บัณเฑาะก์มี ๕ ชนิด(องค์โคดมทรงห้ามกระเทยบวชจริงหรือ?!?)
บัณเฑาะก์ใดเอาปากอมองคชาตของชายเหล่าอื่น ถูกน้ำอสุจิรดเอาแล้ว ความเร่าร้อนจึงสงบไป บัณเฑาะก์นี้ชื่อ อาสิตตบัณเฑาะก์
บัณเฑาะก์ใดเห็นอัชฌาจารของชนเหล่าอื่น เมื่อความริษยาเกิดขึ้นแล้ว ความเร่าร้อนจึงสงบไป บัณเฑาะก์นี้ชื่อ อุสุยยบัณเฑาะก์
บัณเฑาะก์ใดมีอวัยวะดังพืชทั้งหลาย ถูกนำไปปราศแล้วคือ ถูกเขาตอนเสียแล้ว ด้วยความพยายาม๑-บัณเฑาะก์นี้ชื่อ โอปักกมิยบัณเฑาะก์
บางคนข้างแรมเป็นบัณเฑาะก์ ด้วยอานุภาพแห่งอกุศลวิบาก แต่ข้างขึ้น ความเร่าร้อนของเขาย่อมสงบไป นี้ชื่อว่า ปักขบัณเฑาะก์
บัณเฑาะก์ใดเกิดไม่มีเพศ ไม่มีภาวรูป ในปฏิสนธิทีเดียว คือไม่ปรากฏว่าชายหรือหญิงมาแต่กำเนิด บัณเฑาะก์นี้ชื่อ นปุงสกบัณเฑาะก์
ในบัณเฑาะก์ ๕ ชนิดนั้น อาสิตตบัณเฑาะก์และอุสุยยบัณเฑาะก์ ไม่ห้ามบรรพชา
๓ ชนิดนอกนี้ห้าม แม้ในบัณเฑาะก์ ๓ ชนิดนั้น สำหรับปักขบัณเฑาะก์ ห้ามบรรพชาแก่เขาเฉพาะปักข์ที่เป็นบัณเฑาะก์เท่านั้น
[เรื่องเพศชายกลับเป็นเพศหญิง](ปักขบัณเฑาะก์) จาก อรรถกถา ปฐมปาราชิกสิกขาบท
ในเรื่องที่ ๑๔ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
สองบทว่า อิตฺถีลิงฺคํ ปาตุภูตํ ความว่า เมื่อภิกษุนั้นหยั่งลงสู่ความหลับในเวลากลางคืน อวัยวะทั้งปวงมีหนวดและเคราเป็นต้น ซึ่งเป็นทรวดทรงของบุรุษหายไป ทรวดทรงของสตรีเกิดขึ้นแทนที่.
หลายบทว่า ตญฺ...ว อุปชฺฌํ ตํ อุปสมฺปทํ ความว่า เราอนุญาตอุปัชฌายะที่เธอเคยถือมาแล้วในกาลก่อนนั่นเอง (และ) การอุปสมบทที่สงฆ์ทำไว้ในกาลก่อนเช่นกัน.
อธิบายว่า ไม่ต้องถืออุปัชฌายะใหม่ ไม่ต้องให้อุปสมบทใหม่.
สองบทว่า ตานิ วสฺสานิ ความว่า เราอนุญาตให้นับพรรษา จำเดิมแต่อุปสมบทเป็นภิกษุมานั้นนั่นแล.
อธิบายว่า ไม่ต้องทำการนับพรรษา ตั้งแต่เพศกลับนี้ไปใหม่.
สองบทว่า ภิกฺขุนีหิสงฺกมิตุ ํ ความว่า ทั้งเราอนุญาตให้ภิกษุณีนั้นไปด้วยกัน คือสมาคมกัน พร้อมเพรียงกันกับภิกษุณีทั้งหลาย.
มีคำอธิบายตรัสไว้ดังนี้ว่า
บัดนี้ นางภิกษุณีนั้นไม่ควรอยู่ในท่ามกลางภิกษุทั้งหลาย จงไปยังสำนักนางภิกษุณี แล้วอยู่ร่วมกับนางภิกษุณีเถิด.
หลายบทว่า ยา อาปตฺติโย ภิกฺขูนํ ภิกฺขูนีหิ สาธารณา ความว่า อาบัติเหล่าใดเป็นเทสนาคามินีก็ตาม เป็นวุฏฐานคามินีก็ตาม ที่ทั่วไปแก่ภิกษุกับนางภิกษุณีทั้งหลาย.
หลายบทว่า ตา อาปตฺติโย ภิกฺขุนีนํ สนฺติเกวุฏฺฐาตุ ํ ความว่า เราอนุญาตให้ทำวินัยกรรมซึ่งเหล่าภิกษุณีพึงทำแล้วออกจากอาบัติเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ในสำนักของนางภิกษุณีทั้งหลาย.
หลายบทว่า ตาหิ อาปตฺตีหิ อนาปตฺติ ความว่า ส่วนอาบัติเหล่าใดมีสุกกวิสัฏฐิเป็นต้นของพวกภิกษุ ซึ่งไม่ทั่วไปด้วยนางภิกษุณีทั้งหลาย, ไม่เป็นอาบัติด้วยอาบัติเหล่านั้น คืออาบัติเหล่านั้นเป็นอันเธอออกเสร็จแล้วแล เพราะเพศกลับ. ถึงเมื่อเพศเดิมกลับเกิดขึ้นอีก คงเป็นอนาบัติแก่เธอด้วยอาบัติเหล่านั้นเหมือนกัน.
วินิจฉัยบาลีในเรื่องที่ ๑๔ นี้ มีเท่านี้ก่อน.
(หมายความว่า หากอยู่ในปักษ์ที่ภิกษุนั้นกลับเพศเป็นหญิง ตามบัญญัติพระวินัยต้องแจ้งให้ภิกษุอื่นทราบก่อนแล้วจึงพากันนำตัวไปส่งที่สำนักภิกษุณี เมื่อคืนสู่บุรุษเพศจึงกลับสู่สำนักภิกษุได้ตามปรกติ)
ส่วนวินิจฉัยท้องเรื่องนอกจากบาลี มีดังต่อไปนี้ :-
บัณเฑาะก์ใดเอาปากอมองคชาตของชายเหล่าอื่น ถูกน้ำอสุจิรดเอาแล้ว ความเร่าร้อนจึงสงบไป บัณเฑาะก์นี้ชื่อ อาสิตตบัณเฑาะก์
บัณเฑาะก์ใดเห็นอัชฌาจารของชนเหล่าอื่น เมื่อความริษยาเกิดขึ้นแล้ว ความเร่าร้อนจึงสงบไป บัณเฑาะก์นี้ชื่อ อุสุยยบัณเฑาะก์
บัณเฑาะก์ใดมีอวัยวะดังพืชทั้งหลาย ถูกนำไปปราศแล้วคือ ถูกเขาตอนเสียแล้ว ด้วยความพยายาม๑-บัณเฑาะก์นี้ชื่อ โอปักกมิยบัณเฑาะก์
บางคนข้างแรมเป็นบัณเฑาะก์ ด้วยอานุภาพแห่งอกุศลวิบาก แต่ข้างขึ้น ความเร่าร้อนของเขาย่อมสงบไป นี้ชื่อว่า ปักขบัณเฑาะก์
บัณเฑาะก์ใดเกิดไม่มีเพศ ไม่มีภาวรูป ในปฏิสนธิทีเดียว คือไม่ปรากฏว่าชายหรือหญิงมาแต่กำเนิด บัณเฑาะก์นี้ชื่อ นปุงสกบัณเฑาะก์
ในบัณเฑาะก์ ๕ ชนิดนั้น อาสิตตบัณเฑาะก์และอุสุยยบัณเฑาะก์ ไม่ห้ามบรรพชา
๓ ชนิดนอกนี้ห้าม แม้ในบัณเฑาะก์ ๓ ชนิดนั้น สำหรับปักขบัณเฑาะก์ ห้ามบรรพชาแก่เขาเฉพาะปักข์ที่เป็นบัณเฑาะก์เท่านั้น
[เรื่องเพศชายกลับเป็นเพศหญิง](ปักขบัณเฑาะก์) จาก อรรถกถา ปฐมปาราชิกสิกขาบท
ในเรื่องที่ ๑๔ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
สองบทว่า อิตฺถีลิงฺคํ ปาตุภูตํ ความว่า เมื่อภิกษุนั้นหยั่งลงสู่ความหลับในเวลากลางคืน อวัยวะทั้งปวงมีหนวดและเคราเป็นต้น ซึ่งเป็นทรวดทรงของบุรุษหายไป ทรวดทรงของสตรีเกิดขึ้นแทนที่.
หลายบทว่า ตญฺ...ว อุปชฺฌํ ตํ อุปสมฺปทํ ความว่า เราอนุญาตอุปัชฌายะที่เธอเคยถือมาแล้วในกาลก่อนนั่นเอง (และ) การอุปสมบทที่สงฆ์ทำไว้ในกาลก่อนเช่นกัน.
อธิบายว่า ไม่ต้องถืออุปัชฌายะใหม่ ไม่ต้องให้อุปสมบทใหม่.
สองบทว่า ตานิ วสฺสานิ ความว่า เราอนุญาตให้นับพรรษา จำเดิมแต่อุปสมบทเป็นภิกษุมานั้นนั่นแล.
อธิบายว่า ไม่ต้องทำการนับพรรษา ตั้งแต่เพศกลับนี้ไปใหม่.
สองบทว่า ภิกฺขุนีหิสงฺกมิตุ ํ ความว่า ทั้งเราอนุญาตให้ภิกษุณีนั้นไปด้วยกัน คือสมาคมกัน พร้อมเพรียงกันกับภิกษุณีทั้งหลาย.
มีคำอธิบายตรัสไว้ดังนี้ว่า
บัดนี้ นางภิกษุณีนั้นไม่ควรอยู่ในท่ามกลางภิกษุทั้งหลาย จงไปยังสำนักนางภิกษุณี แล้วอยู่ร่วมกับนางภิกษุณีเถิด.
หลายบทว่า ยา อาปตฺติโย ภิกฺขูนํ ภิกฺขูนีหิ สาธารณา ความว่า อาบัติเหล่าใดเป็นเทสนาคามินีก็ตาม เป็นวุฏฐานคามินีก็ตาม ที่ทั่วไปแก่ภิกษุกับนางภิกษุณีทั้งหลาย.
หลายบทว่า ตา อาปตฺติโย ภิกฺขุนีนํ สนฺติเกวุฏฺฐาตุ ํ ความว่า เราอนุญาตให้ทำวินัยกรรมซึ่งเหล่าภิกษุณีพึงทำแล้วออกจากอาบัติเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ในสำนักของนางภิกษุณีทั้งหลาย.
หลายบทว่า ตาหิ อาปตฺตีหิ อนาปตฺติ ความว่า ส่วนอาบัติเหล่าใดมีสุกกวิสัฏฐิเป็นต้นของพวกภิกษุ ซึ่งไม่ทั่วไปด้วยนางภิกษุณีทั้งหลาย, ไม่เป็นอาบัติด้วยอาบัติเหล่านั้น คืออาบัติเหล่านั้นเป็นอันเธอออกเสร็จแล้วแล เพราะเพศกลับ. ถึงเมื่อเพศเดิมกลับเกิดขึ้นอีก คงเป็นอนาบัติแก่เธอด้วยอาบัติเหล่านั้นเหมือนกัน.
วินิจฉัยบาลีในเรื่องที่ ๑๔ นี้ มีเท่านี้ก่อน.
(หมายความว่า หากอยู่ในปักษ์ที่ภิกษุนั้นกลับเพศเป็นหญิง ตามบัญญัติพระวินัยต้องแจ้งให้ภิกษุอื่นทราบก่อนแล้วจึงพากันนำตัวไปส่งที่สำนักภิกษุณี เมื่อคืนสู่บุรุษเพศจึงกลับสู่สำนักภิกษุได้ตามปรกติ)
ส่วนวินิจฉัยท้องเรื่องนอกจากบาลี มีดังต่อไปนี้ :-
เริ่มแรกในสองเพศนี้ เพศชายเป็นอุดมเพศ เพศหญิงเป็น...นเพศ เพราะเหตุนั้น เพศชายจึงชื่อว่าอันตรธานไป เพราะอกุศลมีกำลังรุนแรง, เพศหญิงปรากฏขึ้นแทน เพราะกุศลมีกำลังเพลาลง. ส่วนเพศหญิงจะอันตรธานไป ชื่อว่าอันตรธานไป เพราะอกุศลมีกำลังเพลาลง, เพศชายปรากฏขึ้นแทน เพราะกุศลมีกำลังรุนแรง. เพศทั้งสองอันตรธานไปเพราะอกุศล, กลับได้คืนเพราะกุศล ด้วยประการฉะนี้.
ก็ในบัณเฑาะก์ ๓ ชนิดนี้ บัณเฑาะก์ใดทรงห้ามบรรพชา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาบัณเฑาะก์นั้น ตรัสคำนี้ว่า อนุปสมฺปนฺโน นาเสตพฺโพ
บัณเฑาะก์แม้นั้น ภิกษุพึงให้ฉิบหายด้วยลิงคนาสนาทีเดียว
เบื้องหน้าแต่นี้ แม้ในคำที่กล่าวว่า พึงให้ฉิบหาย ก็มีนัยนี้เหมือนกัน
เพิ่มเติมได้ที่
[ต้องอาบัติเพราะนอนร่วมกับภิกษุผู้มีเพศกลับ]
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=01&i=48#ต้องอาบัติเพราะนอนร่วมกับภิกษุผู้มีเพศกลับ
[วิธีปฏิบัติกับภิกษุณีผู้มีเพศกลับ]
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=01&i=48#วิธีปฏิบัติกับภิกษุณีผู้มีเพศกลับ
จาก