กระเทยไทยแบกเป้ไปหลังคาโลกคนเดียวงบไม่เกิน 2 หมื่น ตอนแรก
กระเทยไทยหัวใจแบ๊ว เดินทางไกลด้วยรถจากหมอชิตไปถึงแดนหลังคาโลก
ทั้งชีวิตเคยเห็นหิมะแค่ในดรีมเวิลด์ จะไปญี่ปุ่นช่วงฤดูหนาวค่าเครื่องก็แพง
เกาหลีก็ไม่ชอบ เนปาลก็ดูจะโหดไป ยุโรปยิ่งไม่มีปัญญา ตัดสินในนั่งรถไปแชงกรีล่า
ด้วยงบ 18,000 นิดๆกับระยะเวลา 2 สัปดาห์ 4 เมืองแห่งยูนนาน
Started
15 เมษายน 2557 ที่เลือกเดินทางวันนี้เพราะไม่อยากพลาดเล่นสงกรานต์ในไทย
ก็แหม...ปีนึงมีโอกาสให้แค่สามวัน 13,14 จึงเป็นวันที่ฉันหักโหมเล่นสงกรานต์อย่างมาก
เจอแจ๊คพอตของแถมที่ไม่อยากได้จากสงกรานต์คือแป้งเข้าตา มาเป็นก้อนกรวดเล็กๆกลิ้งอยู่ในลูกตา
อาจจะเพราะแป้งไม่สะอาด วันที่ 15 เช้าวันเดินทางตื่นขึ้นมาพร้อมกับขี้ตาเกรอะกรัง(ยี้) ลืมตาไม่ขึ้น
ด้วยความที่เวลาน้อยมากเลยไม่ได้ไปคลินิกแต่อย่างใด เดินทางมันทั้งๆที่ผิดปกตินั่นแหละ
ทำให้การเดินทางช่วงแรก ตานี่แหละคืออุปสรรคที่น่ารำคาญที่สุด
ไม่มีความมั่นใจ
ยิ่งใกล้เวลาขึ้นรถที่หมอชิตเท่าไร ความมั่นใจฉันเหมือนจะลดน้อยลงตามระยะเวลา
ระหว่างนั่งรอเวลาขึ้นรถที่หมอชิตก็โทรถามเพื่อนสนิท"กุไปดีป่ะวะ... กุกลัวไม่รอดว่ะ"
อิเพื่อน$%#*)(*()(_+$# "ไปๆเหอะ อุตส่าเตรียมตัวมาตั้งหลายเดือนเพื่อวันนี้"
หลังจากวางสายจากอิเพื่อน หยิบสมุดจดบันทึกเล่มเก่ากึกจะพังมิพังแหล่มานั่งเช็คแผน
เริ่มรู้สึกว่าทำไมแผนการเดินทางดูกลวงๆ เหมือนไม่มีส่วนสำคัญ โทรหาเพื่อนอีกรอบ
"...แล้วถ้าการเดินทางมันไม่เป็นตามแผนหละ"
"กุว่าไม่มีแผนแมร่งน่าสนุกกว่า"
"อ้าวหรอ เออตามนั้นงั้นกุฉีกแผนทิ้ง เดินทางตามอารมณ์ละกัน" วางสาย
ระหว่างรอเวลารถ ซึ่งก็รอมานานละอีกแค่ไม่กี่นาทีก็จะถึงเวลา 19.00 น. ล้อหมุน
ก่อนจะไปที่รถฟังเพลง หาอินสไปเรชั่น เลือกหยิบเพลงนี้เดินทางไปด้วย
เพราะเพลงนี้เล่าถึงการเดินทางของคนๆนึง ว่ามันเปลี่ยนแปลงคนๆนั้นอย่างไร
หนึ่งคืนที่เปี่ยมสุข
19.00 น. ไปขึ้นที่รถของบริษัทสมบัติทัวร์ กรุงเทพ - เชียงของ
ราคา 688 บาท ถือว่าคุ้มมากๆ ของแจกเพียบทั้ง ขนม,น้ำผลไม้,น้ำเปล่า,กาแฟตอนเช้า
หลับสบายยาวๆ 7 โมงเช้าก็มาถึงเชียงของ ออกมาจากรถงงๆงวยๆแปปนึง ล้างหน้า ล้างตา
สะพายกระเป๋าหารถไปที่ท่าเรือ ตามรีวิวที่ดูไว้เอ๊ะ!! เดี๋ยวก่อนนะรีวิวที่ดูไว้มันรีวิวเมื่อไหร่กัน
มันหลายปีแล้วนี่นา หลังจากถามชาวบ้านแถวๆนั้นได้ความว่าต้องไปด่านใหม่เพียงหนทางเดียว
เพราะด่านเก่าที่เป็นท่าเรือ ใช้เข้าออกวันต่อวัน เดินไปถามราคารถเหมาหน้าขนส่งราคาชวนตกใจ!!!
150 บาท "เอาไงดีฟระ ราคาแพงชิบ" มองซ้ายมองขวาไม่เจอใครเลยตัดสินใจเหมาทั้งน้ำตา
เริ่มมีอาคารพาณิชย์มาสร้างใกล้ๆด่าน ตอนรับ AEC
ของใหม่สวยสดงดงาม เจ้าหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส
เมื่อข้ามด่านไทยมาก็จะต้องซื้อตั๋วรถราคา 25 บาท เพื่อนั่งไปด่านลาว
ประมาณห้านาทีก็ถึงด่านลาวกรอกใบเข้าเมืองเรียบร้อย ฉันเริ่มสับสนอีกครั้ง
เพราะว่าไม่เคยศึกษาเส้นทางนี้มาก่อนจะขึ้นรถไปจีนยังไงตรงไหนไม่รู้เลย
ถามทางคนที่ด่านได้ความว่าออกจากด่านลาว จะมีรถคันสีฟ้าๆนั่งไปโรงแรมวังทอง
อยู่ใกล้ๆกับท่ารถลาว-จีน ค่ารถ 100 บาท(แพงอีกแล้ว)
สภาพสถานนีขนส่ง คนน้อยจนแทบไม่มีใครในวันที่ 16 เมษายน
มาถึงที่ขนส่ง 9 โมงนิดๆ หัวใจสลาย เพราะรถห้วยทราย-สิบสองปันนาเพิ่งออกไป
มีแค่รอบเดียวด้วย มีแต่รถห้วยทราย-คุนหมิง หลายคนที่เคยรีวิวไว้อาจจะเปลี่ยนไปคุนหมิง
แต่ฉันอยากให้คุนหมิงอยู่อันดับท้ายสุดของทริปเลย เลือกที่จะตีตี๋วไปโมฮั่น"Mohan" แทน
ค่าใช้จ่าย 100 หยวน รถออก 10.30 น.
ภาพรถนอนจาก ห้วยทราย - โมฮั่นหรือบ่อหาน(ภาษาลาว)
ระหว่างทางผ่านภูเขาขึ้นและลงและขึ้นและลง ใช้เวลานานหลายชั่วโมงทีเดียว
กว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง
ได้งีบไปพักใหญ่ เวลาประมาณ 4 โมงรถมาก็มาถึงด่านลาว
ทำเรื่องออกจากด่านลาว จะมีรถชัตเตอร์บัสไปด่านจีนจอดรออีกฟาก
แต่ถ้าไม่ขี้เกียจเดินออกกำลังกายก็ได้ค่ะ ระยะทางไม่ไกลเกิน
ด่านจีนสถาปัตยกรรมสวยงามอลังการ เข้าไปทำเรื่องผ่านได้ง่ายดาย
นี่หรือคือโมฮั่น"Mohan"
เวลาเที่ยวคนเดียวสิ่งที่ต้องประสบพบเจอราวกับเพื่อนสนิทคือ
"ปัญหาเฉพาะหน้า" มันจะเกิดตลอดจนเราชินกับการแก้ไขเลยหละ
แต่นี่เป็นครั้งแรกๆที่ฉันเจอปัญหาเฉพาะหน้าเรื่องการต่อรถ โดยแทบจะ
ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่เลย หลังจากออกจากด่านจีนมาเดินออกมาเรื่อยๆ
เจอชุมชน ขนาดใหญ่พอสมควรตึกแถวมากมายร้านขายของเต็มไปหมด
นี่เป็นเขตประเทศจีนแล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อก้าวเท้าเข้าเขตจีนคือ
"ภาษา" ปัญหาอันใหญ่หลวง เพราะคนตามต่างจังหวัดไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ
แม้ว่าเราจะใช้ภาษาที่ง่ายขนาดไหนเค้าก็ไม่เข้าใจ ภาษามือและท่าทาง
รูปภาพ มีอะไรที่พอจะช่วยได้หยิบออกมาจากกระเป๋าให้หมด
ฉันเดินตรงไปเรื่อยๆ พร้อมถามทางเป็นระยะๆจนมาถึงสถานีขนส่ง
ออกจากด่านจีนมา เดินตรงเรื่อยๆมองขวาไว้จะมีสถานีขนส่งอยูค่ะ
สถานีขนส่งอยู่ติดถนนเป็นตึกแถวห้องเดียว ด้านข้างตึกมีซอยเข้าไป
ด้านในจะมีรถจอดอยู่ ลองถามว่าจะไปสิบสองปันนาตั๋วหมดอีกแล้ว
จากข้อมูลที่เคยผ่านๆตามา สามารถต่อรถได้ที่...ลา"Mengla"
ฉันซื้อตั๋วไปที่นั่นราคาไม่แพงเท่าไรแค่ 17 หยวน
สภาพรถเป็นแอร์ธรรมชาติ แถมคนขับขับรถสบายสไตร์มยุรา
ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่างเหยียบไม่เกิน 60 ทั้งๆที่ถนนดีและโล่งมาก
ในใจก็กลัวจะมืดเพราะว่านี่ก็เย็นแล้ว ได้แต่นั่งลุ้นตัวเกร็งขอให้ถึง...ลาเร็วๆ
มาถึง...ลาเรียบร้อยในเวลาประมาณ 6 โมงเย็นของจีน เวลาจีนจะมากกว่า
เวลาไทยหนึ่งชั่วโมง ฉันที่ยังเมาเวลาค่อยๆปรับนาฬิกาข้อมือ วิ่งเข้าไปที่ขนส่ง
ซื้อตั๋วรถไปสิบสองปันนา"Xishuangbanna"หรืออีกชื่อ จิ่งหง"่Jinghong"
ระหว่างทาง Mengla - Xishuangbanna
ความจริงต่างจากภาพถ่าย
รถโดยสารค่อยๆข้ามสะพานขนาดใหญ่ แสงสีตระกาลตา
ส่องเข้ามาทางหน้าต่างรถ แยงเข้าไปในตาฉัน ปลุกให้ตื่นจากภวังค์
ผลจากการเดินทางทั้งวัน ทำให้แบตร่างกายเหลือน้อยเต็มที ต้องการที่ชาร์ตด่วนๆ
เอ๊ะลืมไปอย่างนึง ทั้งวันที่เดินทางอาหารที่ฉันกินคือขนมปังกลมๆหนึ่งลูกและน้ำเปล่า
หนึ่งขวด ตอนนี้สภาพร่างกายเหนื่อยและหิวพร้อมจะเป็นลมได้ทุกเมื่อ แต่วิวทิวทัศน์
ที่แปลกใหม่สิบสองปันนา ช่วยผ่อนความหิวได้นิดหน่อย แสงไฟประดับตึกสูงในสิบสองปันนา
ส่องระยิบระยับ สีสันทั้งหมดมันสวยงามมากในความมืดราวกับจะดูดกลืนคนที่มองมัน
และแล้วรถก็มาหยุดที่ขนส่งของจิ่งหง ซึ่งมันจะมีขนส่งสองแห่งจากข้อมูลที่ดูมา
ขณะนั้นเวลาประมาณ สามทุ่มกว่าๆร้านรวงบางร้านเริ่มปิดถนนปิดไฟมืด ความกังวลเข้าครอบงำ
ทำไมมันไม่สวยไม่ง่ายเหมือนที่เราดูในรูปภาพรีวิวฟระ ถนนไหนคือถนนไหนจะต้องเดินไปทางไหน
เริ่มงงหลงทิศ ถามใครก็ไม่ได้เพราะไม่มีใครพูดภาษาเรา นาทีนั้นต้องขอบคุณ Google map
ที่ช่วยชีวิตเอาไว้เหมือนกับแสงสว่างส่องทาง และแล้วก็มาถึง Jinghong Passenger bus station
เข้าไปซื้อตั๋วไปต้าลี่วันพรุ่งนี้ ไปถึงหน้าเค้าเตอร์ปุ๊บคนขายบอกว่าให้มาวันพรุ่งนี้(เข้าใจเอาเองฟังไม่รู้เรื่อง)
ที่บัสเสตชั่นชั้นบนเป็นโรงแรมด้วย กะเช็คอินเข้าพักปรากฏว่า เต็ม!!! เอาหละค่ะงานเข้าซ้ำซ้อนไม่มีข้อมูลโรงแรม
ที่เมืองนี้เลย ในขณะที่กำลังยืนงงเกาหัวรังแคหลุดอยู่นั้นมีผู้ชายคนนึงทำงานที่สถานีขนส่งนี้บอกว่ามีโรงแรมว่าง
จะพาไป สวิสต์ระวังภัยในตัวดังขึ้น"จะเชื่อได้มั้ยเนี่ย" "จะหลอกเราป่ะวะ" แต่ตอนนั้นไม่มีตัวเลือกแล้วลองตามๆไปดู
เดินทะลุซอยมืดๆเข้ามาที่โรงแรมเล็กๆแห่งนึง ตรงข้ามกับสถานีขนส่ง
สภาพห้องเปิดราคามาที่ 100 หยวน
แพง!!!ไปค่ะต่อๆ เป็นโรงแรมบ้านๆไม่ใหญ่ ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้เลย
พยายามๆอยู่หลายนาทีในการบอกรีเซ็ปชั่นว่า100หยวนแพงไป สวรรค์ก็มาโปรด
ส่งหนุ่มน้อยรูปหล่อ เดินเข้ามาพร้อมภาษาอังกฤษก็บอกเค้าไปว่าเราจ่ายไม่ไหว
ลดให้หน่อยได้มั้ย? เค้าก็เป็นล่ามคุยให้ สรุปได้ 60หยวน กราบบ
คืนนั้นกินมาม่าจีนรสชาติไม่ไหวจะเคลียร์ กินไปได้ครึ่งนึงโยนทิ้ง
คือแรกกับการนอนที่ต่างประเทศคนเดียว พยายามคิดถึงชีวิตในวันต่อๆไปว่าจะเป็นยังไง
ถึงจะมีเรื่องให้ต้องกังวลและแก้ปัญหาเรื่อย แต่ฉันเริ่มรู้สึกสนุกขึ้นมานิดๆแล้วหละ
นาฬิกาปลุกเสียงดังตอนหกโมง ฉันงัวเงียตื่นมาปิดไฟและทีวีที่เปิดคาไว้เป็นเพื่อนตั้งแต่เมื่อคืน
อาบน้ำแต่งตัวลงไปซื้อตั๋วไปต้าลี่ตามแผนที่วางไว้ ฉันเช็คเอาท์ออกตอนเจ็ดโมง
เดินมาที่สถานีขนส่งซึ่งอยู่ไม่ไกลมาก พอมาถึงปุ๊บต้าลี่รถไม่มีแล้ว ถึงกับช๊อค!!
โอ้วม่าย!!!! จะต้องค้างที่นี่อีกคืนหรอ? หรือจะต้องเปลี่ยนไปคุนหมิง? เอาไงดีๆ
หลังจากเดินวนไปวนมา คิดจนสมองแทบแตกอยู่นานเหลือบไปเห็นรูปแผนที่ขนาดใหญ่
ที่สถานนีขนส่งนี้มีรถไปถึง ทั้งหมดเป็นภาษาจีนแต่พอจะเดาได้จากแผนที่ว่าจะต้องมีรถ
ไปที่ลี่เจียงแน่ๆเลยเปลี่ยนแผนไปลี่เจียงปรากฏว่ามีรถ รู้สึกตัวเบาเหมือนปลดทุกข์ทันที
ซื้อตั๋วไปลี่เจียง 276 หยวน รถออก 9.30 น. ที่ตั๋วไม่มีบอกว่าจะไปถึงลี่เจียงเมื่อไร
ดูจากแผนที่ระยะทางค่อนข้างไกลอยู่ ระหว่างนี้พอมีเวลาเหลือเลยไปเตร็ดเตร่ในสิบสองปันนา
อ่านๆดูเหมือนสถานการณ์ต่างๆมันดูง่ายๆ จริงๆมันซีเรียสมากเลยนะคะ
ตอนหารถไม่ได้เนี่ย ตัวคนเดียวไม่รู้จะไปปรึกษาใครเลย
ย่านการค้าทันสมัย มีห้างใหญ่ๆเยอะเหมือนกัน
ถนนบางเส้นต้นไม้ร่มรื่นมาก
ตอนเช้าห้างยังปิดอยู่ ทั้งๆที่เมืองขนาดไม่ใหญ่มากแต่ตึกสูงๆเต็มไปหมด
ได้ยินมาว่าสิบสองเป็นสถานที่ที่พอมีคนพูดไทยได้ เพราะวัฒนธรรม
ต่างๆจะมีความเป็นไทยมาผสม เห็นได้จากป้ายรถเมล์ที่ศิลปะคล้ายบ้านเรา
แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นใครพูดไทยได้เลย นอกจากคนไตลื้อที่พอพูดไทยได้
แต่มันก็ไม่ใช่ภาษาไทยเลยอ่ะ บางทีฟังแล้วกว่าจะเข้าใจใช้เวลานาน
เดินไปเดินมาท้องเริ่มร้อง ผ่านร้านนึงคนเยอะเลยลองดู
คุยไม่รู้เรื่องด้วยจิ้มๆเอา ได้เจ้าเสี่ยวหลงเปาช่วยชีวิตไว้
อร่อยน้ำตาแทบไหล ถ้าเป็นการ์ตูนเกี่ยวกับการทำอาหาร
ตอนคีบเจ้านี่เข้าปากคงมีฟ้าผ่าด้านหลังฉัน แป้งบางๆไม่หนามาก
ด้านในเป็นหมูสับกับเครื่องเทศและน้ำซุปข้นๆ กินไปฟินไป
ไม่รู้ว่าท่าโพสนี้หมายถึงอะไรแต่ตลกดี วิ่งมาถ่ายรูปเกาะกลางถนน(รถจะชนตาย!!)
ยังปรับความเคยชินจากบ้านเกิดไม่ได้ รถที่นี่วิ่งเลนขวาเลยยังงงๆ
เดินไปเรื่อยๆเจอสวนสาธารณะ มีสระน้ำใหญ่โตกลางเมือง
อย่างที่บอกชอบเมืองที่ต้นไม้สูงๆแบบนี้มาก อยากเห็นแบบนี้ที่ไทย
มีกลุ่มอาม่าออกกำลังกายตอนเช้าด้วย
ชีวิตหลายชีวิตเริ่มเคลื่อนไหว ไปๆมาๆมันก็ไม่ต่างกับอารมณ์ชีวิตคนเมือง
ทางเท้าสวยมาก เดินแล้วไม่รู้สึกเหนื่อยเลย
สวนกลางเมือง เหมือนป่าดึกดำบรรพ์ต้นไม้สูงๆเขียวๆ
ใกล้เวลารถออกฉันรีบเดินไปขนส่ง ระหว่างทางคิดว่าควรจะซื้อน้ำติดไปด้วย
อยู่บนรถอาจหิวน้ำ เลยซื้อชานมกับน้ำเปล่า ชมนมหอมอร่อยรสละมุนละไม
รถนอนไปลี่เจียง"Lijiang" ฉันไม่รู้เลยว่าต้องอยู่บนรถนานแค่ไหน ทางที่ไปเป็นยังไง
และนั่นแหละด้วยความสะเพร่าของฉันเองทำให้น้ำเป็นอาหารเพียงอย่างเดียว
ตลอดระยะเวลา 22 ชั่วโมงบนรถ โดยรถจะถึงลี่เจียงวันพรุ่งนี้ตอนเจ็ดโมง
ฉันต้องนอนยาวๆ ผ่านภูเขามากมายโค้งแล้วโค้งเล่า กว่าจะถึงลี่เจี่ยงเล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน
ที่ลี่เจียงเนี่ยแหละสถานที่ๆพาฉันไปพบเจอกับเรื่องราวมากมาย ทั้งสุข เศร้า เหงา เสียน้ำตา
ลี่เจียงเท่าที่รู้
สภาพสลึมสลือบนรถนอนจากสิบสองปันนา-ลี่เจียง หลับแล้วหลับอีก
ก็ยังคงไม่ถึงจุดหมาย ทำให้การนอนอยู่เฉยๆเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายมาก
สมองฉันเลยยุ่งเหยิงเป็นพิเศษ คิดนู่นนั่นนี่แก้เซ็งจนนึกถึงรีวิวนึงในพันทิป
ที่เขียนไว้ประมาณว่าลี่เจียงกู่เฉิงหรือ"Lijiang Old Town" เป็นเมืองที่สวยงาม
และโรแมนติคมาก ฉันหน่ะเป็นโรคแพ้ทางพวกเมืองเก่าซะด้วยสิเพราะว่าเมืองเก่า
ส่วนใหญ่จะเปิดไฟสวยๆตอนกลางคืน ทำให้โรคเหงาของคนเที่ยวคนเดียวกำเริบ
ฉันยังไม่เคยเห็นมันด้วยตาเลยไม่รู้ว่าฉันจะชอบมั้ย จะสวยเหมือนที่ใครต่อใครประใจรึเปล่า
คงต้องตัดสินด้วยตัวเองทันทีที่ถึงลี่เจียงในวันพรุ่งนี้ แต่เดี๋ยวก่อนนะฉันยังไม่ได้กินข้าวเลย
โดนทหารจีนเรียกตรวจ
อยู่ๆรถก็จอดชะงัก ฉันชะเง้อมองออกไปนอกหน้าต่างพบว่าตรงนี้คือด่านตรวจรถโดยสาร
มีทหารหลายคนขึ้นมาบนรถตรวจวีซ่า ตรวจบัตร ค้นทุกซอกทุกมุมของรถโดยสารหาสิ่งผิดกฏหมาย
ทั้งรถคุยกันเสียงดังไปหมดสักพักทหารคนนึงก็พุ่งตรงมาที่ฉันสาดภาษาจีนที่ฟังไม่เข้าใจมาชุดใหญ่
อะไรหละ? ทำหน้าเอ๋อๆมองซ้ายขวาสายตาวิงวองขอความช่วยเหลือให้ใครซักคนช่วยเป็นล่ามให้
ดูเหมือนจะไม่มีใครในใจ พี่ทหารทำท่าทางจะขอตรวจกระเป๋าฉันก็ส่งให้ไป ตรวจยันสมุดบันทึก
เปิดทุกหน้าเลย(บันทึกส่วนตัวจะมีภาพวาดตลกๆ อายจัง) หลังจากตรวจเสร็จเรียกฉันออกจากรถ
แค่คนเดียว คุณพระ!!!!!! อะไรอีกเนี่ยทำไมแค่ฉันคนเดียวหละ(นี่ตัวฉันผิดหรือไร ฉันต้องใช้หนี้กรรมให้คราย)
เรียกให้ไปเอากระเป๋าเป้ที่อยู่ด้านล่างรถออกมาตรวจ พี่แกก็ลื้อทุกซอกทุกมุมจริงๆหยิบนู่นนี่ออกจากกระเป๋า
(กลัวพี่แกหยิบกางเกงในออกมามาก) ตรวจเสร็จเรียบร้อยผ่านไปด้วยดีเดินทางต่อ ฉันจะต้องเจอสถานการณ์
แบบนี้อีกกี่ครั้งเนี่ย มันค่อนข้างซีเรียสเลยเหตุผลใหญ่ๆคือพูดกับใครไม่รู้เรื่องฟังไม่ออก
ครั้งแรกกับห้องน้ำวัดใจ
รถยังมุ่งหน้าต่อไปเรื่อยๆ จนมาจอดกลางหุบเขาทุกคนลงออกจารถหมด
ใช้การเดาได้ว่า พักทานข้าวและเข้าห้องน้ำ และนี่เป็นครั้งแรกๆที่ฉันเจอห้องน้ำสุดโหด
ห้องในชนบทปราบเซียนและวัดใจมากถ้าไม่ได้ปวดจนทนไม่ไหวจริงๆ ฉันไม่เข้าเด็ดขาด
พูดแบบนี้อาจจะนึกภาพไม่ออกว่ามันเลวร้ายขนาดไหน มันเลวร้ายมากเลยจนฉันไม่กล้าถ่ายรูป
ด้วยความเป็นเทยฉันไม่เคยยืนโถฉี่เพราะรู้สึกอับอายจะต้องเข้าห้องน้ำที่มีประตูตลอด แต่ที่นี่
ไม่มีประตูหรือแม้แต่ช่องกั้น ลักษณะเป็นรางยาวๆต้องยืนและหามุมอับสายตาเอง ฉันเดินเข้าไป
พบภาพนี้ เดินออกมาเลยค่ะ วนไปวนมาหน้าห้องน้ำสองสามรอบตัดสินใจเป็นไงเป็นกันวะ
เพราะเหลืองทางอีกไกลคงไม่มีโอกาสได้เข้าห้องน้ำบ่อยๆ ถ้าปวดฉิ้งฉ่องบนรถอาจจะแย่กว่านี้
เดินดุ่มๆเข้าไปในห้องน้ำกลั้นหายใจลึกๆ เพราะกลิ่นรุนแรงทำร้ายโสทประสาท
จนแล้วจนรอดฉันก็ทำได้สำเร็จ เย้!!
อุโมงค์ทะลุภูเขา
มองไปทางไหนก็จะเห็นแต่เกษตรกรรมหรือนาขั้นบันได
นมถั่วรสปะแล่มๆ
ช่วงที่รถจอดพักให้เข้าห้องน้ำ จะมีร้านค้าขายพวกเครื่องดื่มของกิน
และร้านอาหารถ้าจะให้บรรยายจะเป็นอาหารแบบแหยะๆหน่อย
ทุกคนเดินเข้าไปยกจานชามข้าวจากในครัวของร้าน มานั่งโต๊ะเดียวกัน
คนไม่รู้จักกินกับข้าวจานเดียวกัน ฉันดูตาปริบๆคิดว่าไม่กินดีกว่า
เพราะไม่รู้จะเริ่มต้นขอเข้าไปกินด้วยยังไงและไม่ค่อยมั่นใจว่าจะกิน
อาหารพวกนี้ได้(คือเป็นคนไม่ทานผักบางชนิด ค่อนข้างกินยาก)
หน้าตาอาหารและสภาพร้านค้าหรือเพิง ทำให้ฉันตัดใจจากอาหารมื้อนั้น
แม้ว่ากระเพาะจะส่งเสียงคร่ำครวญแค่ไหนก็ตาม เดินไปซื้อของ
แน่ใจเลยว่าเจ้าของร้านพูดอังกฤษไม่ได้หยิบนมมาปุ๊บเจ้าของร้านบอกราคา
เราก็พยักหน้าแล้วจ่ายไป 10 หยวน เค้าก็ทอนกลับมาให้ 5 หยวน
ไม่ค่อยมีคนเอะใจว่าเราเป็นต่างชาติ หน้าตาละม้ายคล้ายจีนๆ
นมรสชาติเหมือนผสมถั่วอะไรซักอย่างแต่ก็พอกินได้ไม่ได้อร่อยมากถือว่าประทังชีวิตแล้วกัน
หน้าสถานนีขนส่งลี่เจียง
เจ็ดโมงเช้ารถมาจอดที่สถานีขนส่งลี่เจียง จากการนอน 22 ชม.
ทำให้แอบปวดตามร่างกายนิดๆทั้งขาทั้งเอว แถมหิวข้าวด้วย
ฃพอก้าวเท้าออกจารถเท่านั้นหน้าชา ตัวสั่น อากาศตอนเช้าน่าจะ
อยู่ในระดับเลขตัวเดียวซึ่งมันหนาวมากๆสำหรับมนุษย์เขตร้อนอย่างฉัน
รีบหยิบเสื้อกันหนาวในกระเป๋าเป้ออกมาใช้แทบไม่ทัน
ถ้าของไม่เยอะมีแรงเดิน สามารถเดินจากขนส่งเข้าเมืองเก่าได้ค่ะ
ฉันเดินทางคนเดียวไม่คิดที่จะโบกแท็กซี่ส่วนหนึ่งเพราะกลัวจะโดนโกง
ทางออกที่ดีที่สุดคือ เดิน เดิน และเดินด้วยสองเท้า สำหรับวิธีเดินไปเมืองเก่าคือ
ออกมาหน้าสถานีขนส่ง หันหน้าออกเดินไปทางขวาเดินจนสุดถนนแล้วเลี้ยวซ้าย
เดินมาเรื่อยๆเจอสี่แยกเลี้ยวขวาอีกรอบ จะเห็นทางเข้าเมืองเก่าค่ะ
เดิน เดิน เดิน
ด้วยความที่คิดจะมาตายเอาดาบหน้า ไม่เคยจองโรงแรมอะไรเลย
อาศัย Walk in อย่างเดียวทำให้ฉันใช้เวลาเดินหาโรงแรมในเมืองเก่า
เกือบสองชั่วโมง ย้ำ!!เกือบสองชั่วโมง สิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตกนรก
คือกระเป๋าหนักประมาณห้ากิโลบนบ่า จนแล้วจนรอดก็หลงไปมาจนมาเจอ
โฮสเทลราคาเป็นมิตรกับแบ๊คแพ๊คกระเป๋าฟีบอย่างฉัน
ขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้ฉันพบใครบางคนที่นี่
ภายในล๊อบบี้
เพิ่งเคยนอนห้องDormครั้งแรกในชีวิต
โรงแรมคืนละ 35 Y คุ้มค่ามากสำหรับวิวชั้นสาม
เห็นภูเขาหิมะไกลๆ
หลงลี่เจียง
ไม่ใช่หลงรักแต่เป็นหลงทาง ลี่เจียงกู่เฉิง(เมืองเก่า)มีตรอกซอกซอยชนิดที่ว่า
เดินสามวันก็ไม่ทั่ว ฉันเพิ่งจะมาถึงในตอนเช้าของวันนี้แน่นอนว่าการเดินออกจากโฮสเทล
แล้วจะกลับมาที่โฮสเทลอีกเป็นเรื่องยาก โฮสเทลตำแหน่งค่อนข้างดีใกล้ใจกลางเมือง
ทำให้สามารถเดินออกมาหาของกินง่าย แต่ตอนนี้ฉันจำเป็นต้องทำความรู้จักกับลี่เจียง
โดยการสำรวจรอบๆ เดินหลงอยู่ซักพักจนมาเจอศูนย์อาหารที่มีแต่อาหารรูปร่างไม่คุ้นเคย
ฉันพยายามจะทำความรู้จักกับเมืองแปลกหน้า อาหารแปลกตา จนเดินมาเจออาหารชนิดหนึ่ง
รู้สึกคุ้นหน้าค่าตาเลยเลือกสั่งมากิน
ศูนย์อาหารตอนเกือบๆเที่ยง
สั่งเจ้านี่มากิน
แท่น แทน แท๊น มันคือข้าวผัดกุนเชียง
ไม่รู้ว่าทำจากเนื้อหมูหรือYak ที่แน่ๆราคาแพงยับเลยค่า 20 Y ถ้วยนิดเดียวเอง
แถมรสชาติจืดชืดสนิท กุนเชียงมีกลิ่นนิดๆ(เป็นอาหารยูนนานหรูๆมื้อแรกตั้งแต่มา)
ไม่ประทับกันตั้งแต่มื้อแรกเลย อย่างไรก็ตามยังมีสิ่งดีงามอยู่
มันดีย์อ่ะ รสชาติที่สุดของที่สุดความอร่อยที่ต้องลิ้มลองเมื่อมาเที่ยวโซนยูนนาน
มันคือปลาหมึกทอดธรรมดาๆในน้ำมันเยิ้มๆ ยกขึ้นมาคลุกเคล้ากับพริกจีน
เจือความเค็มนิดหน่อยด้วยผงชูรส กินแล้วฟินมีความสุขกลบความทุกข์
จากข้าวราคายี่สิบหยวนได้สบายๆ
ประตูเมืองฝั่งไหนสุดจะคาดเดา เพราะหลง!!!
หลงมาเรื่อยๆ
ไม่ได้เขียน ไม่รู้จะเขียนอะไรจริงๆ
มาอยู่ที่จตุรัสกลางเมือง จากตรงนี้เดินไปสระน้ำมังกรดำได้
แลนด์มาร์คสำคัญคือกงล้อ จุดนี้ถือเป็นจุดที่คนถ่ายรูปเยอะมากหามุมถ่ายกงล้อยากทีเดียว
สวย
แม็คยังเก่า
ซุ้มประตูทางเข้า เดินจากจตุรัสไม่นานก็มาถึงสระน้ำมังกรดำ
ซื้อบัตรผ่านราคา 80 หยวนเป็นค่าบำรุงเมืองเก่า หลังจากนั้นจะเข้ากี่ครั้งก็ได้
ถ้าจะเข้าภูเขาหิมะให้เอาบัตรบำรุงเมืองไปด้วย ถ้าไม่เอาไปต้องซื้อใหม่กระเป๋าจะฉีกเอา
ร้านขายของฝาก ส่วนใหญ่จะเป็นผ้า
ชอบมุมนี้
ถังขยะธรรมดาที่สวยไม่ธรรมดา
ฉันชอบเมืองที่เห็นความสำคัญของสิ่งเล็กๆ ถึงแม้บางสิ่งจะเล็กมาก
แต่ถ้ามีคนให้ความสำคัญมันก็จะกลายเป็นสิ่งเล็กๆที่สำคัญ แม้แต่ถังขยะ
ฉันยังอยากจะถ่ายภาพเก็บไว้ จะมีซักกี่ที่บนโลกนี้กันที่เราจะถ่ายภาพถังขยะ
เก็บไว้เชยชมอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ และที่นึ่คงเป็นหนึ่งในนั้น
มุมนั่งพัก
เดินเพลินๆ
สระน้ำมังกรดำเป็นสวนที่มีขนาดใหญ่มาก ฉันใช้เวลาที่กับที่นี่เยอะทีเดียว
เพราะอากาศที่ไม่ร้อน(แค่แดดแรง) เดินอยู่เป็นชั่วโมงแทบไม่มีเหงื่อไหล
อากาศดีๆกับทิวทัศน์สวยๆทำให้การเดินเล่นคนเดียวมันไม่ได้เหงาอย่างที่คิดไว้
ใครบางคนเติมเต็มวันธรรมดาให้พิเศษ
นอกจากจะส่องทิวทัศน์ต่างๆ ฉันยังชอบส่องผู้คนอีกด้วย(ง่ายๆเผือกนั่นแหละ)
อยากเห็นรอยยิ้ม อยากเดาความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาเหมือนหนุ่มน้อยกับเพื่อนสาว
เห็นพวกเค้าคุยกันยิ้มมีความสุขอยากรู้ว่าพวกเค้าคุยอะไรกัน ถ้าฉันฟังเข้าใจคงจะดี
แต่แค่เห็นรอยยิ้มพวกนั้นฉันก็มีความสุขแล้วหละ พวกเค้าได้เติมเต็มวันธรรมดาของฉัน
ให้มันพิเศษโดยที่เราไม่ต้องรู้จักกัน ทุกคนเติมเต็มความสุขกันได้ด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
คุณลุงๆน้าๆ เล่นกันอย่างจริงจัง
^__^
ทางไปไหนก็ไม่รู้ แอบเสียใจที่ไม่ได้เดินขึ้นไปถ้าขึ้นไปคงรู้ว่ามันไปที่ไหน
หน้าต่างลวดลายจีนๆ
หลังจากเดินเล่นมาเป็นชั่วโมง ร่างกายฉันเริ่มงอแงนิดหน่อยอาจจะเพราะแดดที่แรง
กับอากาศเย็นมันไม่สมดุลกันทำให้มนุษย์เส้นศูนย์สูตรมีอาการปวดหัวตัวร้อนนิดๆ
แต่ไม่ร้ายแรง แค่ต้องกินยาพาราดักไว้เรื่อยๆ(ควรเตรียมยาพารามาหลายๆเม็ด)
ตลอดทริปยาพาราสองแผงหมดเรียบ ไม่คิดจริงๆว่าใช้เยอะขนาดนี้
ฉันกะว่าจะเดินกลับไปโฮสเทลนอนพักซักงีบแล้วตื่นมากินข้าวเย็น
เดินกลับทางเดิม
ด้วยความที่ไม่ระวัง ฉันทำฝากล้องตกลงไปในลำธารหัวใจจะวาย
ทำไมหน่ะหรือเพราะกล้องมันเป็นของที่บ้าน ถ้าฉันทำชิ้นส่วนหายหรือบิดเบี้ยว
โดนเชือดแน่นอน วิ่งตามฝากล้องที่ถูกน้ำพัดมาติดอะไรซักอย่าง
พยายามจะเอาไม้เขี่ยๆ จนแล้วจนรอดก็เขี่ยได้พาเอาใจหายใจคว่ำหมด
มีบริการขี่ม้าชมเมืองด้วยนะ เห็นเกือกคุณพี่แล้วรู้สึกลำบากแทนเวลาขึ้นลงน้องม้า
กลับมาถึงที่พัก ฉันล้มตัวลงนอนยังไม่ทันจะหลับตามีเสียงๆหนึ่งดังขึ้นมา!
^$#^@*^* อาตี๋คนนึงทักฉันด้วยภาษาจีน(หน้าตูเหมือนคนจีนตรงไหนฟระคะ)
ฉันทำหน้าเอ๋อๆไม่เข้าใจ บอกไปว่าตัวเองเป็นคนไทย อาตี๋พยักหน้าหงึกๆแล้วพูดภาษาอังกฤษ
เฮ้อโล่ง นานๆจะเจอคนจีนที่พูดภาษาอังกฤษ อาตี๋เล่าให้ฟังว่ามีเด็กจากจุฬามานอนค้างที่นี่
แต่ออกไปแล้ว(สวนกันแค่นิดเดียวเอง) หลังจากนั้นฉันก็กลายเป็นจุดสนใจของทุกๆคนในห้อง
เพราะเป็นชาวต่างชาติคนเดียว ฉันได้ยินพวกเค้าคุยกันเกี่ยวกับฉัน(มีคำว่าไท่กั๊วแปลว่าคนไทย)
แล้วก็คุยอะไรกันซักอย่างหัวเราะกันทั้งห้อง ฉันนั่งยิ้มแหยๆหัวเราะไปด้วยๆทั้งๆที่ไม่เข้าใจนั่นแหละ
พระอาทิตย์ตกสองทุ่ม
ฉันกับอเล็กซ์และหนึ่งคืนที่อบอวลไปด้วยความสุข
ฉันเองก็ไม่รู้ว่าคนเราพบกันสนิทกันได้ยังไง อะไรที่พาให้เราตัดสินใจ
ที่จะเดินร่วมทางไปกับคนแปลกหน้า และนี่คือจุดเริ่มต้นของฉันกับเพื่อนจีนคนแรก
ในโฮสเทลมีเด็กมหาลัยสามคนอายุใกล้ๆกัน คือฉันกับอีกสองคน
คนแรกเป็นหนุ่มจากมหาลัยฉงชิ่งหน้าตาเนิร์ดๆใส่แว่นเรียนคณะบริหาร
ส่วนอีกคนเป็นหนุ่มตี๋นิสัยกวนๆขี้เล่นอารมณ์ประมาณวัยรุ่นเกรียนๆ
ขณะที่ฉันกำลังนั่งตัดสินใจว่าจะกินข้าวที่ไหนดีหนุ่มแว่นก็เอ่ยปากทักขึ้น
ถามว่ามาจากกรุงเทพรึเปล่า? ชื่ออะไร? เป็นนักเรียนใช่มั้ย? คำถามมากมาย
ยิงกระหน่ำจากปากหนุ่มแว่นยิ่งกว่าปืนไรเฟิล ฉันแอบบอกหนุ่มแว่นไปว่า
ภาษาอังกฤษฉันง่อยมากเรียกได้ว่าอยู่ในขั้นโคม่า แต่หนุ่มแว่นหัวเราะบอกว่าไม่เป็นไร
หนุ่มแว่นแนะนำตัวว่าตัวเองชื่ออเล็กซ์ อเล็กซ์เล่าให้ฟังว่าตัวเองมาจากจังหวัดนึงทางตอนเหนือ
ของประเทศจีน ฉันจำไม่ได้แล้วว่าชื่อจังหวัดอะไร อเล็กซ์เล่าให้ฟังว่าที่นั่นมีภูเขาหิมะ
เยอะมาก เยอะจนอเล็กซ์เบื่อบรรยากาศอย่างนั้นไปเลย จนจับพลับจับผลูมาเรียนที่ฉงชิ่ง
ตอนนี้อยู่ปีสอง อเล็กซ์เอ่ยปากชวนฉันไปกินข้าว "ตกลง"ฉันตอบโดยไม่ผ่านการคิดอะไร
รู้สึกว่าเค้าไม่น่าจะใช่คนไม่ดีและฉันคิดถูก พวกเราสามคนมีหนุ่มจีนอีกคนมาด้วย
หนุ่มจีนอีกคนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ย้ำ!! ไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ฟังก็ไม่ออก
แต่นางพูด"สวัสดีครับ"ชัดแจ๋ว อันนี้แอบตลกในใจ ชื่อภาษาจีนของหนุ่มจีนคนนี้เรียกยาก
ยากซะจนฉันออกเสียงไม่ถูก ขอเรียกว่าอาตี๋แล้วกัน
เราสามคนเดินไปในเมืองยามดึก โดยอาตี๋เป็นคนอาสาพาไปทานมื้อค่ำ
ร้านที่เลื่องชื่อลือชาว่าอาหารอร่อยอาตี๋บอกสรรพคุณขนาดนี้ ชักอย่างจะลิ้มลองซะแล้ว
เราคุยกันโดยมีอเล็กซ์เป็นล่าม ทำให้คนที่ฉันพูดด้วยบ่อยสุดจึงเป็นอเล็กซ์เสียงของ
อเล็กซ์ดังก้องอยู่ในหัวตลอดเวลา ตอนนั้นฉันไม่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองคิดเลยซักนิด
พวกเราถ่ายรูปกันบ่อยมาก
อเล็กซ์ในมุมนี้...... >__< อร๊ายยย (จะเขิลทำไมฟระคะ)
ร้านคนเต็ม
พอมาถึงร้านปุ๊บสิ่งแรกที่เห็นคือเป็นร้านใหญ่ ที่นั่งทั้งชั้นหนึ่งและสองคราคร่ำไปด้วยผู้คน
โต๊ะทุกโต๊ะไม่มีที่ว่างเหลือสำหรับพวกเรา รออยู่ซักพักจนได้ที่นั่ง ฉันไม่เคยกินอาหารแบบนี้
นี่เป็นครั้งแรกมองเมนูเจอแต่ภาษาจีนตาปริบๆ ไม่รู้ว่าอันไหนอร่อยฉันจึงมอบอำนาจในการสั่ง
ให้กับอเล็กซ์ อาตี๋บอกว่าไม่หิวขอกินแค่น้ำ มื้อนี้จึงมีแค่ฉันกินกับอเล็กซ์สองคน
กว่าจะตกลงกันได้ว่าจะสั่งอะไรปาไปหลายนาที เพราะไม่รู้ว่าฉันจะกินอะไรได้บ้าง
อาหารอร่อย?
สั่งมาสองอย่าง อย่างแรกคือเต้าหู้ทอดสไตร์ยูนนาน มีพริกผสมผงชูรสให้จิ้ม
คำแรกๆนี่อร่อยมาก(อาจเพราะหิว) แต่หลังๆเวลาเรากินผงชูรสเยอะๆมันจะไม่อร่อย
แถมพริกก็เผ็ดจนลิ้นชา เครื่องเทศมันแปลกๆและไม่คุ้นเคยกับช่องปากเอาซะเลย
อย่างที่สองปลาทอด ปลาอะไรไม่รู้ก้างเยอะจริงๆ มีก้างอยู่แทบทุกส่วนของเนื้อ
ฉันพยายามจะเขี่ยๆก้างออก แต่ก็เจอก้างอีกเรื่อยๆจนเริ่มรู้สึกว่าเหมือนจะกินไม่ได้
อเล็กซ์เห็นฉันท่าทางหยิบหย่งเลยช่วยตักปลาให้ฉัน ตอนแรกก็ตกใจ
รีบบอกว่าไม่ต้องๆขอบคุณ คือเกรงใจมากที่เค้าต้องมาดูแลช่วยเรากินข้าวแบบนี้
ระหว่างนั่งกินข้าวกันเราสามคนก็คุยกันถึงแพลนวันรุ่งขึ้นว่าแต่ละคนจะไปไหนกันต่อ
อาตี๋เป็นคนมีอารมณ์ขันถึงฉันจะไม่เข้าใจว่าเค้าพูดอะไร แต่แค่เห็นท่าท่างกวนๆ
ก็พาให้บรรยากาศอาหารมื้อนี้ดีขึ้น
"อาหารเป็นยังไงบ้าง?" อเล็กซ์ถามฉัน ด้วยความที่จะตอบตามความเป็นจริง
ว่ามันไม่อร่อยเลย ก็กลัวเจ้าภาพจะเสียใจอุตส่าพามาฉันเลยตอบๆไปว่า
"อร่อยมาก!!!"ไม่ได้กัดฟันพูดจริงๆนะ) อเล็กซ์วางตะเกียบแล้วบอกว่า
"ไปหาอย่างอื่นกินเถอะ มันไม่อร่อยเลย" อ้าว!!ขนาดเจ้าบ้านยังบอกว่าไม่อร่อย
หรือว่าเราอาจจะสั่งผิดเมนู เมนูอื่นอาจจะอร่อยก็เป็นได้ อเล็กซ์เรียกเช็คบิล
ราคาอาหารสองจาน ข้าว น้ำ ราคารวมที่ 68 หยวนถือว่าแพงโหด
"คุณอยากไปเที่ยวบาร์มั้ย?" อเล็กซ์เอ่ยขึ้นถามฉัน
อาตี๋ที่เป็นคนต้นคิดบอกว่าถ้ามาที่ลี่เจียงควรจะเที่ยวผับ
เพราะผับที่นี่ชื่อเสียงโด่งดัง ฉันฉุกคิดไม่กี่นาทีจึงตอบตกลง
ที่คิดเพราะว่าพรุ่งนี้ต้องตื่นไปภูเขาหิมะแต่เช้ากลัวคืนนี้เที่ยวจนดึก
เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไม่มีแรงเที่ยว แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันตัดสินใจไปผับ
คงเป็นเพราะอยากใช้เวลาร่วมกับอเล็กซ์ให้นานขึ้นอีกนิดหน่อย
ทำไมถึงชอบถ่ายรูปอเล็กซ์?
ระหว่างเดินเล่นฉันกับอเล็กซ์แลกกันดูกล้องของกันและกัน เพื่อดูสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ
แอบอายๆที่กล้องของฉันภาพไม่สวยเท่ากล้องของอเล็กซ์
เริ่มเข้าใจว่าแสงไฟ อากาศหนาวๆ ผู้คน มีผลกับหัวใจของฉัน
จตุรัสกลางเมือง
จริงๆมันมีจัตุรัสสองที่ ที่แรกคือกังหันตรงนั้นก็มีเต้น ส่วนตรงนี้เป็นอีกที่นึงมีกิจกรรม
เต้นกลางเมืองเหมือนกัน เราสามคนมายืนรอดูกิจกรรมเต้นรำ ระหว่างรอฉันนึกถึงหนังไทย
เรื่อง"กวน มึน โฮ" แบบว่ามันจะมีปะวะคนแปลกหน้าเจอกันในสถานที่นึงแล้วตกหลุมรักกัน
ถ้ามันมีจริงๆฉันอาจจะตกหลุมรักฝ่ายเดียวก็ได้ ตอนนั้นเหมือนมีความรู้สึกพิเศษบางอย่าง
ก่อตัวขึ้นภายในหัวใจ มองอเล็กซ์บ่อยๆ ประทับใจสิ่งต่างๆในตัวเค้าที่ดูเป็นสุภาพบุรุษสุดๆ
เริ่มอยากจะตบหน้าตัวเองเบาๆก่อนที่จะมโนไปไกลกว่านี้
เต้นรำกับคนแปลกหน้า
มีผู้หญิงและผู้ชายแต่งชุดพื้นเมืองเดินออกมาจากตึกใกล้ๆกับลานจตุรัส
สปอร์ตไลท์ส่องไปที่ตรงกลางลานเต้น นักเต้นชายหญิงมายืนสแตนบาย
อู้หู อื้อหืม โอ้โห้ (จะอุทานอะไรนักหนา!!) ฉันคิดในใจว่ามันต้องเป็นการเต้น
ระบำแบบพื้นเมืองที่สวยงาม น่าจดจำแน่ๆเลย รอลุ้นด้วยความตื่นเต้นไม่นาน
เพลงก็ดังขึ้น what does the fox say!! ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง กรี้ด!! นี่มันอะไรกันคะ
ภาพระบำพื้นเมืองในหัวเมื่อครู่นี้หล่นลงมาพังกระจัดกระจายไม่มีชิ้นดี
ในจังหวะที่ได้ยินเพลง What does the fox say ต่อด้วย Gentleman
ไหงมันกลายเป็นเต้น Cover ไปได้หละนั่น
คนเข้ามามุงดูเยอะมาก
ถึงจะเต้นเพลงของชาติตะวันตก แต่ก็ยังมีเพลงพื้นเมืองมาผสมด้วยนิดหน่อย
ฉันคิดว่าที่ต้องมีเพลงตะวันตกอาจเป็นเพราะที่นี่มีนักท่องเที่ยวหลายเชื้อชาติ
และเป็นแหล่งที่คนเยอะจริงๆ ยิ่งตกดึกคนยิ่งเยอะจนบางจุดเบียดเสียดเลย
ถ้ามีเพลงตะวันตกอาจจะเรียกความสนใจจากคนชาติอื่นๆได้ ช่วงสุดท้าย
ที่การเต้นจบลงเป็นช่วงไฮไลท์ที่ให้ผู้ชมรอบๆได้เข้ามาร่วมเต้นรำ
อเล็กซ์กับอาตี๋ทั้งสองคนชวนฉันเข้าไปเต้น ฉันรีบปฏิเสธไปทันควัน
เพราะเรื่องเต้นสำหรับฉันมันยากยิ่งกว่าการเดินทางคนเดียวซะอีก
ถึงกระนั้นสองหนุ่มก็คะยั้ยคะยอบอกว่ามาทั้งทีควรเต้นนะ
ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดปฏิเสธเป็นครั้งที่สอง มืออุ่นๆของอเล็กซ์ยื่นมาจับมือฉันไว้แน่น
ลากฉันเข้าไปกลางจตุรัสที่เต็มไปด้วยผู้คน เราเต้นรำขยับขา หมุนเป็นวงกลม
ฉันจับมืออเล็กซ์ไว้แน่น พลางมองหน้า มองแสงไฟปล่อยหัวใจไปตามจังหวะเพลง
"นี่มันเหมือนในหนังโรแมนติคเลยนะ เต้นรำกับคนแปลกหน้าท่ามกลางแสงไฟ"
ไม่เสียงเพลงเงียบลงทุกคนแยกย้ายออกจากจัตุรัส อากาศยังเย็นเหมือนเดิม
แต่ไม่รู้ทำไมหัวใจฉันรู้สึกอบอุ่น หลังจากปล่อยมือจากอเล็กซ์ฉันได้แต่มอง
แววตาคู่นั้นพร้อมยิ้มแบบอายๆ ถ้านี่คือการคิดไปเองฉันก็ขอคิดไปแบบนี้แหละ
เพราะช่วงเวลานี้ฉันมีความสุขที่สุด อเล็กซ์คือส่วนเติมเต็มการเดินทางตัวคนเดียว
ของฉันให้มันมีความหมายมากขึ้น ฉันจะไม่ลืมคืนนี้ ที่ตรงนี้ ตลอดไป........
สองหนุ่มกับหนึ่งสาว(เทียม) เดินวนไปเวียนมาในเมืองเก่า
เพื่อหาผับสำหรับคืนนี้ซึ่งหายากมา เพราะเวลานี้เป็นช่วงพีคไทม์
คนแห่ออกมาดื่มกัน ในผับส่วนใหญ่จึงแทบไม่มีที่นั่งในโซนใกล้เวที
จะมีก็แต่ที่นั่งห่างไกลราวกับถูกเนรเทศมาอีกดินแดนนึงหรือไม่ก็ชั้นใต้ดิน
จนแล้วจนรอดโชคก็เข้าข้างพวกเรา ได้ผับย่านจตุรัสแถมมีที่นั่งไม่ไกลจาก
เวทีด้วย พอเข้ามาสำผัสได้ถึงอารมณ์ผับเลย ดนตรีตี๊บมากๆ ไม่ต่างจากไทย
จะมีก็แต่สิ่งแปลกปลอมเป็นไม้สีเหลี่ยมผืนผ้าลักษณะคล้ายกรับเครื่องดนตรีไทย
เจ้าสิ่งนี้มีเท่าจำนวนเก้าอี้ ทุกคนจะถือไว้คนละอันและเคาะๆๆโต๊ะตามจังหวะเพลง
ซึ่งมันประสบความสำเร็จมาก ฉันเคาะๆๆโต๊ะอย่างเมามันตามจังหวะเบส
อาตี๋รับหน้าที่เป็นเจ้ามือสั่งเบียร์และกับแกล้ม เบียร์ที่สั่งมาเป็นเบียร์ยี่ห้อ "Dali"
บรรยากาศเริ่มสนุกมากขึ้นเมื่อเบียร์เข้าปากและมีสองสาวมาผสมโรง
สองสาวรู้จักกับอาตี๋ที่ลี่เจียง ฉันไม่แน่ใจว่าพวกเขารู้จักกันยังไงอาตี๋เรียกพวกเธอมา
ร่วมโต๊ะด้วย ทั้งโต๊ะมีกันห้าคนสาวคนนึงดูท่าจะถูกใจอาตี๋เห็นหยอกกันไปมา
ส่วนอีกคนมีมีแฟนแล้วเพราะแฟนโทรเช็คตลอด ดูเหมือนทุกคนจะมีคู่กันหมด
มีแค่ฉันกับอเล็กซ์ที่ไม่มีใคร เรามองตากันปริบๆฉันนั่งข้างอเล็กซ์ที่นั่งแคบๆ
ทำให้เราได้ใกล้ชิดกันจนตัวชนกันเป็นอภิมหาความฟินของสาวช่างมโนอย่างฉัน
ทุกคนคุยกันเป็นภาษาจีนเจื้อยแจ้ว โดยนังคนไทยคนนี้ฟังอะไรไม่ออกเลย
อเล็กซ์บอกฉันว่าเราจะเล่นเกมกันเป็นเกมหยิบไม้จิ้มฟันทายตัวเลขทำนองนี้
คนที่แพ้ต้องกระดกเบียร์ แรกๆฉันยังงงๆกับกติกาเพราะผับเสียงดังได้ยินอเล็กซ์
อธิบายไม่ค่อยชัด พอเล่นไปเรื่อยๆชักเริ่มคล่องเราทั้งห้าคนหัวเราะกันคิกคัก
เกมไม้จิ้มฟันง่ายๆเชื่อมคนห้าคนไว้ด้วยกัน พร้อมกับเบียร์ช่วยปรุงแต่งให้เรา
มีความสุขง่ายๆขึ้น เกมดำเนินไปเรื่อยๆฉันจำได้ว่าอเล็กซ์ยิ้มบ่อยและรอยยิ้มนั้น
พาเอาใจละลายเลยทีเดียว
ด้านล่างเป็นร้านของของ ด้านบนเป็นผับแบบเปิดโล่ง
ภายในผับ ไม่ต่างจากประเทศไทยเท่าไร
เบียร์ & ป๊อปคอร์น
เพลงบรรเลงมาเรื่อยๆจนค่อยๆเงียบลง มีชายคนนึงเดินขึ้นมาบนเวที
พูดอะไรซักอย่างบิ๊วคนดูให้สนุก คนดูหัวเราะลั่นฉันถามอเล็กซ์ว่าเค้าพูดอะไร
อเล็กซ์บอกว่ามันเป็นตลกของจีนเธอไม่น่าจะเข้าใจ ฉันพอเดาได้ว่าคงคล้ายๆกับ
พระรามเก้าคาเฟ่ สักพักก็มีชายสูงอายุแต่งหญิงออกมารูดเสาโชว์และเล่นมุขตลก
ทุกคนในโต๊ะหัวเราะกันลั่น ทำให้ฉันยิ่งอยากรู้ว่าเค้าพูดถึงอะไร
ไม่นานหลังจากมีโชว์ตลกและมายากลผับก็ถึงเวลาที่ต้องปิด
อากาศด้านนอกหนาวประมาณสิบองศา ไม่หนาวมากสำหรับฉัน
ร้านรวงเริ่มปิดร้าน ไฟตามถนนในเมืองเก่าดับลงเกือบหมด
พวกเราบอกลาสองสาว อาตี๋อาสาพาไปส่ง(ฉันกะแล้วมองไว้ไม่ผิด)
เหลือแค่ฉันกับอเล็กซ์ที่ต้องเดินกลับโฮสเทลสองคน ขอบคุณสวรรค์
อเล็กซ์ดูไม่มีอาการเมาเลยสักนิด ผิดกับฉันที่เริ่มจะโซเซถึงกระนั้นก็
พยายามจะรักษาความมั่นคงไว้ กลัวเมาแล้วน่าเกลียด
บนถนนที่เกือบจะมืดสนิทมีแค่ฉันกับอเล็กซ์แค่สองคน
ทุกอย่างๆรอบๆตัวเงียบจนได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง
ราวกับว่าเมืองที่เคยมีชีวิตกำลังเข้าสู่ห้วงนิทรา
ท่ามกลางความเงียบบทสนทนาเล็กๆก็ผุดขึ้น
"เป็นยังไงบ้าง ประทับใจไหม?"
"อื้ม" ฉันพยักหน้า
"ตั้งแต่มาที่จีน นี่เป็นวันที่ฉันมีความสุขที่สุดเลย"
"ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะ" ฉันโค้งให้นิดหน่อย
"ไม่เป็นไรๆ พวกเราเป็นเพื่อนกัน" อเล็กซ์รีบรับคำขอบคุณ
"เธอเป็นเพื่อนคนจีน คนแรกของฉันเลยนะ"
"ฉันดีใจมากที่ได้รู้จักเธอ"
"ขอบคุณอีกครั้งสำหรับค่ำคืนที่แสนวิเศษนี้"
ฉันพูดจากใจจริง หรืออาจจะเมาเหล้าก็ได้ที่กล้าพูด
ประโยคเลี่ยนๆพวกนี้ พอมาคิดดูอีกทีโคตรอายอ่ะ
เราสองคนกลับมาถึงโฮสเทลแยกย้ายอาบน้ำเตรียมตัวนอน
สำหรับการเดินทางวันพรุ่งนี้ ฉันบอกฝันดีกับอเล็กซ์โดยที่
ไม่รู้จะพูดอะไรอีกเพราะพรุ่งนี้เราจะไม่เจอกันแล้ว
อเล็กซ์จะไปที่เมืองอื่นและฉันจะไปภูเขาหิมะ
ฉันหลับไปเพราะความเหนื่อยและอารมณ์ขุ่นมัว
พรุ่งนี้แล้วสินะที่เราต้องบอกลากัน
Me & Alex ภาพสุดท้ายของเรา
ติดตามตอนต่อไป......