หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ถุงแตก ตรวจเอดส์ได้เลยไหม? ต้องรอกี่วัน? มีคำตอบมาฝาก

โพสท์โดย บรุษเซ็กซี่

การตรวจเชื้อ HIV หรือการตรวจเอดส์

รับเชื้อมาแล้ว เชื้อไปไหนบ้าง
เมื่อ เชื้อเข้าสู่ร่างกาย มันก็ถูกเม็ดเลือดขาวจับกิน ถ้าเป็นเชื้ออื่นก็โดนเขมือบเรียบร้อย แต่นี่เพราะมันคือเอดส์ วายร้ายไวรัสเอดส์ก็จัดการก็อป X ตัวเอง จนเป็นไวรัสตัวใหม่แล้วก็ก็อป X ๆๆๆ จนเม็ดเลือดขาวแตกตาย มันก็ออกมาเวียนว่ายอยู่ในกระแสเลือด (แล้วก็ไปโจมตีเม็ดเลือดขาวตัวอื่นต่อไป) ถึงตอนนี้ร่างกายก็จะสร้างภูมิต้านทาน (Antibody) ขึ้นมา ช่วงระยะเวลาจากรับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย จนเชื้อไวรัสออกสู่กระแสเลือด ใช้ระยะเวลาประมาณ 2 - 6 สัปดาห์ ช่วงนี้ถ้าจะตรวจหาว่ามีเชื้อเอดส์หรือไม่ ก็สามารถตรวจได้ โดยตรวจ "แอนติเจน" กว่าร่างกายจะสร้างแอนติบอดี ก็ใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ ถึง 3 เดือน ดังนั้น ถ้าจะตรวจแอนติบอดีได้ อย่างเร็วที่สุดก็ 3 สัปดาห์ (ก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนจะมีแอนติบอดีขึ้นเร็วอย่างนี้เสมอไป)

ตรวจเลือดเอดส์ เขาตรวจอะไร ?
การ ตรวจว่ารับเชื้อเอดส์มาหรือไม่ มีวิธีตรวจได้ สองอย่าง คือตรวจแอนติเจนกับตรวจแอนติบอดี แต่การตรวจแอนติเจนนั้นยุ่งยาก ใช้เครื่องมือซับซ้อน ราคาแพง ใช้เวลานาน จึงไม่นิยมตรวจ เป็นตัวเลือกแรก เหมือนการตรวจแอนติบอดี ซึ่งตรวจได้ง่าย ราคาถูก ได้ผลเร็ว เชื่อถือได้ค่อนข้างแน่นอน


ตรวจเลือดเอดส์มีกี่แบบ
1. การตรวจหาแอนติบอดีต่อ HIV (Anti-HIV antibody) ELISA : เป็นการ "ตรวจคัดกรอง" (screening test) ที่นิยมใช้กันแพร่หลาย ทำได้ง่าย ไม่แพง มีความไวมาก ความแม่นเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าตรวจแล้วให้ผลบวกสองครั้ง จากน้ำยาของต่างบริษัท ก็ค่อนข้างมั่นใจได้ แต่การจะบอกว่าใครเลือดบวกเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งจะต้องตรวจยืนยันด้วยวิธีอื่นที่จำเพาะกว่าอีกครั้งก่อน


ผล บวกปลอม มีไหม ? มีครับ แต่ก็น้อยยยยยยย แล้วปลอมมาจากไหน ก็จากแอนติบอดีต่อกล้ามเนื้อเรียบ ต่อไมโตคอนเดรียในเซลล์ของร่างกาย ต่อไวรัสชนิดอื่นที่คล้ายกัน ฯลฯ

ผลลบปลอมมีไหม ? (ติดเชื้อ แต่ผลตรวจเป็นลบ) ก็มีครับ แต่ก้อ…น้อยยยยย โดยเฉพาะพวกใจร้อน เพิ่งรับเชื้อมา ก็รีบตรวจ แอนติบอดียังไม่ขึ้น จึงยังให้ผลเป็นลบ เรียกระยะนี้ว่า Window period

Western blot assay : เป็นการ "ตรวจยืนยัน" (Confirmatory test) การติดเชื้อ HIV ที่นิยมมากที่สุด เพราะมีความไว และความแม่นยำสูงกว่าวิธี ELISA แต่ราคาแพงกว่า ใช้เวลามากกว่า ทำยากกว่า ถ้าอย่างนั้น Western blot assay ก็เชื่อถือได้ ถ้าให้ผลเป็นบวกมันก็ต้องบวกแน่ๆซิ …เปล่าครับ ผลบวกปลอมก็มี แต่ก้อ….น้อยยยยยยยยยยยนิด (จริงๆ)

Indirect immunofluorescent assay (IFA) : เป็นการตรวจหาแอนติบอดี เหมือน Western blot เพียงแต่การอ่านผล อ่านจากดูการเรืองแสง แทนการนับสารรังสีใน Western blot มีความไวและความแม่นพอๆกัน

Radioimmunoprecipitation assay (RIPA) : เป็นการหาแอนติบอดีอีกวิธี ที่ให้ผลไวกว่า Western blot แต่ทำยากมักใช้ในงานวิจัยเท่านั้น

2. การตรวจหาแอนติเจน ส่วนใหญ่จะเป็นการตรวจหา p24 antigen ในเลือดด้วยวิธี ELISA สามารถตรวจหาตัวเชื้อ ในช่วงที่แอนติบอดียังไม่ขึ้น หรือที่เรียก window period แต่ก็มีข้อเสียคือความไวยังน้อย (คือตรวจไม่ค่อยเจอ) และไม่เหมาะที่จะใช้เป็นวิธีคัดกรอง (screening test)

3. การเพาะเชื้อไวรัส HIV ทำยาก ราคาแพง ความไวน้อย แต่ถ้าให้ผลบวก ก็ถือว่าชัวร์ที่สุด

4. การตรวจหา DNA ของไวรัส วิธีนี้คือการหาโดยอาศัยการเพิ่มปริมาณ DNA เรียกว่า PCR (Polymerase chain reaction) ตรวจได้แม้จะมีปริมาณ DNA เพียงน้อยนิด (มีความไวสูง) ความชัวร์เชื่อถือได้แน่นอน ถือเป็นวิธีการ "ตรวจยืนยัน" ที่แน่นอนที่สุด

เพิ่งไปเที่ยวมา จะขอตรวจแอนติเจนเลยได้ไหม ก็ผมใจร้อนน่ะ
ไม่ ได้ครับ เพราะไม่มีที่ไหนจะตรวจให้ก่อนที่จะทำการตรวจขั้นต้นหรือแบบคัดกรองก่อน การตรวจคัดกรองตรวจง่าย ราคาถูก ผลเชื่อถือได้ถึง 99 % ตรวจได้ทุกโรงพยาบาลทั้งของรัฐ ทั้งของเอกชน หรือแม้แต่คลินิกหลายๆ แห่งก็ตรวจให้ได้ ส่วนการตรวจหาแอนติเจนนั้น มีไม่กี่แห่งที่ทำได้ เพราะต้องลงทุนสูง ต้องใช้บุคลากรเฉพาะ

ถ้าอย่างนั้น เพิ่งไปเที่ยวมา ตรวจเลือดเลย ก็ไม่มีประโยชน์นะซิ
ก็ ไม่ใช่อย่างนั้นเสียทีเดียว ในกรณีที่คุณอยากรู้ว่าติดจากใครก็พอบอกได้ เช่น ไปนาบเบอร์นี้มา แล้ว 3 เดือนต่อมา ตรวจเลือดให้ผลบวก คุณจะไปเหมาเอาว่าติดมาจากคนคนนี้ไม่ได้ เพราะคุณอาจมีเลือดบวกอยู่ก่อนแล้วก็ได้ ( แถมยังถูกหาว่าเอาโรคไปติดเธอซะอีก ) แต่ถ้าคุณตรวจเลือดหลังจากเที่ยวแล้วให้ผลลบ หลังจากนั้นไม่ได้ไปรับความเสี่ยงต่อการติดเชื้อมาอีก แล้วต่อมาอีก 3 เดือน เกิดแจ็คพอร์ต เลือดบวก ก็พอจะ ต่อว่า ว่า คนนี้แหละ ใช่เลย

การตรวจเลือดมีขั้นตอนอย่างไร
ปกติ เมื่อคุณไปขอตรวจเลือดเอดส์ เขาก็จะตรวจแบบ "ตรวจขั้นต้น" หรือที่เรียก " ตรวจคัดกรอง " (screening test ) ใช้วิธี ELISA โดยตรวจแอนติบอดี ถ้าให้ผลบวก เขาก็จะตรวจยืนยันโดยวิธี western blot assay จึงจะบอกได้ว่า "เลือดเอดส์ให้ผลบวก" การตรวจคัดกรองใช้เวลาไม่นาน ถ้ามีเลือดคุณคนเดียว นับเวลาตั้งแต่เจาะเลือดจนรู้ผล ก็ไม่เกิน 20 นาที แต่ปกติก็จะตรวจหลายราย อาจใช้เวลานานหน่อย หรือบางแห่งอาจนัดมาฟังผลทีหลังก็ได้ ส่วน western blot ก็แล้วแต่สถานที่ บางแห่ง 7 วันก็รู้ผล บางแห่ง ก็นัดเป็นเดือนก็มี

ผลตรวจเลือด ELISA เป็นบวก เราต้องไปตรวจยืนยันต่อหรือไม่
ก็ อยู่ที่ว่าคุณไปตรวจที่ไหน ถ้าเป็นของรัฐบาล เขาก็จะตรวจต่อให้เลย โดยคุณไม่ต้องร้องขอ แต่ถ้าเป็นของเอกชน ค่าตรวจ Western blot มีค่าใช้จ่ายสูง ถ้าคุณจะตรวจก็ต้องจ่ายเอง หรือคุณจะย้ายมาตรวจกับของรัฐบาลต่อก็ได้ (เจ็บอีกที แต่ก็ประหยัดเงิน)

เลือดบวก แปลว่าอะไร ?
ก่อน อื่น ขอทำความเข้าใจกับคำว่า "บวก" และ "ลบ" ก่อน คำนี้แปลมาจากภาษฝรั่ง ว่า "positive" และ "negative" ไม่รู้ใครเป็นคนแปลเป็นคนแรก แล้วก็ใช้กันมาโดยตลอด แหม..เล่นแปลกันตรงตัวเลย ความจริงมันไม่ใช่ บวก หรือ ลบ ในความหมายทางคณิตศาสตร์ แต่หมายถึงว่า "มี" หรือ "พบเชื้อ" หรือ "พบร่องรอย" เช่น เราเจาะเลือดมาจำนวนหนึ่ง อยากรู้ว่าเลือดนี้ มีเชื้อ A (สมมุติว่าเรียกเชื้อนี้ว่า เชื้อ A) เราก็เอาน้ำยาที่ตรวจหาเชื้อ A มาทำปฎิกริยากับเลือด ถ้า "มีเชื้อ" หรือ "มีร่องรอย" ฝรั่งก็เรียก "positive" เราก็เรียกว่า "เลือดบวกต่อเชื้อ A"

ถ้าอยากรู้ว่าติด เชื้อซิฟิลิสหรือเปล่า เราก็เอาน้ำยาตรวจหาซิฟิลิสมาทำ ปฎิกริยากับเลือด ถ้ามีเชื้อซิฟิลิส ก็เรียกว่า เลือดบวกต่อซิฟิลิส ถ้าตรวจการตั้งครรภ์ เอาเลือดมาหาฮอร์โมน ถ้ามีฮอร์โมนที่แสดงว่าตั้งครรภ์ ก็เรียกว่า เลือดบวกต่อการตั้งครรภ์ ดังนั้นจึงอยู่ที่ว่า เอาเลือดไปตรวจหาอะไร ถ้าตรวจหาเอดส์ แล้วให้ผลบวก ก็บอกว่า เลือดบวกต่อเชื้อเอดส์ ดังนั้น "เลือดบวก" ต้องระบุให้ชัดว่าบวกจากอะไร จะพูดว่าเลือดบวกเฉยๆ ไม่ได้

เลือดเอดส์ "บวก" แปลว่า "เป็นเอดส์" ใช่ไหม
ไม่ ใช่ครับ ก่อนจะเป็นเอดส์เต็มขั้น จะต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ เป็นเวลานานหลายปี คุณอาจมีเลือดเอดส์บวกอยู่เป็นสิบๆ ปี โดยไม่มีอาการอะไรเลยก็ได้

"ติดเชื้อ" กับ "เป็นเอดส์" เหมือนกันไหม
"ติด เชื้อ" หมายถึงรับเชื้อมาแล้ว มีเชื้อในร่างกายของเรา ตรวจเลือดเอดส์ก็ให้ผลบวก แต่ก็ยังไม่มีอาการอะไร บางคนกินยายับยั้งเชื้อเอดส์ พร้อมกับรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ก็สามารถมีชีวิตเหมือนคนปกติ (ดูหน้าตาก็ไม่รู้) เพียงแต่มีเลือดเอดส์เป็นบวกเท่านั้น

"เป็นเอดส์" หมายถึงการมีอาการแทรกซ้อนต่างๆแสดงออกทางร่างกายแล้ว เป็นผลจากที่ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง จนไม่สามารถต่อต้านเชื้อโรคต่างๆได้

รับเชื้อมาแล้วกี่ปีจึงจะเป็นเอดส์
ส่วน ใหญ่ของผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการ เพียงแต่มีเลือดบวกเฉยๆ บางคนอาจไม่มีอาการอะไรเลย เป็นเวลา 10 ปี ก็มี แล้วนานแค่ไหนที่รับเชื้อแล้วจนมีอาการเป็นเอดส์

หลังรับเชื้อมาแล้ว…………….

เวลาผ่านไป 1 - 2 ปี มีไม่ถึง 5 % ที่เป็นเอดส์

เวลาผ่านไป 3 ปี ที่กลายเป็นเอดส์ มี 20 %

เวลาผ่านไป 6 ปี ที่กลายเป็นเอดส์ มี 50 %

เวลาผ่านไป 16 ปี ที่กลายเป็นเอดส์ มี 65 - 100 %

เฉลี่ย นับจากรับเชื้อจนเป็นเอดส์ ประมาณ 7 - 11 ปี

รับเชื้อมา แต่เลือดยังไม่บวก จะติดคนอื่นได้ไหม
หมาย ความว่ารับเชื้อมาแล้ว แต่เลือดยังไม่บวก ไปมีเพศสัมพันธ์ จะเอาเชื้อไปแพร่ให้คู่นอนได้ไหม ได้ซิครับ ก็อย่างที่บอก ตอนรับเชื้อมาใหม่ๆ 2 - 6 สัปดาห์ ตรวจหาแอนติบอดียังไม่เจอ แต่เชื้อในเลือดมีแล้วจึงมีโอกาสแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ ดังนั้นถ้าไม่แน่ใจว่าจะรับเชื้อมาหรือเปล่า ก็คงต้องงดมีเพศสัมพันธ์กับคู่รักหรือภรรยา หรือถ้าจำเป็นก็ต้องใช้ถุงยางอนามัยป้องกันไว้ก่อน (Safety first…ความจริงถ้า first ตั้งแต่ไปเที่ยวมา ก็ไม่ต้องมาวุ่นวายอย่างนี้แล้ว ..เนาะ)

ค่าตรวจเลือดเอดส์แพงไหม
ถ้าเป็นการ ตรวจขั้นต้น หรือที่เรียก ตรวจคัดกรอง โดยวิธี ELISA ถ้าเป็นของรัฐบาล ราคาก็จะอยู่ราว 50 -100 บาท (ต้นทุนเฉพาะชุดตรวจ ราว 150 บาท ไม่นับค่าเจาะเลือด ปั่นเลือด อุปกรณ์อื่น ค่าบุคลากร ค่าฯลฯ) ถ้าเป็นของเอกชนก็ราว 250 -300 บาท

ตรวจได้ที่ไหนบ้าง
ปกติเขาจะตรวจแบบคัดกรอง (ELISA) ให้ ซึ่งสามารถตรวจได้ทุกโรงพยาบาล ทั้งของรัฐของเอกชน หรือแม้แต่คลินิกหลายๆแห่งก็สามารถตรวจให้ได้

ต้องเตรียมตัวก่อนตรวจอย่างไร ต้องอดอาหารไหม
ไม่ ต้องเตรียมตัวใดๆทั้งสิ้น แต่ต้องเตรียมเงินกับเตรียมใจครับ เพราะผลการตรวจเลือดเอดส์ไม่เหมือนการตรวจเลือดอย่างอื่น ต้องลุ้นด้วยความระทึกใจ ถ้าผลเป็นบวก คนที่มีภาวะจิตใจไม่เข้มแข็งอาจหวั่นไหวจนเสียสติ หรือตัดสินใจผิดๆ ได้ บางคนเข่าทรุดตกอยู่ในภาวะหมดหวังท้อแท้ แล้วถ้ารู้ไปถึงเพื่อนฝูงก็อาจเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ได้ อาจถึงกับถูกไล่ออกจากงาน หลายหน่วยงานปฏิเสธไม่ยอมรับให้ทำงาน

ดัง นั้นก่อนไปตรวจเลือดจึงต้องเตรียมจิตใจให้ดีว่า ถ้าผลเลือดเป็นบวก เราจะรับสภาพได้ไหม จะเกิดอะไรขึ้น เราจะวางแผนรับมืออย่างไร ถ้ามีแฟน มีภรรยา เราจะทำอย่างไร จะมีบุตรไหม ถ้าจิตใจยังไม่พร้อม ก็รอได้ รอจนกว่าจะพร้อมจึงค่อยไปตรวจ (นี่พูดถึงคนที่มีความเสี่ยงมากๆ นะ เช่นชอบสำส่อนทางเพศ ติดยาเสพติดชนิดฉีด ฯลฯ)

ผลตรวจเลือด จะเป็นความลับแค่ไหน
ปกติ แพทย์จะต้องรักษาความลับของคนไข้เสมอ ยิ่งเป็นเรื่องเอดส์ โรคที่สังคมรังเกียจ ก็ยิ่งต้องรักษาไว้อย่างยิ่งยวด ยกเว้นอยู่สองกรณีที่ เปิดเผยได้ คือ เจ้าตัวเจ้าของเลือดอนุญาต หรือกรณีมีคำสั่งศาล

แต่ ก็ใช่ว่าแพทย์รักษาความลับแล้ว ความลับจะไม่รั่วออกไป เพราะในกระบวนการตรวจเลือดนั้น มีหลายฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้อง ทังเจ้าหน้าที่ตรวจเลือด ห้องตรวจเลือด เจ้าหน้าที่อื่นๆ ที่อาจรับรู้ได้เช่นกัน

ตรวจเลือดต้องบอกชื่อ บอกที่อยู่หรือไม่
ปกติ ถ้าไปตรวจตามโรงพยาบาล เขาก็มักจะทำบัตร ก็ต้องกรอกชื่อ ที่อยู่ ถ้าคุณไม่อยากให้ใครรู้ ก็คงต้องไปหาโรงพยาบาลอื่นที่ไม่มีใครรู้จักคุณ แล้วทำบัตรใหม่ คุณจะกรอกชื่อปลอม ที่อยู่ปลอมก็ได้ เขาไม่ค่อยเข้มงวดเท่าไหร่ ถ้าคุณไม่เอาบิลไปเบิกที่ไหน หรือจะไปตรวจที่คลินิกนิรนามก็ได้ เขาไม่ถามชื่อคุณ ถ้าเป็นที่กรุงเทพ คลินิกนิรนามที่สภากาชาด ตรงถนนอังรีดูนังก็มี ถ้าเป็นที่ต่างจังหวัดที่มีศูนย์กามโรคตั้งอยู่ก็มี

เลือดเอดส์ "บวก" แล้ว จะเป็น "ลบ" ได้ไหม
ปกติ เมื่อเลือดเอดส์ให้ผลบวก แล้ว (ตรวจยืนยันแล้ว) ก็จะบวกไปตลอดชีวิต จะไม่กลับมาเป็นลบอีก ยกเว้นคนที่เป็นมากโทรมจนร่างกายไม่มีภูมิต้านทานแล้ว เลือดก็จะไม่บวก แต่นั่นก็หมายถึงคนใกล้ตายเต็มทีแล้วครับ ดังนั้นเมื่อท่านมีเลือดบวก ก็จะเป็นตราประทับติดตัวท่านไปตลอดชีวิต จะเที่ยว จะสำส่อนก็ระมัดระวังไว้บ้างครับ

ก่อนแต่งงาน ควรตรวจเลือดเอดส์หรือไม่
หลาย คนบอกว่า ตรวจไปทำไม รักกันจะแต่งอยู่แล้ว ถึงเลือดบวก ก็แต่งอยู่ดี มันก็ใช่…ก็เพราะ " แต่งอยู่ดี " นี่แหละที่ต้องตรวจ เพราะถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีเชื้อเอดส์ ก็จะได้ป้องกันอีกฝ่ายไม่ให้อีกฝ่ายรับเชื้อ ดีกว่าที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่แล้วติดไปด้วยกันทั้งคู่ มีชายหญิงคู่หนึ่งมาตรวจเลือดก่อนแต่ง ปรากฏว่าฝ่ายชายเลือดเอดส์บวก ฝ่ายหญิงไม่บวก ผมถามผู้หญิงว่า รู้อย่างนี้แล้วยังจะแต่งไหม เธอบอกว่า รักเขามาก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ยังยืนยันจะแต่ง ยิ่งมารู้ว่าเขาป่วย จะทิ้งเขาได้อย่างไร จะอยู่กับเขา จะดูแลปรนนิบัติเขาจนกว่าเขาจะหาชีวิตไม่ หลังจากพูดคุยกันแล้วผมก็แนะนำให้ฝ่ายชาย ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ เธอถามว่าแล้วอย่างนี้ก็ไม่มีโอกาสมีลูกซิ เธอต้องการมีลูกกับเขา เพื่อเป็นตัวแทนเขาเมื่อยามที่เขาไม่อยู่แล้ว จะให้ทำอย่างไร เพราะถ้าอยากมีลูกก็ต้องไม่ใช้ถุงยางอนามัย ซึ่งก็เสี่ยงต่อการรับเชื้อ ผมก็แนะนำว่า ถ้าอย่างนั้นก็อาจใช้วิธีผสมเทียม ให้มีการปฏิสนธินอกร่างกายแล้ว ค่อยนำตัวอ่อนฉีดเข้ามดลูก ก็จะช่วยลดอัตราเสี่ยงการติดเชื้อต่อเธอ ได้

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
บรุษเซ็กซี่'s profile


โพสท์โดย: บรุษเซ็กซี่
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
25 VOTES (4.2/5 จาก 6 คน)
VOTED: @-^-LvMinG-^-@, กอกระดุม, พระเจ้ามายา
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ทบ.มีคำสั่งให้ พล.ท.ณรงค์ สวนแก้ว เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก ถูกย้ายจากตำแหน่ง หลังเกิดกรณีซ้อมที่รุนแรงแอฟ ทักษอร และ นนกุล คู่รักสุดอบอุ่น รับบทช่างภาพคู่ เฝ้ากองเชียร์ น้องปีใหม่ โชว์ความสามารถบนเวที
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
'ไทเลอร์ ติณณภพ' ลูกชาย 'ธานินทร์' ดาวเด่นยุค 80 สู่พระเอกยุคใหม่"วิธีใช้รีโมทแอร์ในโหมดต่าง ๆ เพื่อประหยัดค่าไฟฟ้า
ตั้งกระทู้ใหม่