ความขัดแย้งสมัยพุทธกาล
คงมีคนรู้จักถึงพระปางป่าเลไลย์นะครับ ตามพุทธประวัติระบุว่า เกิดมีข้อขัดแย้งใน ธรรมวินัยทำให้พระภิกษุเกิดแบ่งกันเป็น 2 ฝ่าย และถกเถียงกันโดยไม่มีข้อยุติ ถึงพระพุทธเจ้าเรียกมาตักเตือนกันยังไม่ฟัง ทำให้พระพุทธเจ้าได้หนีออกจากที่พำนักไปอยู่ป่า เมื่อชาวบ้านทราบข่าว และอยากฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า จึงรวมตัวกันไม่ทำบุญใส่บาตรให้คณะภิกษุ ที่มีข้อขัดแย้ง จนกระทั่งพระภิกษุที่ขัดแย้งยอมยุติและทูลเชิญพระพุทธเจ้ากลับมาพำนักดังเดิมเนื้อความมีมากกว่านี้นะครับแต่อยากพูดเรื่องความขัดแยังที่เกิดขึ้น
สถานการณ์บ้านเมืองเราก็น่าจะคล้ายกัน แบ่งเป็น 2 พวก ใครเตือนอะไรก็ไม่ฟัง เอาแต่ขัดแย้งเบื้องหน้า แต่เบื้องหลังนี่ผลประโยชน์ทั้งนั้น
คนที่ตาย ไม่เคยมีพวกนี้หรอกมีแต่ เบี้ยในกระดาน (อันตรายทั้งนั้น) ต้องดูว่าตอนนี้เราเป็นเบี้ยให้ฝั่งใหนบางที่เราคิดว่ามันถูก แต่ สิ่งที่โดนทำร้ายคือประเทศไทย หรือเราไมใช่เบี้ย ก็ทำตัวออกห่าง เดี๋ยวมันก็เสื่อมไปเอง
คงถึงเวลาที่มีคนไม่พอใจและควบคุม ทั้ง 2 พวกนี้ไม่ให้มีอำนาจ หรือเกาะเกี่ยวผลประโยชน์ในบ้านเมือง อีกต่อไป
มันคงถึงเวลาที่ต้องร่วมมือกันไม่ให้คนไม่ดีมีอำนาจกำเริบ มากไปกว่านี้ ตามกระแสพระราชดำรัส
ซึ่งทุกคนก็บอกแต่ว่าทำเพื่อประเทศชาติแต่ดูทุกวันนี้ซิครับ นี่ถ้าสถานการณ์ของเวียตนามกับจีนไม่ทะเลาะกันเรื่องหมู่เกาะสแปลชลี่ นักลงทุนส่วนใหญ่คงจะตัดสินใจย้ายฐานการผลิต หรือเลือกลงทุนที่เวียตนามแน่ แต่ทำไมคนเหล่านี้ไม่มอง กลับเดินหน้าทำเพื่อประเทศ(ในแบบตนเอง)
เราคนต้องร่วมมือกันจริงจังอย่าให้ความร่วมมือกับคนพวกนี้และปฏิบัติตนตามกระแสพระราชดำรัส พระพระองค์ได้ตรัสเอาไว้แล้วว่า
เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม
ไอ้พวกที่คิดลบล้างมันคงได้รับกรรมของมันเองไม่ต้องไปตามล่าตามล้างมันหรอกครับ ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองคงไม่ปล่อยพวก ไอ้ อี ทั้งหลายที่พูดภาษาไทย เกิด ในแผ่นดินไทย ทำมาหากินในแผ่นดินไทย กำเริบหรือขยายวงต่อไป
ขอบคุณครับ