ฮิจร่า (Hijra) กระเทย อินเดีย
ที่อินเดีย.......... จะมีกลุ่มผู้ชายแต่งหน้าทาปาก นุ่งชุดส่าหรี ใส่เครื่องประดับอย่างสวยงาม
พร้อมกับปรบมือเสียงดังเป็นจังหวะสลับกับการร้องเพลงเพื่อขอเก็บเงิน จากผู้โดยสารบนรถไฟ
บุคคลกลุ่มนั้นคือ ฮิจร่า ในสังคมอินเดียนั้น สามีจะดีใจเมื่อภรรยาคลอดบุตรออกมาเป็นชาย
เนื่องจากในคัมภีร์ มนู ของศาสนาฮินดูนั้นเชื่อว่าผู้ที่แต่งงานแล้วมีบุตรชาย เมื่อตายไปแล้ว พ่อ-แม่ จะไม่ตกนรกขุมปุตะ
แต่คนอินเดียนั้นจะไม่ ยอมรับเมื่อบุตรชายของเขานั้น เป็นชายไม่สมบูรณ์ ไม่ว่าจะทั้งร่างกายและจิตใจ
เด็กคนนั้นจะถูกขับออกจากบ้าน หรือไม่ก็หนี ไปอยู่ยังกลุ่มของ ฮิจร่า ให้ได้รับการดูแล
เขาจะถูกตัดขาดจากทางบ้านและจะไม่มีใครรู้จักเขาอีกต่อไป นี่เป็นวัฒนธรรมอินเดียที่สืบทอดกันมาหลายพันปีแล้ว
ชาวฮิจร่า จึงมักจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มเกื้อกูลช่วยเหลือกัน กลุ่มหนึ่งมีราว 5 คนหรือมากกว่านั้น โดยมี “กูรู” เป็นผู้นำ และมีกฏเกณฑ์ภายในกลุ่มของตนเอง และมีการสอนร้องเพลง เต้นรำ และกิจกรรมอื่นๆ เพื่อหาเลี้ยงชีพ
ฮิจร่า ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้รับการศึกษา ไม่สามารถหางานทำได้เพราะสังคมไม่ยอมรับ งานที่สามารถทำได้
คือ การอวยพรในวันเกิดของเด็กเกิดใหม่ การเต้นรำในงานแต่งงาน ซึ่งเป็นงานที่เป็นที่ยอมรับและให้เกียรติชาวฮิจระ อีกทั้งการรวมตัวเป็นกลุ่มไปขอเงินตามที่ต่างๆ
ร้านค้า หรือแม้แต่บนรถไฟ ซึ่งจริงๆ ก็เป็นเรื่องที่ผิดกฏหมาย เพราะเป็นการขู่กรรโชกทรัพย์
ประเภทหนึ่งนอกจากนั้นก็คือ การขายบริการทางเพศ ซึ่งชาวฮิจระมักถูกกระทำรุนแรงทางเพศในที่สาธารณะ
ในสถานีตำรวจ ในคุก อยู่เสมอ ทั้งยังขาดไร้ซึ่งสิทธิในด้านสุขภาพ การศึกษา ที่อยู่อาศัย อาชีพ กฎหมาย และระบอบการปกครองอื่นที่ไม่สามารถระบุพวกเขาได้ว่าเป็นเพศใด
พวกเรามักพบเห็นชาวฮิจร่า ได้ทั่วไปตามท้องถนน สถานีรถไฟ และที่สาธารณะต่างๆ ที่ทำการขอเงินจากผู้คนที่สัญจรไปมา
โดยเฉพาะผู้ชาย ถ้าถูกปฏิเสธ ชาวฮิจร่าก็จะพยายามทำให้ผู้ชายที่ตนขอเงินนั้นรู้สึกขวยอายต่อหน้าคนอื่นๆ
โดยกระทำการลามกต่างๆ อย่างเช่นการใช้มือล้วงจับอวัยวะเพศของตนแล้วเอามาป้ายที่หน้าคนคนนั้น
หรือใช้ภาษาที่หยาบคาย หรือล่วงล้ำทางเพศ บ้างก็ข่มขู่ที่จะโชว์ของลับให้ดูต่อหน้าถ้าไม่บริจาคเงินให้
ชาวฮิจร่าในอินเดียจึงมีภาพลักษณ์ในสองด้านที่ตรงกันข้ามกัน
1 .ด้านหนึ่งก็ถูกสังคมรังเกียจ ไม่ยอมรับ และสบประมาทด้วยคำเรียกต่างๆ พวกชอบขอเงินชาวบ้าน
2. อีกด้านกลับได้รับการยกย่องให้เกียรติเชิญมาอวยพรในวันเกิดทารกเพศชาย หรือมาแสดงดนตรี ร้องเพลง เต้นรำ ในงานแต่งงาน
ซึ่งเชื่อว่าจะนำโชคลาภและความอุดมสมบูรณ์มาสู่ครอบครัวนั้น เนื่องจากฮีจาร่านั้น บูชาเจ้าแม่ Bahuchara Mata เขาจึงมีความสามารถพิเศษ ที่ให้พรผู้คนต่าง ๆ ได้ โดยการกล่าวว่า “มีลูกชายเยอะ ๆ” ในบทเพลงอวยพรงานแต่งงานของ ฮีจาร่า เป็นบทเพลงแสดงความยินดีกับคู่บ่าวสาวให้มีความรักกันยืนยาว และมีลูกชายลูกสาวอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข พวกชั้นสูง มีคนนับถือ ให้พร และ สาป ใครก็ได้ ชาว บ้านนับถือ ว่า มีพระแม่ดูแล กลุ่มนี้อยู่
พระแม่พหุชระ หรือ พระแม่มาตากี ปรางหนึ่งของพระแม่อุมา นางโชไทยชอบนับถือกัน
พระแม่แห่ง เพศที่ สาม นั้นเอง
พระแม่มาตากี เป็นเทพองค์หนึ่งในศาสนาฮินดู พระองค์เป็นเทวีที่ได้รับการบูชาเป็นอย่างยิ่งจากคนกลุ่มหนึ่ง ที่เราเรียกกันว่าเพศที่สามครับ รูปลักษณ์ที่ปรากฏของพระองค์นั้น คือพระองค์จะทรงพาหนะเป็นไก่เพศผู้ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ ผู้ที่บูชาพระองค์จะต้องไม่ฆ่าสัตว์ และ ไม่มีพฤติกรรมที่ชั่วช้าต่างๆ เพราะเชื่อว่าเหตุเหล่านั้นนำมาซึ่งความรุนแรงและความหายนะ สัญลักษณ์ประจำพระองค์คือ พระหัตถ์ขวาบนทรงถือดาบ พระหัตถ์บนซ้ายถือพระคัมภีร์ พระหัตถ์ขวาล่างทรงแสดงมุทราประทานพร ส่วนพระหัตถ์ซ้ายล่างทรงถือตรีศูร พระองค์เป็นภาคปางหนึ่งแห่งพระแม่อุมาเทวีครับ ตามประวัติว่าทำไมเพศที่สามถึงบูชากันนัก มีอยู่หลายตำนานครับ
ตามประวัติว่าทำไมเพศที่สามถึงบูชากันนัก มีอยู่หลายตำนาน
ในคัมภีร์ รามายณะ ได้กล่าวถึงกลุ่มของ ฮีจร่า ว่าในขณะที่กลุ่มชนได้เดินทางไปส่งพระราม เนื่องจากพระรามต้องเดินทางไปอยู่บำเพ็ญพรตในป่าเป็นเวลานาน จนถึงชายป่า พระรามได้ตรัสกับกลุ่มชนว่า “ผู้ชาย ผู้หญิงทั้งหลาย ให้กลับไปบ้านของเจ้าเถิด” กลุ่มชนเหล่านั้นก็เดินทางกลับบ้านของตนอย่างเชื่อฟัง จนถึงเวลา ๑๔ ปี พระรามเดินทางกลับออกจากป่า พระรามได้พบกับกลุ่มของ ฮีจร่า นั้นรอพระองค์อยู่ เนื่องจากพระรามมิได้บอกให้กลุ่มของ ฮีจร่า เดินทางกลับ (เพราะไม่ใช่เพศชายหรือเพศหญิง) พวกเขาเฝ้ารอพระรามอย่างเชื่อฟัง จึงทำให้พระรามเกิดความดีใจที่กลุ่ม ฮีจาร่า มีความเคารพศรัทธาในคำพูดของพระองค์ จึงประสาทพรให้ ฮีจร่า สามารถให้พรใครก็ได้ และสามารถสาปแช่งใครก็ได้ ให้เป็นไปตามคำพูดของตน
ในคัมภีร์ บางเล่มได้กล่าวถึงพระศิวะคิดแผลง ๆ แปลงกายทำพระองค์เป็นสองเพศ เพศหญิง(อิตถีลิงค์) ครึ่ง เพศชาย (ปุงลิงค์) ครึ่ง มีนามว่า อรรธนารี หรือ อรรธริศวร คือเป็นพระศิวะก็เรียกได้ เป็นพระปารวตีก็เรียกได้ ในบางครั้งพระศิวะแปลงเพศเป็นหญิงแท้ ๆ ก็มี ดังคราวครั้งหนึ่งพระองค์แปลงเป็นนารีในที่รโหฐาน เพื่อล้อพระอุมาเล่นในเมื่อทรงพระสำราญ ฉะนั้นสรรพสิ่งที่อยู่ในบริเวณนั้นก็กลายเพศเป็นอิตถีไปหมด
ในคัมภีร์มหาภารตยุทธก็เช่นกัน ได้กล่าวถึง ห้าพี่น้องตระกูล ปาณฑพ หลังจากแพ้การเล่นสกาแล้ว ตามเงื่อนไขต้องอยู่ในป่าเป็นเวลา ๑๔ ปี เมื่ออยู่ป่าเป็นเวลา ๑๓ ปีครบแล้ว ในปีสุดท้ายต้องปลอมตัวมิให้ฝ่ายศัตรูจำได้ มิเช่นนั้นต้องอยู่ป่าเป็นเวลาอีก ๑๒ ปี หนึ่งในห้าพี่น้องนั้นก็คือ อรชุน ซึ่งถือได้ว่าเป็นตัวเอกของเรื่องนี้ก็ได้ปลอมตัวเป็นสาวใช้หรือ ฮีจาร่า นั่นเอง เพื่อสอนนาฏศิลป์และดนตรี มีชื่อปลอมว่า พฤหันนลา อยู่ในราชสำนักของท้าววิราฏ
https://www.youtube.com/watch?v=Gald5vT1_ck
https://www.youtube.com/watch?v=_sjERbnNnSs