The World of Ice and Fire : ราตรีอันยาวนาน
ประวัติศาสตร์จาก The World of Ice and Fire – ราตรีอันยาวนาน (EP.4)
The Long Night
ขณะชาว First Men ก่อร่างสร้างอาณาจักรขึ้นมาหลังจากได้ทำสนธิสัญญายุติสงครามกับเด็กแห่งพงไพร เรื่องของที่ดินและสงครามก็แทบจะไม่เป็นปัญหากับพวกเขาเลย จากประวัติศาสตร์เหล่านี้เรายังได้เรียนรู้ถึงช่วงเหตุการณ์ “ราตรีอันยาวนาน” เมื่อหน้าหนาวได้มาเยือนพวกเขา พวกเขาในรุ่นนั้นมีทั้งเด็กที่เพิ่งเกิด คนที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ และอีกหลายคนก็เสียชีวิตลงโดยที่ไม่มีวันได้เห็นฤดูใบไม้ผลิ แน่นอน มีเรื่องเล่าของเหล่าภรรยาผู้อาวุโสบางคนได้กล่าวเอาไว้ว่าพวกเขาไม่เคยได้แม้แต่เห็นแสงตะวันเลย ดังนั้นโลกใบนี้จึงตกเป็นของหน้าหนาวโดยสิ้นเชิง ขณะที่เรื่องนี้อาจจะดูไม่เกินไปกว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่ข้อเท็จจริงที่มีวินาศภัยเกิดขึ้นเมื่อหลายพันปีมาก่อนนั้นเป็นเรื่องจริง Lomas Longstrider ผู้เขียนหนังสือ “สิ่งมหัศจรรย์ที่มนุษย์เป็นผู้สร้าง (Wonders Made By Man)” เขาได้เล่าถึงเรื่องที่เขาได้พบเจอกับลูกหลานที่มีเชื้อสายของชาว Rhoynar ในซากปรักหักพัง ณ เมืองแห่งเทศกาล Chroyane หรือเมืองของชาว Rhoynar ในอดีตกาล ซึ่งพวกเขาได้เล่าถึงตำนานแห่งความมืดมิดที่ทำให้แม่น้ำ Rhoyne ค่อยๆลดลงจนหายไปในที่สุด น้ำของแม่น้ำแข็งตัวยาวไปจนถึงทางแยกของแม่น้ำ Rhoyne กับแม่น้ำ Selhoru ตามเรื่องเล่าเหล่านี้ การกลับมาของดวงอาทิตย์จะมาได้เฉพาะตอนที่วีรบุรุษสามารถหว่านล้อมให้เหล่าเด็กๆของเทพธิดา Mother Rhoyne ซึ่งเด็กๆเหล่านั้นก็คือเหล่าทวยเทพองค์เล็กองค์น้อยทั้ง กษัตริย์ปูและชายแก่แห่งคงคา โดยทำให้พวกเขาหันมาเลิกทะเลาะกันเสียก่อนและก็มาร่วมกันขับร้องบทเพลงแห่งความลับเพื่อนำวันแห่งแสงอาทิตย์กลับมาอีกครั้ง
ยังมีจุดหมายเหตุที่ถูกเขียนขึ้นในเมือง Asshai ในเรื่องของความมืดมิดและเรื่องของวีรชนที่จะต่อสู้กับความมืดด้วยดาบสีแดง เขาถูกกล่าวว่าเขาได้แสดงคำมั่นสัญญาที่จะขจัดเหล่าร้ายนี้ให้เห็นตอนก่อนที่ดินแดน Valyria จะถูกก่อกำเนิดขึ้นมาซึ่งเกิดในช่วงยุคแรกสุดตอนในช่วงที่ชาว Old Ghis ก่อร่างสร้างจักรวรรดิขึ้นมาเป็นที่แรก ตำนานนี้แพร่สะพัดไปทางตะวันตกจากเมือง Asshai และเหล่าผู้ศรัทธาเทพแห่งแสง R’Hllor ได้อ้างว่าวีรชนคนนี้คือ Azor Ahai และตามคำพยากรณ์เขาก็ได้กลับมาแล้ว ในตำนาน Jade Compendium ที่มี Colloqu Votar เป็นผู้เขียน เขาได้พบกับตำนานที่น่าสนใจมากจากเมือง Yi Ti ซึ่งในตำนานได้กล่าวไว้ว่าดวงอาทิตย์ได้ซ่อนตัวเองจากโลกเป็นเวลาอันยาวนาน เพราะรู้สึกอายอะไรบางอย่างที่ไม่มีใครรู้ได้เลยว่าอายเรื่องอะไร และภัยพิบัติก็จะหายไปก็ต่อเมื่อมีสตรีที่มีหางเป็นลิงปรากฏออกมาตามพันธะสัญญา
อย่างไรก็ตามถ้าฤดูหนาวนี้เกิดขึ้น ตามตำนานได้บอกว่าความขาดแคลนคงจะเป็นเรื่องที่น่ากลัวสุดๆเท่าที่เคยเห็นมา ในช่วงหน้าหนาวที่หฤโหดที่สุด ชาวเหนือมีธรรมเนียมว่าจะต้องให้คนที่แก่ที่สุดและคนที่ทุพพลภาพออกไปล่าสัตว์ ซึ่งก็เป็นที่รู้กันดีว่าพวกเขาจะไม่มีวันกลับมาได้อยู่แล้ว และก็ทำให้มีอาหารเหลืออยู่บ้างสำหรับที่คนน่าจะอยู่รอดได้มากกว่า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าธรรมเนียมปฏิบัตินี้จะกลายเป็นเรื่องธรรมดาๆในช่วงราตรีอันยาวนาน
แต่ก็ยังมีเรื่องเล่าอื่นๆซึ่งเชื่อถือได้ยากแต่ยังไงก็ใกล้เคียงกับประวัติศาสตร์ยุคเก่ามากกว่า โดยเป็นเรื่องราวของสิ่งมีชีวิตที่รู้จักกันในนามว่า *Others ตามเรื่องเล่าพวกมันมาจากดินแดนเหมันต์ตลอดกาล โดยพวกมันนำความยะเยือกและความมืดมิดด้วย ซึ่งพวกมันเดินทางมาหาแสงสว่างและความอบอุ่นเพื่อดับมันทิ้งให้หมด เรื่องเล่ายังกล่าวต่อไปว่าพวกมันขี่หลังแมงมุมน้ำแข็งยักษ์และม้าที่ตายแล้ว โดยถูกทำให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาเพื่อคอยรับใช้พวกมัน อย่างที่พวกมันฟื้นคืนชีพพวกคนตายให้มาต่อสู้เพื่อพวกมัน
*Others ตามนิยายหมายถึง White Walkers
ราตรีอันยาวนานจะจบลงอย่างไรก็เป็นเรื่องของตำนาน อย่างที่ตำนานทั้งหมดทั้งมวลในอดีตที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ในแดนเหนือ พวกเขาได้เล่าขานเรื่องของวีรชนคนสุดท้ายที่เดินทางตามหาเด็กแห่งพงไพร รวมถึงเรื่องที่สหายของเขาได้ทิ้งเขาไปขณะที่พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับพวกยักษ์ผู้หิวโหย ผู้รับใช้อันยะเยือก และเหล่า Others ในที่สุดเขาก็ได้มาเจอกับพวกเด็กแห่งพงไพรโดยเหลือเพียงตัวคนเดียว แม้จะยังมีเรื่องของ White Walker ที่กำลังอาละวาดอยู่ก็ตาม เนื่องจากที่เขาได้เจอกับเด็กแห่งพงไพร ทำให้พวก First Men แห่งหน่วย Night’s Watch จับมือร่วมกันสู้กับพวกมันและสามารถเอาชนะได้ในที่สุด ซึ่งเรียกเหตุการณ์นั้นว่า “การต่อสู้เพื่อรุ่งอรุณ” เป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายที่สามารถทำลายหน้าหนาวที่ไร้จุดสิ้นสุดลง และส่งพวก Others กลับบ้านที่อยู่ในแดนน้ำแข็งทางเหนือสุด ตอนนี้ ในเวลาหกพันปีต่อมา (หรือแปดพันปีในขณะที่ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงยังคงเดินหน้าต่อไป) กำแพงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อคอยปกป้องอาณาจักร โดยมีเหล่าผู้ปกป้อง ณ กำแพง โดยหน่วย Night’s Watch และเหล่า Others กับเด็กแห่งพงไพรก็ไม่มีปรากฏให้เห็นเลยมาตลอดช่วงหลายศตวรรษนี้
TO BE CONTINUED (The Rise of Valyria - EP.5)
ART BY Marc Simonetti














