10 อันดับ หนังสือที่ไม่มีอยู่บนโลกนี้จะดีซะกว่า!
เคยมีการรวบรวมรายการ "หนังสือที่ไม่น่าจะมีบนโลก" โดยได้รวบรวมรายการหนังสือที่คิดว่า "มันเป็นหนังสือเลวที่สุด" ที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ มีอิทธิพลต่อโลกมากกว่าที่คิด แม้หลายคนบอกให้มองด้วยใจเป็นกลางและอ่านหนังสือพวกนี้ดู แต่กระนั้นมันก็อดไม่ได้ว่าหนังสือนั้นได้ทำให้หลายคนบนโลกเข้าใจผิด ก่อให้เกิดลัทธิ ก่อให้เกิดความคิดชาติพันธ์ที่ผิดเพี้ยนและก่อให้เกิดสิ่งไม่ดีไม่งาม จริงหรือ?? และนี้คือ 10 อันดับหนังสือที่ไม่มีอยู่บนโลกนี้จะดีซะกว่า!
ที่มา : www.toptenthailand.com
10. Malleus Maleficarum
เริ่มด้วยอันดับ 10 ของทีมงาน toptenthailand เป็นหนังสือแต่งโดย ไฮน์ริช เครมเมอร์ (Heinrich Kramer) และ จาคอบ สเปรนเกอร์ (Jacob Sprenger), 1486 หนังสือ มาเลอัส มาเลฟิคารัม (The Malleus Maleficarum) เป็นหนังสือที่มีอยู่จริงในยุคกลางและมีอิทธพลต่อยุโรปจริงๆ เพราะมันคือคู่มือล่าแม่มด โดยไฮน์ริช เครมเมอร์และจาคอบ สเปรนเกอร์ นั้นเป็น ผู้พิพากษาที่สนองพระโองการสำนักพระสันตะปาปา (Papal Bull) ประกาศ สำเร็จโทษพวกพ่อมด แม่มด หมอผีทั้งหลายอย่างรุนแรง ทั้งคู่เป็นเป็นชาวโดมินิกัน โดย บาทหลวงไฮน์ริช เครมเมอร์ เป็นอดีตเจ้าหน้าที่สอบสวนจากแคว้นไทรอล (อยู่ระหว่างออสเตรีย ตะวันตกและทางเหนือของอิตาลี) และจาคอบ สเปรนเกอร์(ทางเหนือของสวิสเซอร์แลนด์บนฝั่งแม่น้ำไรน์) ทั้งสองยังได้ร่วมกันแต่หนังสือชื่อ Malleus Maleficarum แปลเป็นภาษาอังกฤษก็คือ Hammer of Witches คู่มือสำหรับการล่าแม่มด จุตัวอักษรประมาณ 250,000 คำ เผยแพร่ระหว่างปี 1874-14669 และนานถึงสองศตวรรษที่พวกกระหายเลือดแม่มดในประเทศต่างๆ เจริญรอยตามวิธีการน่าขยะแขยงในหนังสือเล่มนี้ ซึ่งบอกวิธีจับ พิสูจน์ไต่สวน และเข่นฆ่าแม่มดต่างๆนานา ทำให้เกิดวิธีการทรมานต่างๆ นาๆ เช่น ตอก เล็บ ตามด้วยบีบขมับ เข้าเครื่องยืดแขนขา ถ้าหากยังปากแข็งก็เอาไปบีบอัดขา เอาเหล็กแดงๆจิ้มตามตัว สุดท้ายก็คือวิธี "แสตปตาโด" เอาร่างเปลือยของผู้สงสัยขึ้นแขวนโยงกับรอก และถ่วงน้ำหนักที่เท้า ดึงห้อยแขวนไว้จนกว่าจะยอมสารภาพ เนื้อหา ในเล่มเป็นการพูดถึงบทลงโทษทั้งชาย และ หญิง ไม่จำกัดแค่สตรีเพศ หรือ แม่มด เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับคำพิพากษา ในบันทึกได้แสดงไว้ว่าพิพากษาผู้หญิงเพียงแค่แปดคน แต่คนกลับใช้มันอ้างอิงลงโทษคนบริสุทธิ์นับล้าน
9. Coming of Age in Samoa
อันดับ 9 ของทีมงาน toptenthailand น่าแปลกตรงที่ว่าหนังสือนี้จะติดอันดับกับเขาด้วย เพราะว่ามาร์กาเรท มีด (Margaret Mead 1901 - 1978) เป็นนักจิตวิทยาที่ทำคุณประโยชน์ต่อโลกคนหนึ่ง สนใจศึกษาองค์ประกอบด้านจิตวิทยา ในระบบวัฒนธรรม ที่มีผลต่อโดยผลงานชื่อ Coming of Age in samoa พิมพ์เผยแพร่ในปี ค. ศ.1928 นั้นเธอได้ทำ การวิจัยด้วยการไปอาศัยอยู่ร่วมกับชาวเกาะซามัวในช่วงเวลาหนึ่ง และเน้นศึกษาความสัมพันธ์ของสมาชิกของสังคมนั้นในเรื่องแบบแผนการอบรมเลี้ยง ดูเด็ก เช่น ฝึกการขับถ่าย การให้อาหาร และการรักษาความสะอาด ตลอดจนการอบรมสั่งสอนทางวัฒนธรรม ทำให้เธอสรุปได้ว่าแต่ละชนเผ่ามีวัฒนธรรมต่างกัน และวัฒนธรรมนี้ส่งผลให้แต่ละเผ่ามีลักษณะ เนื่องจากการอบรมไม่เหมือนกัน ส่วนสาเหตุที่หนังสือนี้ติดอันดับเขาบอกว่าทำให้เกิดกับสับสนและความปรารถนา เรื่องเพศ เนื่องจากเรื่องราวของมีดนั้นหลายฝ่ายบอกว่าเธอได้แต่งเติมเรื่องราวเกิน ความเป็นจริง และเนื้อหาขัดต่อวัฒนธรรมในสังคมโลกตะวันตก
8. The Prince
อันดับ 8 ของทีมงาน toptenthailand นิคโคโล่ มาเคียเวลลี (Niccolo Machiavelli)เป็นบิดาแห่งรัฐศาสตร์สมัยใหม่ (ส่วน สมัยเก่าคืออาริสโตเติ้ล) และเป็นนักคิดคนสำคัญของทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เรียกว่าสัจนิยม ในบรรดานักคิดทางรัฐศาสตร์ที่สำคัญๆ มีบุคคลหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อแนวความคิดและอุดมการณ์ของนักการเมืองในทุกยุค ทุกสมัย ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นทั้ง "นักคิดที่ไร้ศีลธรรม" และบางทีก็ได้รับการยกย่องว่าเป็น "นักคิดที่กล้าหาญ" เพราะว่าเขาพูดความจริงที่ไม่เคยมีใครในโลกเคยพูด เพราะเขาพูดถึงธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ ในทางการเมืองอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งบุคคลนั้นก็คือ Niccolo Machiavelli เขาได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ The Prince เผย แพร่ในปี 1532 ซึ่งได้เสนอแนวความคิดในทางการเมืองแบบใหม่ กำกึ่งระหว่างประโยชน์และโทษ เนื่องจากผู้นำทรราชหลายๆ คนบนโลกแห่งความจริงได้ยึดเนื้อหาหนังสือเรื่องนี้มาเป็นบรรทัดฐานในการ ปกครองประเทศ เช่น มุสโสลินี ฮิตเลอร์ สตาลินหรือเหมา เจ๋อ ตง ล้วนแต่ดำเนินตามทฤษฎีของเขาทั้งนั้น
7. Mein Kampf
อันดับ 7 ของทีมงาน toptenthailand “ไมน์คัมพฟ์ (Mein Kampf) หรือ My Strugle เป็นหนังสือที่มีความหนากว่า 560 หน้า แปลไทยว่า “การต่อสู้ของข้าพเจ้า” เป็นหนังสือของบุคคลโลกไม่ลืมอย่างอดอล์ฟ ฮิตเลอร์(Adolf Hitler) ผู้นำสูงสุดของเยอรมนีในช่วงปี 1933-1945 และเป็นผู้รับผิดชอบต่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวกว่า 6 ล้านคน เขา เขียนหนังสือขึ้นจำหน่ายในปี 1925 ในช่วงที่เขากำลังตกอับ(ก่อนที่ฮิตเลอร์จะนำพรรคนาซีก้าวขึ้นมามีอำนาจและบทบาททางการเมืองสูงสุดในปี 1933) โดนจำคุกลันดิสแบร์กอัมเลช เ ขาได้ถ่ายทอดประวัติชีวิตของตัวเอง อุดมการณ์ทางการเมือง แนวคิด นโยบายพรรคของนาซี แนวความคิดลัทธิฟาสซิสต์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อมนุษย์ชาติครั้งใหญ่ที่สุด นั้นคือ มหาสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเนื้อหานี้แสดงให้เห็นความจงเกลียดจงชังชาวยิว การโฆษณาชวนเชื่อของฮิตเลอร์ โดยแบ่งเป็น บรรพ 2 บรรพ บรรพแรกเล่าประวัติชีวิตตัวเอง บ้านของข้าพเจ้า, การศึกษาและการต่อสู้ในเวียนนา,แนวทัศนทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะที่ ข้าพเจ้าอยู่ในเวียนนา, สงครามโลก, คณะพรรคกรรมกร(ก่อนเปลี่ยนมาเป็นนาซี) , ชาติและเชื้อชาติ และบรรพที่สองเน้นเรื่องการเมือง ลักษณะแนวคิดของฮิตเลอร์ โดนเน้นผู้ที่แข็งแรงย่อมจะเป็นคนที่แข็งแรงที่สุดเมื่ออยู่แต่ลำพัง
6. The Pivot of Civilization
อันดับ 6 ของทีมงาน toptenthailand มาร์กาเรต แซงเงอร์ เราไม่ค่อยรู้เรื่องราวของเธอมากนัก เพราะไม่มีเว็บภาษาไทยพูดถึงเธอสักเท่าไหร่ นอกจากจะมีรางวัลการวางแผนครอบครัวระดับโลกที่ใช้ชื่อของเธอเป็นชื่อของ รางวัล จากการดูในเว็บวีพีมีเดียพบว่าเธอเป็นนักจิตวิทยาและเป็นผู้ออกแนวคิดการคุม กำเนิดสมัยใหม่ และก่อตั้งคลินิกการวางแผนครอบครัว แม้ว่า มาร์กาเรต แซงเงอร์ จะมีผลงานเรื่องการวางแผนครอบครัว จนถึงขั้นระดับโลก ต่อหนังสือชื่อ The Pivot of Civilization วาง จำหน่ายในปี 1922 แสดงให้ถึงการปรับปรุงลักษณะทางพันธุกรรมของมนุษย์ให้ดีขึ้นโดยใช้ทฤษฏีของ เธอ(การควบคุมเชื้อชาติของมนุษย์โดยการเลือกผสมพันธุ์) และเชื้อชาติบริสุทธิ์(และทฤษฏีนี้ฮิตเลอร์ชอบใจมาก เลยเอาทฤษฏีของเธอไปใช้เพื่อให้ได้อารยันสายเลือดบริสุทธิ์ โดยมีหลักฐานปรากฏในหนังสือ Mein Kampf) เธอสนับสนุนการทำแท้งว่าสมควรให้ถูกกฎหมาย นอกจากนั้นเธอกล่าวว่าคนที่ด้อยต่างๆ ทางสรีระและสติปัญญา สมควรถูกฆ่าเพื่อให้เชื้อชาติที่เหนือกว่า ด้วยเหตุนี้ทำให้หนังสือเธอติดอันดับ 6 หนังสือที่ไม่ควรมีบนโลกไปไม่ยาก
5. Democracy and Education
อันดับ 5 ของทีมงาน toptenthailand หากใครจะถามการศึกษาไทยว่า “ใครเป็นคนต้นคิดการศึกษาแบบเรียนรู้เองวะ!! คนไทยโง่ขึ้นทุกวันเพราะการศึกษานี้แหละ!!” คำตอบก็น่าจะมีชื่อ จอห์น ดิวอี้ รวมอยู่ด้วย จอห์น ดิวอี้ (John Dewey) เป็นนักปรัชญาและนักการศึกษาซึ่งมีชื่อเสียง ที่พยายามชี้ให้เห็นว่าการศึกษาแบบเก่า (Traditional) หรือแบบอนุรักษ์ (Conservative) มีข้อดีและข้อเสียอย่างไรและการศึกษาแบบก้าวหน้า (Progressive) มีลักษณะเด่นอย่างไรบ้างในหนังสือเรื่อง Democracy and Education (1916) จอห์น ดิวอี้ ว่าโรงเรียนควรสร้างบรรยากาศของความเป็นประชาธิปไตย ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบสังคม สร้างสมประสบการณ์ และเรียนรู้ที่จะประยุกต์ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่จะพัฒนาสังคมมนุษย์ ดูๆไปก็เหมือนจะไม่ใช่หนังสือที่เลวร้ายอะไร แต่ทำไมหนังสือเล่มนี้จึงติดอันดับหนังสือที่ไม่มีในโลก ก็อย่างที่บอกดิวอี้เสนอให้การศึกษาต้องมีประชาธิปไตย ซึ่งมุมมองนี้ได้รับอิทธิพลอย่างมากในการศึกษาของสังคมอเมริกันโดยเฉพาะโรงเรียนรัฐ ส่งผลให้เยาวชนแทบทั้งอเมริกามีการศึกษาตกต่ำลงจนถึงปัจจุบัน จนกระทั้งต้องเปลี่ยนระบบการศึกษาใหม่มาเป็นหลักสูตรของนิวซีแลนด์ในที่สุด
4. Baby and Childcare
อันดับ 4 ของทีมงาน toptenthailand หนังสือผลงานของ Benjamin Spock นี้ เป็นทั้งเพื่อนและที่ปรึกษาในสหรัฐอเมริกา และอีกหลายประเทศทั่วโลก ตั้งแต่ปี ค.ศ.1946 และได้รับความนิยมติดอันดับหนังสือขายดีเรื่อยมา โดยหนังสือเล่มนี้กล่าวถึงการเลี้ยงเด็กแบบผสมผสาน แนะนำให้คุณแม่ใช้สัญชาตญาณและความรู้ทางการแพทย์ ที่เล่มนี้เต็มไปด้วยรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ตั้งแต่ตอนตั้งครรภ์ การพัฒนาการแต่ละวัย อาหารและการเลี้ยงดู พร้อมคำตอบของสารพัดปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวันที่คุณแม่ทั้งหลาย ต้องพบเจอไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่แค่ไหน หนังสือคำตอบนี้มีตั้งแต่ปัญหาตอนเป็นทารกจนไปถึงลูกโตถึงมหาลัยทีเดียว แต่ทำไมหนังสือเล่มนี้จึงติดอันดับหนังสือที่ไม่มีในโลก ทั้งๆ ที่มันมันวางแผงในไทยในชื่อ “คัมภีร์เลี้ยงลูก” และขายดี ก็เนื่องจากมีการศึกษาสถิตครับว่าเด็กทารกส่วนใหญ่เกิดการเสียชีวิตเพราะคำ แนะนำที่ดีของหนังสือเล่มนี้ โดยในปี 1990 มีการสนับสนุนเป็นเอกฉันท์พบว่าคำแนะนำของหนังสือนี้เกิดจริงส่งผลให้เด็ก เสียชีวิตด้วยโรคหอบ เนื่องจากหนังสือสนับสนุนวิธีเลี้ยงลูกแบบ Raaing (กระตือรือร้นที่จะเริ่มทำบางสิ่ง) ถ้าเกิดใครมีลูกไม่เชื่อว่าวิธีการของคนเขียนจะทำให้เด็กตายได้ละก็ลองทำตามหนังสือเล่มนี้ดู แล้วอย่าลืมมาบอกผลให้ toptenthailand รู้ด้วยหล่ะ !!
3. The Protocols of the Elders of Zion
อันดับ 3 ของทีมงาน toptenthailand นี้คือต้นกำเนิดการฆ่าล้างยิวของฮิตเลอร์อย่างแท้จริง The Protocols of the Elders of Zion หรือ บันทึกข้อสนธิสัญญาของปราชญ์อาวุโสแห่งไซออน เป็นหนังสือ(เอกสาร)ปลุกระดมทำให้ผู้คนเกลียดชาวยิว น่าแปลกมากคือหนังสือเล่มนี้ไม่ระบุคนเขียน เนื้อหาได้เขียนขึ้นมาโดยมีเจตนาในการตำหนิความเลวร้ายของยิว ในความพยายามครอบครองโลก และเรียกบรรดาผู้นำทางปัญญา เจ้าของความคิดชั้วร้ายว่า “ปราชญ์อาวุโสแห่งไซออน” โดยอ้างถึงชาวยิวมีความคิดจะครอบครองโลก โดยสมาคมลับของชาวยิว ว่าด้วยแผนการครองโลกขององค์กรเครือข่ายชาวยิวที่ "เซอร์เกย์ อเล็กซานโดรวิช ไนลัส” ส่งผลให้ชาวยุโรปเข้าใจชาวยิวแบบผิดๆ หนังสือ เล่มนี้ยังเป็นเครื่องมือของฮิตเลอร์ในการทำให้เกิดความเกลียดชังของชาวยิวในเยอรมนีและมีการเผยแพร่หนังสือหลังจากการปฏิวัติรัสเซียเพื่อก่อกรรมทำเข็นและความรุนแรงต่อชาวยิว (โดยอ้างว่าสมาคมลับชาวยิวอยู่เบื้องหลัง) ปัจจุบันหนังสือเล่มนี้ยังคงถูกตีพิมพ์และเผยแพร่ในหลายประเทศตะวันออกกลางเพื่อหาแนวร่วมเป็นศัตรูทางการเมืองของอิสราเอล
2. The Manifesto of the Communist Party
อันดับ 2 ของทีมงาน toptenthailand แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ (Manifesto of the communist party) เขียนโดย คาร์ล มาร์คซ์(Karl Marx) และ เฟรเดอริค เองเกิลส์(Friedrich Engels) ในปี 1848 ต้นกำเนิดของงานนี้เริ่มเมื่อ เองเกิลส์ เสนอว่าควรมีการเขียนหนังสือสั้นๆ เพื่อตอบคำถามว่า “ชาวคอมมิวนิสต์คิดอย่างไรเกี่ยวกับสภาพสังคมปัจจุบัน?” Manifesto of the communist party เป็น หนังสือการเมืองเล่มหนึ่งที่มีอิทธิพลสูงต่อประวัติศาสตร์โลก จัดพิมพ์ครั้งแรกในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1848 (พ.ศ. 2390) เนื้อหาสาระเป็นการวางเป้าหมายของสหพันธ์และแผนดำเนินการ กับทั้งยังได้แถลงนโยบายในการดำเนินกิจกรรมเพื่อการปฏิวัติของชนกรรมาชีพ อันที่จะโค่นล้มระบบทุนนิยมและสร้างสังคมที่ปราศจากชนชั้น กล่าวถึงข้อเสียของทุนนิยมที่ทำลายความอบอุ่นของชีวิตไม่สามารถตอบสนองความต้องการของมนุษย์ส่วนใหญ่ได้ และเน้นจุดยืนที่ชาวสังคมนิยม (หรือชาวคอมมิวนิสต์) ควรนำมาใช้ในการต่อสู้ และความสำคัญของการสร้างพรรคของกรรมาชีพเพื่อบรรลุผลสำเร็จ The Manifesto of the Communist Party ได้รับการเสนอชื่อ “หนังสืออันตรายที่สุดอันดับ 1 เท่าที่โลกเคยมีมา” ปัจจุบันหนังสือ แถลงการณ์ฯ เป็นหนังสือประกาศนโยบายของชาวมาร์คซิสต์ทั่วโลก และถึงแม้ว่าเวลาได้ผ่านไป 150 กว่าปีหลังจากที่หนังสือแรกออกมา แต่หนังสือนี้ยังถูกตีพิมพ์ในภาษาต่างๆของมนุษย์อย่างทั่วถึงมากกว่าหนังสืออื่นใดในโลก
1. Darwin’s Black Box
และนี้คืออันดับ 1 ของทีมงาน toptenthailand คุณเคยเข้าบอร์ดที่พูดเกี่ยวกับศาสนาหรือเปล่าครับ ความจริงเรื่องศาสนานี้ไม่ควรนำมาลงพูดในกระทู้ในเว็บเลยนะครับ โดยเฉพาะ เรื่องศาสนากับวิทยาสตร์นี้มันเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายไม่ยอมให้เข้ากันเลย หากเราเอาเรื่องศาสนามาอธิบายเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์นี้รับลองมีแต่เรื่องทะเลาะกันไม่รู้จบ และประเด็นหนึ่งที่เป็นปัญหาโลกแตกเลย และมักชอบหยิบยกให้ทะเลาะกัน คือทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ล ดาร์วินCharles Darwin แม้ทฤษฎีวิวัฒนาการของ ดาร์วิน อยู่มาร้อยห้าสิบปีแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับการยอมรับในหลายประเทศ รวมทั้งที่อเมริกา ที่คนส่วนใหญ่ที่เคร่งศาสนาและไม่ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ ไม่เชื่อทฤษฎีนี้ ชาร์ล ดาร์วิน ได้กล่าวด้วยตัวเขาเองว่า “ ทฤษฎีของข้าพเจ้านั้นไม่ใช่ข้อมูลหรือข้อสรุปทางวิทยาศาสตร์ แต่มันเป็นเพียงความเชื่อหรือความคิดส่วนตัวของข้าพเจ้าเท่านั้น” หนังสือเรื่อง Darwin Blackbox ปัจจุบันได้ถูกหักล้างแล้วด้วยงานวิจัยที่สนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการ ที่พิสูจน์ด้วยหลักฐานใหม่ๆอยู่เสมอ แต่กระนั้นหนังสือเล่มนี้ได้กลายเป็นเชื้อเพลิงที่แสดงให้เห็นว่าวิทยาศาสตร์และศาสนานั้นไม่สมควรจะคู่กันกันได้ นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดการถกเถียงจากองค์กรวิทยาศาสตร์ทั่วโลกจนกลายเป็นข้อพิพากษาในชุมนุมนักวิทยาศาสตร์
โพสท์โดย: moses