ยาต้านHIV
อะแฮ้ม เผลอแป๊บเดียวก็กินยาต้านไวรัส HIV มาได้ 3 เดือนแล้วน๊า (นับแบบคร่าวๆตามวันที่ ) เราเริ่มยา วัน ที่ 18 มีนา ซึ่งเป็นวันครบรอบ 6 ปี ที่รู้ตัวว่าติดเชื้อ มาจนถึงวันนี้ก็ 19 มิ.ย ก็ตีว่า 3 เดือนเต็มแล้ว
ถ้าเป็นคนทำงาน ก็ผ่านช่วงทดลองงานแล้วหล่ะ ถ้าถามว่าอาการตอนนี้เป็นยังงัย ก็คงตอบได้ว่า อาการแพ้ยาต้านดีขึ้นมากแล้ว จากตอนที่เริ่มยาใหม่ๆ เรากินยา 3 ตัว คือ AZT+3TC+NVP แพ้ยาหนักมาก คลื่นไส้ วิงเวียน อาเจียนทั้งวัน กินอะไรไม่ได้เลย และ นอนนิ่งสนิท ไปไหนไม่ได้ อาการแบบนี้ประมาณ เดือนครึ่ง แต่ยังโชคดีที่ไม่แพ้ NVP ซึ่งจะทำให้ตัวไหม้ หรือ ตับอักเสบเฉียบพลันได้
ผลที่ได้ คือ น้ำหนักลดไปประมาณ 10 กิโล ผอมเพรียว โชคดีมาที่ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา ตุนน้ำหนักไว้เยอะมาก ก็เลยผอมสวย ไม่ผอมโทรม พอพ้นเดือนครึ่งไป อาการแพ้เริ่มดีขึ้น แต่.... อาการข้างเคียงของยาต้านตัวนึง คือ AZT มาเร็วมาก มันกดไขกระดูก จนระบบเลือดรวนเร ปกติเราก็เลือดจางอยู่แล้ว ตอนนี้ ยิ่งจ๊างจาง แถมเกล็ดเลือดต่ำ ปริมาณเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว ตกต่ำจนน่ากลัว บวกด้วย อาการซีด มือเท้าเย็นเจี๊ยบ ผมร่วงเหมือนโดนยาฆ่าหญ้า เล็บกลายเป็นสีดำ
หมอก็เลยสั่งเปลี่ยนยาโดยด่วนที่สุด ก็เปลี่ยนยาตอนกินยาชุดแรกได้ 2 เดือนอ่ะ ชุดต่อมา ก็ได้กินยาแบบรวมเม็ด คือ Gpo-Vir ประกอบด้วย D4T + 3TC+NVP ชุดนี้ไม่มีอาการแพ้ คือมันอาจจะแพ้มากจนเลิกแพ้แล้วหล่ะ แต่ก็ยังมี คลื่นไส้อาเจียน กินอะไรไม่ได้เป็นบางวัน ซึ่งเอาแน่เอานอนไม่ได้ ว่าวันไหนอาการนี้จะเกิดขึ้น
ทุกวันนี้ก็ยังเป็นแบบนี้อยู่ คือ บางวันก็ปกติดี แต่ก็กินอะไรได้ไม่ค่อยมาก บางวันก็แย่ ผะอืดผะอม คลื่นไส้ และ อาเจียน
ประสบการณ์ช่วงแพ้ยาหนักๆ ก็ทำให้ได้มีเวลาให้ตัวเองเยอะขึ้น หลังจากไปวุ่นวายในเรื่องคนอื่นมาซะนาน เพราะปิดมือถือยาวเลย ไม่สามารถรับรู้เรื่องคนอื่น หรือช่วยเหลือใครได้ เราตัวเองยังแทบเอาชีวิตไม่รอด
ประสบการณ์การอ้วกวันละหลายรอบ นี่ก็ทรมานสุดๆ เป็นการฝึกความอดทนอย่างสูง แต่ก็ได้เรียนรู้กลไกในร่างกายว่าทุกส่วนน่าจะเชื่อมต่อกัน เพราะเวลาอ้วก น้ำตา น้ำมูกจะไหลด้วย แล้วเรียนรู้ว่าในตาคนเรา มีเส้นใยอะไรไม่รู้ มันมักจะออกมาเวลาอ้วกมากๆๆ น้ำตาไหล แล้วเหมือนมีขี้ตาออกมา แต่ตอนเขี่ยออก มันเป็นเส้นยาวๆๆ เหมือนขนหมาเลย ก็เป็นเรื่องน่าค้นหา ว่า มันคืออะไรนะ แล้วอ้วกมากๆ ตาขาวจะขึ้นเป็นจุดเลือดสีแดงเล็กๆกระจายเต็มเลย ก็เก๋ไก๋ไปอีกแบบ
เรียนรู้อีกอย่างว่า ชีวิตเป็นของเราคนเดียว ไม่ว่ามีอาการอะไรเกิดขึ้น เราคือคนเดียวที่ต้องสู้ ต้องรับผลนั้น ไม่มีใครมาช่วยได้หรอก อย่างเราอ้วกแทบตาย ก็ไม่เห็นมีใครมาอ้วกเป็นเพื่อน มาลูกหลัง ลูบไหล่เลย อยู่คนเดียวตลอด จะมีก็แต่สายตาแห่งความห่วงใยของคนในครอบครัว และ สายตางงๆ ของบรรดาหมาๆ กับข้อความให้กำลังใจในเว็บ แต่ไม่มีใครช่วยเราอ้วกได้เลยนะ ต้องอ้วกเอง
ตลอด 6 ปี ที่รู้ว่าติดเชื้อมา เรามีภูมิคุ้มกันต่ำกว่า 100 มาโดยตลอด จริงๆต้องกินยาต้านมาตั้งแต่แรก เพราะภูมิคุ้มกันตอนแรก เราก็มีแค่ 69 แต่ตอนนั้น ไม่มีงานทำ ไม่มีเงิน และ รัฐก็ยังไม่ให้สวัดดิการยาฟรี ยาต้านเมื่อ 6 ปีก่อน เดือนละเกือบ 4 หมื่นนะ และบวกกับเห็นคนที่กินแล้วเหมือนผีมาก เลย คิดว่า ยอมตายเหอะ อย่าดิ้นรนเลย
ก็เลยอยู่เฉยๆ อยู่สบายๆๆมา 6 ปี โดยไม่เคยป่วย แต่ก็จะโดน หมอบางคน หรือ กลุ่มที่รณรงค์เรื่องยาต้าน กระทบกระเทียบ เรื่องไม่ยอมกินยาต้าน อยู่เป็นประจำ จนบางครั้งก็งงว่า การที่เรายังไม่กินยา นี่มันไปหนักอวัยวะส่วนใดของใครหว่า
จนตอนที่เราตัดสินใจกินยา เพราะคิดว่า ภูมิคุ้มกันเหลือแค่ 9 มันเสี่ยงมากไปนิดนึง และ ร่างกายเริ่มส่งสัญญานว่า ไม่ค่อยไหว เนื่องด้วยอาการภูมิแพ้กำเริบมากขึ้น แพ้อากาศหนักมาก เมื่อทั้ง ใจ และ กาย คิดตรงกัน ว่าได้เวลาทานยาแล้ว เราก็ไปหาหมอ บอกเองว่า พร้อมทานยาแล้วค่ะ
ตอนช่วงแพ้ยา อ้วกเช้า อ้วกเย็น ก็นึกถึงกลุ่มที่เชียร์ยาต้าน เหมือนกันนะ ว่า ตัวเองเชียร์ได้ พูดได้สิ เพราะไม่ต้องกินเอง ไม่ต้องแพ้ยา ไม่ต้องอ้วกเช้าอ้วกเย็น นี่หว่า จึงเป็นข้อสรุปได้ว่า "ชีวิต เป็นของเราเอง " ดังนั้น จะตัดสินใจอะไร ก็เลือกเอง คิดเอง
ที่เราทนกับการแพ้ยาได้ ก็เพราะเราเลือกจะกินเอง เมื่อเลือกเอง มันจะยอมรับผลต่างๆได้ง่ายขึ้นนะ คือถ้าเทียบกับ กินยา เพราะหมอสั่ง หรือ เพราะใครๆบอกให้กิน เวลาเจออาการแพ้หนักๆ มันคงทนไม่ได้ คงมัวโทษคนอื่นอยู่อ่ะ ดังนั้น เราตัดสินใจถูก ที่เราเลือกจะเชื่อตัวเอง เลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง แม้มันอาจจะเป็นทางที่ไม่ค่อยเหมือนคนอื่นไปบ้าง
ช่วงแพ้ยาก็มีอะไรตลกๆดี เราทานอะไรแทบไม่ได้เลย และอันที่อยากทานก็จะแปลกๆ อายจังถ้าจะบอกว่า อยากทาน น้ำจิ้มกุ๋ยช่าย อันที่มันเป็นซีอิ้วดำๆอ่ะ ซดเปล่าๆหมดถ้วยเลย กินไปหลายถ้วยเลยหล่ะ อิอิ ดีนะที่แพ้ยา ไม่ได้แพ้ท้อง ถ้าแพ้ท้องแล้วกินแบบนี้ ลูกคงออกมาตัวดำปี๋
เมื่อทานยาต้านแล้ว เสียงประชดประชันจากพลพรรครักยาต้านก็เงียบไป ไม่เห็นมาห่วงหาอาทรเราเลยแฮะ คงสบายใจแล้ว ยัยนี่กินยาต้านไปแล้ว แต่คราวนี้มีกลุ่มใหม่มาอีก ฝ่ายอนุรักษ์สมุนไพรไทย คราวนี้เราก็โดนว่า เรื่อง ไม่เห็นคุณค่าสมุนไพรไทย ไม่กินยาไทย(อันที่เค้าแนะนำ) เป็นทาสยาฝรั่ง อ่านไปก็งงไป จะเอายังงัยกะตูเนี่ย อะไรกันนักกันหนาฟ่ะ ยุ่งอะไรกับชีวิตเรานักเนี่ย
ก็ต้องมาอธิบายอีกว่า เราอ่ะลองมาเยอะแล้ว สมุนไพรลองมาไม่รู้เท่าไหร่ ลองเพราะอยากลอง อยากรู้ แล้วก็เลิกไปหมด เราใช้ชีวิตตามที่เราอยากทำ แล้วมันผิดเหรอ ที่เราไม่อยากลองยาของคุณอ่ะ ก็ไม่อยากอ่ะ ไม่มีเหตุผล ไม่อยากก็คือไม่อยาก เพราะจุดอ่อนของสมุนไพรพวกนี้คือ ไม่รู้ว่าผสมอะไรมาบ้าง ถามที่ไรก็บอกว่า มันเป็นความลับ แต่กินแล้วหายแน่นอน กลัวว่า มันจะหาย ตายไปเลยมากกว่านะ
ก็ตลกดี ได้เรียนรู้ว่า ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องมีคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ดังนั้นไม่ต้องสนใจมาก เชื่อตัวเองดีที่สุด ตัดสินใจเองดีที่สุด เพราะชีวิตเป็นของเรานี่ไม่ใช่ของใคร
แอบไปตรวจภูมิคุ้มกันมา ผลก็โอเคนะ ไวรัสเอชไอวี น้อยกว่า 50 ตัว คือนับไม่ได้แล้ว ภูมิคุ้มกันก็ค่อยๆเพิ่มจาก 9 มาเป็น 17 สำหรับคนอื่นอาจจะบอก ยี้มีแค่ 17 ตัว แต่ก็เป็นโชคดีของเรา ที่เรามีน้อยมาโดยตลอด ก็เลยไม่รู้สึกอะไรกับตัวเลข
ในขณะที่บางคน คร่ำครวญจะเป็นจะตายว่า ภูมิคุ้มกันตก เหลือแค่ 300 เอง จะทำยังงัย จะตายแล้วใช่มั้ย อืมมม เรามีไม่ถึง 100 มา 6 ปีกว่าแล้วมั้ง ยังไม่ตายเลย ทำไมเค้าไม่คิดว่า ว้าวดีจัง มีภูมิเหลือตั้ง 300 ตัวนะ "มีแค่" กะ "มีตั้ง" มันให้ความรู้สึกต่างกันน๊า เป็นเรามีไม่ต้องถึง 300 หรอก แค่เกิน 50 เมื่อไหร่ก็ฉลองแล้ว
อีกบทเรียนของผู้ติดเชื้อคือ "การพอใจในสิ่งที่ตนมี" "พอใจในสิ่งที่ตนเป็น" แล้วชีวิตจะมีความสุข ไม่ต้องไปเทียบกับคนอื่นมากหรอก จะทุกข์เปล่าๆนะ