อลิซาเบธ บาโธรี่ หญิงสูงศักดิ์ผู้กระหายเลือด
ผู้หญิงทุกคนอยากสวย แต่ความสวยของผู้หญิงนี้ต้องแลกมาด้วยชีวิตของสาวพรหมจรรย์ถึง 605 ชีวิต..."อลิซาเบธ บาโธรี่ เคานท์เตสกระหายเลือด" (The Blood Countess) คือ ฆาตกรหญิงที่โหดเหี้ยมที่สุดในโลก
สมาชิกตระกูลบาโธรี่แทบทุกคนเป็นโรคปวดหัวเรื้อรังซึ่งเป็นโรคทางกรรมพันธุ์ ที่เกิดจากการแต่งงานกันเองในหมู่ญาติ เพื่อรักษาทรัพย์สมบัติไม่ให้กระเด็นไปไหน แต่ดูเหมือนอลิซาเบธจะอาการหนักกว่าเพื่อน วันหนึ่งอลิซาเบธปวดหัวอย่างรุนแรง พอสาวใช้เข้ามาปลอบเธอก็คลุ้มคลั่ง กัดไหล่สาวใช้เคราะห์ร้ายจนเนื้อหลุดออกมาทั้งก้อน เสียงกรีดร้องโหยหวนของสาวใช้ดังก้องไปทั่วปราสาท แต่น่าแปลกเหลือเกินที่เสียงนั้นทำให้อาการปวดหัวของอลิซาเบธหายเป็นปลิด ทิ้ง ภาพสาวใช้ร้องครวญครางเลือดไหลท่วมตัวจนเสื้อผ้าแดงฉานอาจเป็นภาพที่น่าสยด สยองสำหรับคนอื่น แต่สำหรับอลิซาเบธมันทำให้จิตใจเบาโหวง ปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูก นั่นเป็นจุดเริ่มต้นความวิปริตของอลิซาเบธ เธอเชื่อว่าความทรมานของคนอื่นคือยากรักษาโรคที่สวรรค์ประทานมาให้ นับจากนั้นทุกครั้งที่ปวดหัว อลิซาเบธก็จะทรมานสาวใช้อย่างหนัก การได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดกลายเป็นความสนุกประจำวันที่คุณหนูอลิซา เบธโปรดปรานเป็นที่สุด
ในปี 1575 เมื่ออลิซาเบธอายุ 15 ปี เป็นเวลาที่เด็กสาวในสมัยนั้นจะต้องออกเรือนเสียที ขืนใครยังต้างเติ่งอยู่จนแก่กว่านี้ ก็ไม่แคล้วต้องขึ้นคาน บิดาของเธอจึงจัดการให้เธอแต่งงานกับท่านเคานท์ฟีเรนซ์ นาดาสดี้ ลูกพี่ลูกน้องที่ร่ำรวยและทรงอำนาจพอๆ กัน อลิซาเบธจึงได้เลื่อนยศขึ้นเป็นเคานท์เตสตามยศของสามี จากนั้นเธอก็ตามท่านเคานท์ฟีเรนซ์ไปปกครองปราสาทเซติอันกว้างใหญ่ กลางป่าลึกบนภูเขาคาร์ลปาเชีย ในสโลวาเกีย...และที่นี่เองตำนานสยองก็เริ่มขึ้น!
ท่านเคานท์ฟีเรนซ์กับอลิซาเบธนั้นนับว่าเป็นคู่กิ่งทองใบหยกโดยแท้ เพราะมีจิตใจวิปริตชอบเห็นความทรมานของคนอื่นเหมือนๆ กัน สองผัวเมียจึงจับมือกันเป็นคู่หูดูโอ้ ทรมานทรกรรมบ่าวไพร่ในปราสาทอย่างสนุกสนาน และดูเหมือนว่ายิ่งทรมานลูกก็ยิ่งดก เพียงไม่กี่ปีทั้งคู่มีลูกด้วยกันถึงสี่คน แต่เคานท์ฟีเรนซ์มักมีเหตุให้ไม่ได้อยู่ติดบ้าน เพราะสโลวาเกียในยุคนั้นมีเรื่องพิพาทตามแนวชายแดนเป็นประจำ เคานท์ฟีเรนซ์จึงต้องพากองทัพออกไปปราบผู้รุกรานอยู่เสมอ ทิ้งให้ภรรยาสาวจับเจ่าเฝ้าปราสาทอยู่คนเดียว เมื่อมีสามีก็เหมือนไม่มีอลิซาเบธจึงต้องแก้เหงาด้วยวิธีที่ถนัด นั่นคือการทารุณสาวใช้และวิธีทรมานของเธอก็โหดร้ายผิดมนุษย์ขึ้นทุกที เช่นใช้เข็มแหลมแทงนิ้วของสาวใช้ หรือจับสาวใช้เคราะห์ร้ายเปลื้องผ้าทาน้ำผึ้งทั่วตัวก่อนจะโยนลงไปในห้องใต้ ดินที่เต็มไปด้วยมด กว่าจะได้กลับขึ้นมาสาวใช้ก็ถูกฝูงมดรุมกัดจนสลบไปหลายรอบ เป็นต้น
นอกจากงานทรมานคนอื่นอันลือลั่นแล้วกิจกรรมโปรดอีกอย่างของอลิซาเบธก็คือการ เล่นชู้กับทาสหนุ่มๆ ในปราสาท จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมแม่สามีซึ่งรู้เห็นทุกอย่างจึงชังน้ำหน้าเธอมาก แต่ครั้นจะไล่สะใภ้ผู้สูงศักดิ์ออกจากบ้านก็ไม่ได้อีก ปราสาทเซติซจึงกลายเป็นสมรภูมิขนาดย่อมให้แม่ผัวลูกสะใภ้เล่นเกมชิงไหวชิง พริบกันอย่างเอาเป็นเอาตาย อลิซาเบธทนให้แม่สามีเป็นหนามยอกอกอยู่จนถึงปี 1600 เธอก็ได้รับข่าวร้ายว่าเคานท์ฟีเรนซ์พลาดท่าเสียที ถูกข้าศึกฆ่าจายในสนามรบเสียแล้ว เป็นอันว่าทรัพย์สมบัติและอำนาจทุกอย่างของสามีก็ได้ถูกถ่ายโอนมาเป็นของเธอ โดยชอบธรรม และแล้วในคืนนั้นเอง แม่ผัวของอลิซาเบธก็ถูกมือที่มองไม่เห็น ลอบวางยาพิษจนตายไปอย่างทรมาน
บัดนี้อลิซาเบธมีทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในกำมือแล้ว แต่ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่สักเพียงใดก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่เธอเอาชนะไม่ได้ นั่นคือกาลเวลา เช้าวันหนึ่งเมื่อเธอตื่นขึ้นมาแต่งองค์ทรงเครื่องตามปกติ อลิซาเบธก็สังเกตเห็นรอยเหี่ยวย่นตรงหางตาของตัวเอง มันทำให้เคานท์เตสผู้หลงใหลในรูปโฉมทนไม่ได้ เธอกรีดร้องสุดเสียง ก่อนจะคว้าเชิงเทียนที่อยู่ใกล้มือฟาดใส่สาวใช้ประจำตัวเพื่อระบายอารมณ์ แต่วันนี้อลิซาเบธคงจะอารมณ์เสียหนักกว่าทุกครั้ง เพียงแค่เห็นสาวใช้หัวแตกเลือดโชกก็ยังไม่สะใจ เธอสนองนี้ดด้วยการหันไปคว้าแส้หนังมากระหน่ำฟาดต่อแย่างเมามัน เนื้อหนังของเหยื่อสาวใช้เคราะห์ร้ายฉีกขาดเป็นริ้วๆ เลือดและเศษเนื้อสาดกระจาย กว่าเคานท์เตสจะหายคลุ้มคลั่ง สาวใช้วัยรุ่นก็สิ้นใจคาแส้เสียแล้ว ขณะที่อลิซาเบธยกมือขึ้นปาดเลือดที่กระเด็นมาเปื้อนแก้วของเธอออกนั่นเอง เธอก็ค้นพบด้วยความอัศจรรย์ใจว่า ผิวบริเวณนั้นที่เคยซูบซีดแบบผิวคนแก่ กลับเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ชะรอยเลือดของหญิงสาววัยเยาว์คงจะเป็นน้ำอมฤต มีอานุภาพบันดาลความสาวสวยให้เธอไปตลอดกาลกระมัง
นับจากนั้นอลิซาเบธก็เริ่มต้นชีวิตฆาตกรเต็มรูปแบบ ทาสสาววัยรุ่นที่อาศัยอยู่บริเวณรอบปราสาทต้องตกเป็นเหยื่อสังเวยความบ้าของ นายหญิงแห่งปราสาทเซติซคนแล้วคนเล่า ทุกคนตายอย่างทรมานยิ่งนักเพราะอลิซาเบธสั่งให้ทหารกรีดเนื้อของพวกเธอเพื่อ รีดเลือดออกมาให้ได้มากที่สุด เด็กสาวบางคนถูกชำแหละลึกถึงกระดูก หลายคนถูกแหวะท้อง แทงหัวใจให้เลือดพุ่งออกมาเป็นสายน้ำชโลมใส่ร่างของอลิซาเบธที่ยืนรออยู่
เพียงไม่นานทาสสาวอ่อนวัยก็ถูกฆ่าตายไม่มีเหลือ อลิซาเบธจึงเบนเป้าหมายไปที่ลูกสาวชาวบ้านในละแวกนั้นแทน เธอส่งสาวใช้คนสนิทสองคนออกไปหลอกล่อเด็กสาวเหล่านั้นให้เข้ามาทำงานใน ปราสาท โดยบอกว่าจะให้ที่อยู่ที่กินและเงินเดือนอย่างงาม จึงมีหญิงสาวเฮโลมาสมัครงานกันเนืองแน่น แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นความตาย เลือดของทุกคนได้กลายเป็นเครื่องประทินผิวของนายหญิงแห่งเซติซ ส่วนศพของผู้เคราะห์ร้ายมีมากมายก่ายกอง อลิซาเบธสั่งให้ฝังไว้ในสวนด้านหลังปราสาททั้งหมด
มีบันทึกว่า อลิซาเบธได้คิดค้นวิธีทรมานเหยื่อขึ้นหลายวิธี แต่ละวิธีสร้างความบันเทิงให้เธออย่างล้นเหลือ อย่างเช่นการใช้เหล็กร้อนนาบไปที่คอของเหยื่อ หรือใช้เครื่องทรมานบีบหน้าอก บางครั้งเธอก็ใช้มือทั้งสองของตัวเอง ล้วงเข้าไปในปากและฉีกร่างของเหยื่อออกเป็นสองซีก ถ้าเด็กสาวคนไหนพยายามจะหนีก็จะถูกจับตัดเท้าทิ้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เธอจัดงานเลี้ยงขึ้นในปราสาทแล้วเชิญเด็กสาวในหมู่บ้าน จำนวน 60 คนมาร่วมงาน พอทุกคนมากันครบ อลิซาเบธก็สั่งปิดประตูทันที จากนั้นทหารพร้อมอาวุธครบมือก็กรูเข้ามาฟาดฟันเด็กสาวที่ไร้ทางสู้จนตายหมด สิ้น ทุกคนถูกตัดหัว แขน ขา ออกเป็นชิ้นๆ ใส่ลงในอ่าง ปล่อยให้เลือดสดๆ ไหลไปรวมกันยังบ่อกว้างที่อลิซาเบธนอนเปลื้องผ้ารออาบเลือดอยู่
ถ้าวันไหนอลิซาเบธไม่อยากเสียเวลารอนาน เธอก็จะเปลี่ยนวิธีฆ่ามาเป็นการกรีดคอหอยเหยื่อให้เลือดสดๆ พุ่งกระฉูดเข้าใส่เธอ ราวกับน้ำพุ ส่วนอีกวิธีหนึ่งที่น่าสยดสยองไม่แพ้กันคือ เธอสั่งให้จับเหยื่อใส่กรงที่มีเหล็กแหลมแทงจนตาย เลือดอุ่นๆ ไหลพรูลงมาชโลมร่างอลิซาเบธที่อยู่ด้านล่างราวกับน้ำจากฝักบัว
ห้าปีผ่านไป ลูกสาวชาวนาชาวไร่รอบปราสาทเซติซก็หายตัวไปแทบไม่มีเหลือ แต่ไม่มีชาวบ้านคนไหนกล้าไปร้องเรียน เพราะบารมีใหญ่คับฟ้าของอลิซาเบธปกคลุมพื้นที่แถวนั้นทั่วทุกหัวระแหง เมื่อเหยื่อในละแวกบ้านถูกล่าจนไม่มีเหลือแล้ว เคานท์เตสกระหายเลือดก็เบนเป้าหมายไปหาลูกสาวของผู้มีอันจะกินแทน เธอไม่สนใจว่าเด็กสาวเหล่านี้จะมีพ่อแม่ใหญ่โตระดับไหน เพราะไม่ว่าใครก็ไม่เส้นก๋วยจั๊บเท่าตระกูลบาโธรี่ของเธออย่างแน่นอน
แต่ความลับไม่มีในโลก ขณะนั้นพื้นที่หลังปราสาทเซติซเต็มไปด้วยซากศพ จนไม่มีที่เหลือจะฝังใครได้อีกแล้ว ทหารจึงต้องแก้ปัญหาด้วยการทิ้งศพไว้กลางป่าให้หมาป่าแทะกิน นี่คือความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ เพราะไม่มีหมาป่าที่ไหนจะกินศพได้เกลี้ยงเกลาจนไม่เหลือร่องรอย ในไม่ช้าชาวบ้านก็มาพบชิ้นส่วนศพเข้าจนได้ เสียงร่ำลือเรื่องความโหดร้ายของอลิซาเบธจึงถูกบอกต่อๆ กันไป จนไปเข้าหูพ่อแม่เศรษฐีของเด็กสาวที่หายไป ทุกคนจึงรวมตัวกันยื่นหนังสือร้องเรียนไปยังราชสำนัก เพื่อไม่ให้ลูกสาวของพวกตนต้องตายฟรี
ในปี 1610 มาร์ควิสเธอร์โซซึ่งเป็นญาติของอลิซาเบธ ถูกส่งมาตรวจสอบเรื่องนี้ เมื่อท่านมาร์ควิสบุกเข้าไปในห้องใต้ดินของปราสาทเซติซก็ได้พบกับเด็กสาว จำนวนมากถูกขังอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยซากศพกองเป็นภูเขาเลากา ทั้งห้องเหม็นคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดชวนจะอาเจียนเสียให้ได้ อลิซาเบธถูกจับทันที แต่เพราะอิทธิพลของตระกูลบาโธรี่ ทำให้เธอรอดพ้นโทษประหารหวุดหวิด ส่วนผู้ช่วยสองคนของเธอคือ นางดอลค์และนางรีโอน่า สาวใช้คนสนิทที่ทำหน้าที่เสาะหาเหยื่อมาให้อลิซาเบธ ถูกตัดสินให้เผาทั้งเป็น
ถึงจะไม่ต้องตาย แต่ก็ใช่ว่าอลิซาเบธจะได้ลอยหน้าลอยตากลับไปเสวยสุขเหมือนเดิม เรื่องครั้งนี้ทำลายเกียรติยศของตระกูลบาโธรี่จนยับเยิน ทุกคนจึงต้องควบคุมตัวเธอไว้ไม่ให้ไปก่อเรื่องประหัตประหารใครได้อีก อลิซาเบธถูกจับขังไว้ในห้องเล็กๆ ไม่มีหน้าต่าง ก่อด้วยอิฐหยาบๆ ในปราสาทเซติซ มีเพียงช่องเล็กๆ ที่กว้างพอที่จะสอดอาหารและน้ำเข้ามาได้เท่านั้น
เคานท์เตสสาวที่เคยมีชีวิตแสนสุขถูกขังไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันในห้องที่ เหมือนกับรูหนูถึง 4 ปีเต็มๆ อลิซาเบธก็ทนความทรมานไม่ไหว เธอสิ้นใจตายในวันที่ 21 สิงหาคม 1614 จากนั้นช่องเล็กที่ใช้ส่งข้าวปลาอาหารให้เธอก็ถูกโปกปูนปิดทับไปตลอดกาล ปราสาทเซติซจึงกลายเป็นหลุมฝังศพของอลิซาเบธ ผู้ถูกขนานนามว่าเคานท์เตสกระหายเลือดมาจนถึงทุกวันนี้