัย 8 ขวบเท่านั้นเอง
จากการตรวจสอบของคณะแพทย์ได้ระบุว่า ไม่พบความผิดปกติ ทั้งร่างกายและจิตใจ ของนายซีอุยแต่อย่างใด แต่กลับพบว่า นาย ซีอุยมีความเชื่อผิดๆ โดยคิดว่าการกินอวัยวะของเด็ก โดยเฉพาะตับและหัวใจ จะทำให้ร่างกายแข็งแรงและเป็นยาอายุวัฒนะ
หลังถูกจับกุมและถูกคุมขังได้ระยะหนึ่ง สุดท้ายนายซีอุย ก็ได้ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า เพราะในระหว่างที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการสอบสวนคดีอย่างจริงจัง โดยใช้เวลาทั้งหมด 9 วันเต็ม ซีอุยได้ยอมรับและสารภาพออกมาว่า เขาเป็นคนลงมือก่อเหตุด้วยตนเองทั้งหมด 7 คดี ในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2502
ภายหลังมีการสืบค้นคดีโดยรายการโทรทัศน์ ที่นำเสนอหลายช่องหลายรายการ ต่างมีหลักฐานพยานและรูปคดีที่บ่งชี้ได้ว่า ซีอุย ไม่ได้เป็นคนฆ่าเด็กทุกคน มีเพียงเด็กคนสุดท้ายเท่านั้นที่เป็นหลักฐานมัดตัว ขณะตำรวจได้เข้าจับกุมหลังจากซีอุยลงมือฆ่า และอวัยวะในร่างกายของเหยื่อทุกรายก็ไม่ได้สูญหายไป ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่สงสัยว่า เพราะเหตุใด ซีอุย จึงรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือฆ่าเหยื่อทุกราย และนำอวัยวะมากิน และก็ยังเป็นประเด็นของรูปคดีที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้แน่ชัดจนกระทั่งปัจจุบัน บ้างก็สันนิษฐานว่าด้วยความที่ไม่จัดเจนในภาษาทำให้ซีอุยต้องยอมรับสารภาพ และถูกประหารชีวิตในที่สุด ซึ่งจากปากของชาวบ้านร่วมสมัยที่ยังอาศัยในพื้นที่บางคนที่ยังมีชีวิตอยู่เชื่อว่าซีอุยไม่ได้เป็นฆาตกรที่ฆ่าเด็กทุกคน หรือบางทีอาจมีฆาตกรแอบแฝงที่ยังลอยนวลอยู่ในสมัยนั้นก็เป็นได้
ปัจจุบันศพของซีอุยถูกเก็บรักษาไว้ที่โรงพยาบาลศิริราช โดยยังคงถูกเรียกชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า "พิพิธภัณฑ์ซีอุย" และเรื่องราวของซีอุย ก็ได้ถูกเล่าขานต่อ ๆ กันมาในสังคมไทย และได้สร้างเป็นละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ออกฉายทั่วประเทศหลายต่อหลายครั้งจนกระทั่งปัจจุบัน
ด้วยเจตนาของผู้จัดทำ เพียงเพื่อนำเสนอเรื่องราวที่แปลกพิสดารที่เกิดขึ้นจริงในสังคมเรา มิได้มีเจตนาลบหลู่หรือกล่าวหาผู้ตายแต่อย่างใด และด้วยข้อมูลที่อ้างอิงมาหลายที่ หากขาดตกบกพร่องประการใด ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย และสุดท้าย ขอให้ดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิต ที่กล่าวถึงในคลิปวีดีโอและในบทความนี้จงไปสู่สุคติภพด้วยเทอญ
แหล่งที่มา:https://www.youtube.com/c/SivakornPookanha