"ยโศโฆษาฆาต" ฆ่าเพื่อเกียรติยศของครอบครัว เรื่องราวที่ยังคงดำเนินมาจนถึงทุกวันนี้
ไม่ใช่แต่ผู้หญิงเอเชียที่ถูกสอนกันมาว่าพรหมจารีสำคุญเท่าชีวิต ในอีกหลายประเทศในแถบอาหรับ เช่น อียิปต์ จอร์แดน อิสราเอล ซาอุดิส อัฟริกาเหนือ คำว่าพรหมจารีมีความหมายยิ่งกว่าชีวิต ถ้าผู้หญิงคนไหนไม่รักษาไว้ให้ดีก่อนแต่งงาน นอกจากตัวเธอที่จะอัปยศแล้ว ความด่างพร้อยต่ำต้อยน้อยหน้านั้นยังจะลามไปถึงพ่อแม่พี่น้องและคนในครอบ ครัวอีกด้วย เมื่อครอบครัวต้องอับอาย ตัวต้นเหตุก็ต้องตายเพื่อรักษาเกียรติยศของครอบครัว นั่นคือที่มาของยโศโฆษาฆาต (Killing for Hornor) ฆ่า...เพื่อรักษาเกียรติยศ!
อันที่จริงประเพณียโศโฆษาฆาตถูกชาวมุสลิมจากประเทศอื่นต่อต้านมาตลอด จึงต้องขอย้ำว่ามีเพียงมุสลิมหัวรุนแรงในบางประเทศเท่านั้นที่ยังยึดถือกัน คอนเซ็ปต์ของยโศโฆษาฆาตคือฆ่าสตรีที่ประพฤติผิดในกามและสตรีที่ไม่รักษา พรหมจารีอันมีค่าไว้ให้ดี หรือมีแนวโน้มว่ากำลังจะกระทำผิด ทีนี้คำว่ามีแนวโน้มนี่ล่ะที่เป็นปัญหา เพราะมันเป็นคำกว้างๆ ครอบคลุมไปได้ทุกเรื่อง หัวหน้าครอบครัวที่ไม่แยกแยะอะไรเลย จัดการเหมารวบ ไม่ว่าลูกสาวจะทำอะไรเกี่ยวข้องกับผู้ชายก็ถือว่ามีแนวโน้มจะสร้างความ เสื่อมเสียไปหมด จึงมีข่าวให้ได้ยินกันบ่อยๆ ว่าพ่อมุสลิมบางคนฆ่าลูกสาว เพียงเพราะเธอยิ้มหรือคุยกับผู้ชายที่ครอบครัวไม่อนุญาต ไม่นับที่พวกที่ลงโทษลูก ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ความผิดของพวกเธอเลย เช่น ข่าวดังกระฉ่อนโลกที่ว่าคุณพ่อชาวอิสราเอลจับลูกสาวกดน้ำตาย โทษฐานที่เธอไม่สามารถรักษาพรหมจารีไว้ได้จากทหารลิเบียสามคนที่ร่วมกันข่ม ขืนเธอ
อีกช่องทางหนึ่งที่ประเพณียโศโฆษาฆาตจะเข้ามามีบทบาทมากที่สุด ก็คือในวันแต่งงาน พิธีแต่งงานของชาวมุสลิมเคร่งศาสนาแบบนี้ถือว่าเป็นงานช้าง เพราะรักษาพรหมจารีกันมาอย่างยากลำบาก เวลาจะเสียให้ชายหนุ่มจึงต้องจัดงานใหญ่โต เชิญคนมาทั้งหมู่บ้านเพื่อมาเป็นพยานรับรู้ว่าลูกสาวฉันแต่งงานอย่างมีหน้า มีตา ไม่ได้ไปลักลอบกับชายหนุ่มที่ไหน หลังจากส่งบ่าวสาวเข้าหอแล้ว ชาวบ้านก็จะปักหลักกินเลี้ยงกันต่อไปเงียบๆ ไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องอย่างที่ควร จวบจนเจ้าบ่าวเปิดประตูห้องหอ โยนผ้าปูที่นอนที่เปื้อนเลือดพรหมจารีของเจ้าสาวออกมา เสียงเฮก็จะดังขึ้น ทุกคนจะกินเลี้ยงกันต่ออย่างสบายใจ
แต่ถ้าประตูห้องหอถูกเปิดออก พร้อมกับเจ้าบ่าวเดินหน้าเครียดออกมาโดยมีผ้าปูที่นอนสีขาวสะอาดไร้คราบ เลือดติดมือออกมาด้วย งานเลี้ยงก็จะเละตุ้มเป๊ะ เจ้าบ่าวสามารถถือว่าการแต่งงานเป็นโมฆะ แล้วทิ้งเจ้าสาวไปได้ทันที เช่นเดียวกับแขกเหรื่อทั้งหมู่บ้าน ครอบครัวของเจ้าสาวจะอับอายชนิดที่ปี๊บกี่ใบก็คลุมหัวปิดเสียงนินทาไม่มิด และไม่เกินหนึ่งอาทิตย์เจ้าสาวคนนั้นก็มักจะถูกพ่อ พี่ชาย อา น้า ลุง ช่วยกันฆ่าตายเงียบๆ และการที่เธอหายไปจากหมู่บ้าน ก็จะไม่มีชาวบ้านคนไหนซักถาม หรือตามเรียกร้องความเป็นธรรมให้ ความน่ากลัวของประเพณีนี้ทำให้เจ้าบ่าวบางคนยอมกรีดเลือดตัวเองหยดลงไปบนผ้า ปูที่นอน เพื่อช่วยชีวิตของเจ้าสาวไว้
เรื่องผ้าปูที่นอนเปื้อนเลือดนี้ ยังมีอีกหลายประเทศที่มีธรรมเนียมคล้ายกัน เช่นในบางหมู่บ้านของจีน หลังผ่านคืนวิวาห์แล้ว ตอนเช้าเจ้าบ่าวก็ต้องเอาผ้าปูที่นอนขาวเปื้อนเลือดพรหมจรรย์ของเจ้าสาวไป โชว์ให้พ่อแม่ของตนดูเหมือนกัน เพียงแต่ถ้าหากเจ้าสาวเสียพรหมจรรย์ไปก่อนแล้ว ก็จะปิดบังเป็นความลับกันอยู่ในบ้าน แต่ลูกสะใภ้คนนั้นก็จะเหมือนตกนรกทั้งเป็นเพราะถูกทั้งสามี พ่อผัว แม่ผัว รุมเหม็นขี้หน้า
ในขณะที่ผู้หญิงมุสลิมต้องรักษาตัวกันสุดชีวิต ยังมีผู้หญิงอีกชาติหนึ่งที่ถือว่าพรหมจารีเป็นของน่ารังเกียจ ที่ต้องทำลายทิ้งไปให้เร็วที่สุด ด้วยการไปประกอบอาชีพเก่าแก่ที่สุดในโลก หรือก็คือไปเป็นโสเภณีนั่นเอง คำว่าโสเภณีถูกบัญญัติไว้ว่า หมายถึงผู้หญิงที่ประพฤติตนสำส่อนในทางประเวณีเป็นประจำ ด้วยการรับจ้างกระทำชำเรากับชายหลายคนเพื่อผลประโยชน์ตอบแทน ที่ต้องระบุกันยืดยาวอย่างนี้ก็เพราะเคยมีคดีในประเทศเยอรมนีมาแล้ว เรื่องมีอยู่ว่าเศรษฐีคนหนึ่งเกิดต้องเข้าโรงพยาบาล เลยไม่มีเวลาไปทำการบ้านกับเมียเก็บที่ซุกเอาไว้ ยายเมียน้อยก็เลยริอ่านคบชู้แก้ว่างเสียเลย ทุกครั้งที่มีอะไรกัน ชายชู้ก็จะวางเงินเล็กๆ น้อยๆ ไว้ให้ แต่ไม่นานเธอก็ถูกตำรวจรวบในข้อหาค้าประเวณี เมียน้อยก็เถียงว่า เธอไม่ได้ขายตัวกับผู้ชายหลายคน จะมาเรียกกันว่าโสเภณีไม่ได้ จนกลายเป็นเรื่องที่ต้องตีความกันใหญ่โต ความโด่งดังของคดีนี้ทำให้มีการบัญญัติความหมายของโสเภณีไว้อย่างชัดเจนว่า จะต้องเป็นผู้หญิงที่ได้รายได้จากการขายประเวณี "เป็นประจำ" และจาก "ผู้ชายหลายคน" ถ้าแค่มีผู้ชายคนเดียวยังไม่จัดว่าเป็นโสเภณี ความหมายนี้ถูกใช้กันแพร่หลายไปทุกประเทศและกลายเป็นบรรทัดฐานของโสเภณีไปใน ที่สุด
ในสมัยโบราณหลายประเทศในยุโรปอย่างกรีก โรมัน และชาวสลาฟ ถือว่าการเสพกามเป็นความสุขของชีวิต การมั่วไม่เลือกว่าลูกเขาเมียใครเป็นค่านิยมที่ทำกันบ่อยๆ พอกับกินข้าว ผู้หญิงที่ชายอยากได้มาเป็นเมียต้องเป็นหญิงที่เชี่ยวชาญงานบนเตียง พรหมจารีจึงกลายเป็นความอัปยศอย่างแรง สาวคนไหนไม่เคยผ่านมือชายมาก่อนจะถูกมองว่าไร้เสน่ห์ ไม่ใช่แม่ศรีเรือนที่จะให้ความสุขกับสามีได้ ใครได้ไปก็รังเกียจ บางคนถึงกับไล่เมียออกจากบ้าน โทษฐานที่ยังเวอร์จิ้นก็มี
เมื่อเป็นอย่างนี้พวกผู้หญิงจึงต้องหาทางทำลายพรหมจรรย์ของตัวเองทิ้ง และวิธีไหนล่ะจะดีเท่ากับการเอาเทพเจ้ามาอ้าง ผู้หญิงในสมัยนั้นก็เลยมีค่านิยมว่าจะต้องขายตัวเพื่อหาเงินบูชาเทพเจ้า พอรุ่นสาว ศิษยานุศิษย์หญิงทั้งหลายก็จะไปนั่งๆ นอนๆ เรียงกันเป็นตับอยู่ที่หน้าวิหารประจำเมือง ผู้ชายคนไหนอยากจะนอนกับใครก็จะส่งเงินให้ จากนั้นสาวเจ้าก็จะลุกเดินตามเขาไปต้อยๆ เพื่อให้ชายหนุ่มทำลายพรหมจารี เงินที่ได้มานั้นจะถูกเอาไปรวมกับกองกลางเพื่อบำรุงวิหารต่อไป หลังจากนอนกับผู้ชายคนแรกแล้ว ผู้หญิงคนนั้นก็เป็นอันหมดหน้าที่ สามารถกลับบ้านของตัวเองได้
ธรรมเนียมนี้มีกฎว่าศิษย์สาวจะปฏิเสธชายคนแรกที่มาซื้อตัวไม่ได้ ไม่ว่าเขาจะเป็นใครหน้าตาอัปลักษณ์แค่ไหน หรือจะให้เงินมากน้อยเท่าไร เพราะสิ่งที่ทำอยู่เป็นการทำบุญเพื่อถวายเทพเจ้า ไม่ใช่ความพอใจส่วนตัว ผู้หญิงสวยๆ จึงมีคนมารอซื้อพรหมจรรย์กันมากมาย บางคนมานั่งที่วิหารไม่ถึงชั่วโมงก็กลับบ้านได้แล้ว แต่สำหรับผู้หญิงที่หน้าตาขี้เหร่ อาจจะไม่มีผู้ชายมาซื้อตัวเลยเป็นปีๆ และเธอก็จะต้องนั่งรอนอนรออยู่ที่หน้าวิหารนั่นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ลูกค้า ถ้าขืนขี้เกียจรอแอบหนีกลับบ้านไปก่อน ชีวิตของผู้หญิงคนนั้นจะต้องคำสาปให้ลำบากลำบนตลอดไป เพราะไม่ได้ทำความดีแด่เทพเจ้า
ส่วนในหลายประเทศ การเป็นโสเภณีเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติ คนที่จะทำงานนี้ได้ต้องบวชเป็นนางชีเท่านั้น นางชีพวกนี้จะอุทิศตนเป็นนางบำเรอประจำวัด คอยร้องรำทำเพลงและบำเรอกามให้เหล่านักบวชและพระธุดงค์ที่มาสักการะเทพเจ้า ประจำวัดของตัว เงินที่ได้จากการขายตัวก็จะส่งไปบำรุงวัดบำรุงศาสนาไปตามเรื่อง สาวๆ ทุกคนที่ทำหน้าที่นี้จึงทำด้วยความสมัครใจ และรู้สึกว่าตัวเองสูงส่งอยู่ในฐานะผู้รับใช้พระเจ้า
สำหรับผู้หญิงในบางประเทศ การทำลายพรหมจารีเจ้าปัญหา ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากขนาดต้องไปนั่งรอความช่วยเหลืออยู่หน้าวิหารให้เสียเวลา เหมือนสาวกรีก แต่พวกเธอสามารถเดินไปหานักบวชชายให้ช่วยทำลายพรหมจรรย์ให้ได้เลย เพราะถือกันว่านักบวชเป็นตัวแทนของเทพเจ้า การให้นักบวชเปิดบริสุทธิ์จึงไม่ต่างอะไรกับการพลีพรหมจรรย์ให้เทพเจ้าโดย ตรง
หลังจากอุทิศร่างเพื่อศาสนาอยู่หลายทศวรรษ ผู้หญิงรุ่นต่อมาก็เริ่มเปลี่ยนมาขายตัวเพื่อตัวเองกันบ้าง สาวๆ ในยุคหลังจะเป็นโสเภณีกันประมาณ 2-3 ปีเพื่อสะสมเงินไว้เป็นทุนแต่งงาน พอได้เงินครบตามที่ต้องการแล้ว พวกเธอก็จะกลับบ้านไปแต่งงานกับคนรักที่รออยู่ และสามีก็จะภูมิใจมากที่เมียของตัวเองเคยเป็นโสเภณีมาก่อน เพราะเท่ากับว่าเธอได้เครื่องหมายรับรองคุณภาพมาแล้วว่าจะเป็นเมียที่ดี อย่างแน่นอน
http://www.anyapedia.com/2013/11/blog-post.html