มเหสี เจ้าจอม พระเจ้าตาก
มเหสี เจ้าจอม พระเจ้าตาก
สำหรับชีวิตส่วนพระองค์พระเจ้าตากสิน นั้น ทรงมีพระอัครมเหสีและพระสนมหลายพระองค์ ดังนี้
1. สมเด็จพระอัครมเหสี กรมหลวงบาทบริจาริกา สมเด็จพระอัครมเหสี (หอกลาง) พระนามเดิมว่า สอนหรือส่อน ได้รับการสถาปนาขึ้นดำรงพระอิสริยยศเป็น กรมหลวงบาทบริจาริกา
พระราชโอรส 2 พระองค์ คือ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ หรือ เจ้าฟ้าจุ้ย ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นพระมหาอุปราช ที่เป็นตำแหน่งของพระรัชทายาทในการสืบราชสมบัติ และ สมเด็จเจ้าฟ้าน้อย เมื่อถึงคราวผลัดแผ่นดิน สิ้นรัชสมัยพระเจ้าตากสิน สมเด็จพระอัครมเหสี และ สมเด็จพระเจ้าน้านางเธอกรมหลวงเทวินทรสุดา ได้ถูกลดพระยศเป็น “หม่อมสอน” และ “หม่อมอั่น” ตามลำดับ โดยถูกจองจำเอาไว้พร้อมพระบรมวงศานุวงศ์ ส่วนพระราชโอรสทั้งสองพระองค์ถูกสำเร็จโทษ แต่ภายหลังการผลัดแผ่นดินได้ทรงดำรงพระชนม์ชีพอย่างสงบสุขในธนบุรี โดยมีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี พระเชษฐภคินีพระองค์ใหญ่ใน รัชกาลที่ 1เป็นองค์อุปถัมภ์ค้ำชูคอยช่วยเหลือพร้อมผู้อื่นหลายท่าน
2. เจ้าจอมมารดา เจ้าฟ้าหญิงฉิมใหญ่ พระราชธิดาในรัชกาลที่ 1
มีโอรส คือ เจ้าฟ้าสุพันธุวงศ์ ต่อมาเปลี่ยนพระนามเป็น สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าอภัยธิเบศร์ และได้รับการสถาปนาให้ทรงกรมเป็น กรมขุนกษัตรานุชิต ต่อมาถูกข้อหาเป็นกบฏ ได้ถูกสำเร็จโทษพร้อมเจ้าชายที่เป็นโอรสเล็ก ๆ อีก 6 องค์ ใน พ.ศ. 2352 พระองค์ได้ทรงสถาปนาวัดอภัยธารามสามเสน
3. เจ้าจอมมารดา เจ้าหญิงฉิม ราชธิดาของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ได้รับการสถาปนาให้ทรงกรมเป็น กรมบริจาภักดีศรีสุดารักษ์
มีพระอรส 3 พระองค์ คือ สมเด็จเจ้าฟ้าชายทัศพงษ์ สมเด็จเจ้าฟ้าชายทัศไภย สมเด็จเจ้าฟ้าชายนเรนทรราชกุมาร และ เจ้าฟ้ามัญจปาปี ซึ่งทรงเป็นพระชายาเจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ ราชภาคิไนยในสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
4. เจ้าจอมมารดา เจ้าหญิงปราง เป็นราชธิดาของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช เป็นกนิษฐภคินีของกรมบริจาภักดีศรีสุดารักษ์ เข้าไปอยู่ในวังพร้อมเจ้าหญิงฉิม และ เป็นเหตุให้ เจ้าพระยาพิไชยราชา ซึ่งส่งเถ้าแก่เข้าไปสู่ขอทำให้พระเจ้าตากกริ้ว โปรดให้ประหารชีวิต เพราะบังอาจจะเป็นเขยเล็กแข่งกับพระเจ้าแผ่นดิน และ หลังเจ้าหญิงปรางก็ได้เข้าถวายตัวกับพระเจ้าตากสิน
เมื่อเกิดเหตุ เจ้าพัฒน์พระมหาอุปราชเมืองนครไปสงครามได้รับชัยชนะกลับมาและ เจ้าหญิงนวลผู้เป็นภริยาเสียชีวิต จึงได้พระราชทานเจ้าหญิงปรางให้ทั้ง ๆ ที่ทรงพระครรภ์ได้ 2 เดือนแล้ว และได้ประสูติพระราชโอรสของพระเจ้าตากใน พ.ศ. 2319 คือ เจ้าพระยานคร (น้อย) โดย พระมหาอุปราช (พัฒน์) ไม่กล้าขัดด้วยเกรงพระราชอาญาโดยไม่ทรงถือเป็นชายาแต่ได้ตั้งเป็นแม่วัง ด้วยความเคารพในพระมหากรุณาธิคุณ และไม่ได้แตะต้องเจ้าหญิงปรางเลย
5. เจ้าจอมมารดา เจ้าหญิงจวนหรือญวน ราชธิดาของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช
ถวายตัวกับพระเจ้าตากสินและได้ทรงพระครรภ์ แต่ได้พระราชทานแก่เจ้าพระยานครราชสีมา (ปิ่น) ที่มีความดีความชอบในราชการสงคราม ซึ่งได้ประสูติเป็นชาย ปรากฏพระนามว่า ทองอินทร์ โดยเจ้าพระยานครราชสีมามิได้ถือเป็นภริยา แต่ได้ยกย่องไว้ในอีกพระฐานะหนึ่งแทน
6. เจ้าจอมมารดาอำพัน ราชธิดาของ เจ้าอุปราชจันทร์ แห่งนครศรีธรรมราช
มีพระราชโอรสคือ พระองค์เจ้าชายอรนิกา และ พระองค์เจ้าหญิงสาลีวรรณ ทรงเป็นพระราชชายากรมพระราชวังบวร ในรัชกาลที่ 2 พระราชโอรสและพระราชธิดาทั้งสองพระองค์นี้ถูกข้อหากบฏ สำเร็จโทษพร้อมเจ้าฟ้ากรมขุนกษัตรานุชิต เมื่อ พ.ศ.2352
7. เจ้าจอมมารดาทิม เป็นหม่อมราชวงศ์ของพระราชวงศ์แห่งกรุงศรีอยุธยา เป็นพระธิดาของท้าวทรงกันดาล (ทองมอญ) มีพระราชโอรสคือ พระองค์เจ้าชายอัมพวัน
8. เจ้าจอมมารดาเงิน มีพระธิดาคือ พระองค์เจ้าหญิงประไพพักตร์
และในตอนที่กรุงศรีอยุธยาแตกนั้น มีพระราชวงศ์ฝ่ายหญิงที่มิได้ถูกกวาดต้อนไปพม่าและได้ถวายตัวกับพระเจ้าตากสินหลายองค์ ซึ่งพระราชพงศาวดาร กล่าวถึงดังนี้
“...พระราชวงศานุวงศ์ซึ่งเหลืออยู่ พม่ามิได้เอาไปนั้นตกอยู่ ณ ค่ายโพธิ์สามต้นก็มีบ้าง ที่หนีไปเมืองอื่นก็มีบ้างและ
เจ้าฟ้าสุริยา เจ้าฟ้านันทวดี เจ้าฟ้าจันทวดี พระองค์เจ้าฟักทองหนึ่ง ทั้ง4 เป็นราชบุตรี พระพุทธเจ้าหลวงในพระบรมโกศ
เจ้ามิตร บุตรีกรมพระราชวัง
หม่อมเจ้ากระจาด บุตรีกรมหมื่นจิตสุนทร
หม่อมเจ้ามณี บุตรีกรมหมื่นเสพภักดี
หม่อมเจ้าฉิม บุตรีเจ้าฟ้าจืด
พระองค์เจ้าทับทิม บุตรีสมเด็จพระอัยกา พวกข้าไทพาหนีออกไป ณ เมืองจันทบูร เจ้าตากก็สงเคราะห์รับเลี้ยงดูไว้...”
ทั้งนี้ ในจดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี ได้กล่าวไว้ว่า
“...บุตรกรมหมื่นสุนทรเทพ หม่อมประยงค์ โปรดให้เป็นเจ้าอนิรุทเทวา
บุตรกรมหมื่นจิตรสุนทร หม่อมกระจาดให้ชื่อ บุษบา
บุตรกรมพระราชวัง หม่อมเจ้ามิตร ประทานชื่อ ประทุม
บุตรกรมหมื่นเทพพิพิธ หม่อมมงคล หม่อมพะยอม พี่หม่อมอุบล บุตรเจ้าฟ้าจิตรเลี้ยงเสมอกันทั้งสี่คน แต่โปรดหม่อมฉิม หม่อมอุบล ประทุม อยู่คนละข้าง...”
จะเห็นได้ว่าพระมเหสีที่พระเจ้าตากสินทรงโปรดปรานมากที่สุดสองพระองค์ คือ หม่อมฉิม บุตรีเจ้าฟ้าจืด พระเจ้าหลานเธอของพระเพทราชา และ หม่อมเจ้าหญิงอุบล บุตรีกรมหมื่นเทพพิพิธ
เหตุหึงหวง
หม่อมเจ้ามิตร ทูลฟ้องว่า หม่อมฉิม กับ หม่อมอุบล เป็นชู้กับฝรั่งในวัง จึงลงโทษประหาร ผ่าอกต่อมาทรงเสียพระทัย ทรงคิดถึงและสงสารหม่อมอุบล ซึ่งสิ้นพระชนม์ขณะทรงครรภ์ได้ 2 เดือน ถึงกับมีพระราชปรารภว่ามีพระประสงค์จะตายแทน จนถึงกับต้องนิมนต์พระเถระมาถวายพระพร เตือนพระสติจึงได้เปลี่ยนพระทัย
นอกจากนี้ยังมีพระสนมพร้อมพระราชโอรสกับพระราชธิดาอีกหลายพระองค์ที่มิได้กล่าวอ้างในที่นี้ และภายหลังแม้เมื่อมีเกิดการผลัดแผ่นดิน จนผู้ที่เกี่ยวข้องกับพระองค์ทั้งพระราชโอรสต้องถูกราชภัยสำเร็จโทษ สมเด็จพระอัครมเหสีและพระเจ้าน้านางเธอ รวมทั้งพระมเหสีพระราชธิดาต้องถูกถอดพระยศ และถูกคุมขังจองจำ แม้กระทั่งขุนนาง ข้าราชการและขุนศึกที่เคียงคู่ร่วมรบ ร่วมสร้างบ้านเมืองมาร่วมกัน ก็ต้องถูกประหารไปเป็นจำนวนมากกลาย
เมื่อสิ้นรัชสมัยพระเจ้าตากสินแห่งกรุงธนบุรี พระมเหสี พระราชโอรสและพระราชธิดาถูกถอดจากพระอิสริยยศกลายเป็นสามัญชน มีเพียงไม่กี่พระองค์เท่านั้นที่ยังคงดำรงยศชั้นเจ้านาย แต่ถึงอย่างนั้น ตลอดพระชนม์ชีพก็ยังคงถูกดูหมิ่นพระเกียรติและมีชีวิตที่เรียกได้ว่า รันทด ไม่น้อยเหมือนกัน
ราชสุลสายพระเจ้าตากสิน
- สินสุข (สินศุข)
- จาตุรงคกุล
- รุ่งไพโรจน์
- ศิลานนท์
- โกมารกุล ณ นคร
- ณ นคร
- อินทรโยธิน
- คชวงศ์ (คชวงษ์)
- มหาณรงค์
- อินทรกำแหง (สายเจ้าเมืองนครราชสีมา)
- อินทโสฬส
- อินทนุชิต
- เชิญธงไชย
- เนียมสุริยะ
- นิลนานนท์ (นินนานนท์)
- พงษ์สิน
- ศิริพร
- กริส (ชูกฤส)
พระที่นั่งองค์ทิศเหนือ เรียกว่า ท้องพระโรง อยู่ทางทิศเหนือใช้เป็นที่ออกขุนนาง ตรงกลางแต่เดิมมีเสาไม้กลม ๒ แถว ๆ ละ ๘ ต้น เรียกว่า ในประธาน เป็นที่รอรับเสด็จของขุนนางขณะเข้าเฝ้า
ทางทิศใต้ยกพื้นสูงเรียกว่า มุขเด็จ ใช้เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ขณะเด็จออกว่าราชการ
พระที่นั่งองค์ทิศใต้ ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของพระที่นั่งองค์แรก เรียกกันว่า พระที่นั่งขวาง เป็นส่วนพระราชมณเฑียร หรือพระราชฐานชั้นกลางอันเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์
พระที่นั่งองค์ทิศเหนือที่ใช้เป็นท้องพระโรงนั้น สันนิษฐานว่า แต่เดิมเป็นท้องพระโรงโถงไม่มีฝารอบเช่นเดียวกับท้องพระโรงพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยในพระบรมมหาราชวัง ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๑ แต่ได้มีการซ่อมปรับปรุงเรื่อยมา โดยเฉพาะในสมัยที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ได้เสด็จประทับ ณ พระราชวังเดิมในสมัยรัชกาลที่ ๓ ระหว่างปี พ.ศ.๒๓๖๗-๒๓๙๔ สันนิษฐานว่าได้โปรดให้ก่อผนังขึ้นโดยรอบพระที่นั่งองค์ทิศเหนือหรือส่วนท้องพระโรงให้เป็นฝาทึบ เจาะช่องพระทวารและพระบัญชรโดยรอบ
ต่อมาในการซ่อมบูรณะระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๖๘-๒๔๗๖ ได้ปรากฎหลักฐานทางเอกสารและภาพถ่ายของอาคารว่ากรมยุทธโยธาทหารเรือได้ทำการซ่อมดัดแปลงอาคารท้องพระโรง โดยได้รื้อฝาผนังรวมทั้งช่องพระทวารและพระบัญชรโดยรอบออกทั้งหมด หลังจากนั้นได้จัดสร้างเสาคอนกรีต เสริมเหล็กรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ลบมุมโค้ง ขนาดหน้าตัด ๕๐x๕๐ ซม. ขึ้นเป็นโครงสร้างแทน โดยระหว่างเสาที่จัดสร้างใหม่นี้ ได้ก่อผนังอิฐทำเป็นผนึกทึบสูงประมาณ ๙๐ ซม. และเว้นช่องประตูทางเข้าออกไว้ทั้งหมดรวม ๖ ช่อง ดังปรากฎในปัจจุบัน ส่วนพื้นที่ที่เคยมีแนวเสาไม้กลม ๒ แถว แถวละ ๘ ต้น ได้สร้างคอนกรีตเสริมเหล็กรูปสี่เหลี่ยมขึ้นแทน
สำหรับพระที่นั่งขวางสันนิษฐานว่ารูปแบบดั้งเดิม ไม่แตกต่างจากสภาพปัจจุบันมากนัก กล่าวคือ ภายในอาคารประกอบด้วยห้องโถงกลางขนาดใหญ่ยกพื้นสูง มีฝาก่ออิฐถือปูน ๔ ด้าน เจาะช่องพระทวาร พระบัญชรโดยรอบ