หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

10 ความเชื่อสุดฮิตเกี่ยวกับสมองของเรา

โพสท์โดย moses

 

ข้อมูลต่อไปนี้ เจ้าของกระทู้ไม่ได้แต่งเอง ทั้งข้อความและรูปแปลมาจาก health.howstuffworks.com อาจมีการปรับแก้เล็กน้อยเพื่อความเหมาะสมและอรรถรสในการอ่าน แต่ก็เป็นการใช้ภาษาเท่านั้น ไม่ใช่ความรู้เชิงวิชาการ สมองมนุษย์เป็นหนึ่งในความมหัศจรรย์ที่สุดที่ธรรมชาติมี ประกอบไปด้วย neuron กว่าแสนล้านเซลล์ ทำหน้าที่แทบทุกอย่างที่คนเราทำ ตั้งแต่คิด จำ สั่งการการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อต่างๆ หลั่งสาร ฯลฯ ถึงศาสตร์ที่ศึกษาด้านสมองจะมีอยู่มากมาย (neuroscience, cognitive science, psychology, psychiatry) ศาสตร์เหล่านั้นก็ยังใหม่ และองค์ความรู้ทางด้านสมองก็ยังจำกัดอยู่มาก ยังมีความเชื่อหลายๆ อย่างที่เชื่อกันมาตั้งแต่โบราณกาลและยังคงฝังหัวอยู่จนถึงปัจจุบัน ต่อไปนี้คือความเชื่อสุดฮิตเกี่ยวกับสมอง 10 เรื่อง เรามาเริ่มกันที่สิ่งที่ง่ายที่สุด สีของมัน

 
[dcs_p]

10 . สมองของเรามีสีเทา

เคยอ่าน Atlas Anatomy ทั้งหลายมั๊ยครับ? มัน เป็นหนังสือที่หลากสีที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ชาติ ตั้งแต่แดง น้ำเงินและม่วงของเลือด น้ำเหลืองสีเหลืองอ๋อยจนทาฝาบ้านได้ และสมองที่สีออกเทาๆ หม่นๆ แถมด้วยสมองกำซาบหรือสมองดองที่ขวดโหล ซึ่งถ้าไม่มีสีขาวอมเหลืองซีดๆ ก็จะมีสีเทา แต่ความจริงแล้วสมองของคนปกติที่ยังทำงานอยู่ นอกจากสีเทาหม่นๆ นั่นแล้ว ยังมีสีตั้งแต่สีขาว ดำ และแดง เช่น เดียวกับหลายๆ ความเชื่อของสมองที่เราจะพูดถึงต่อไป ความเชื่อนี้ก็มีส่วนจริงอยู่มาก เพราะส่วนใหญ่ของสมองมีสีเทา บางครั้งเราเรียกสมองทั้งก้อนว่า gray matter เพราะมันปรากฏอยู่ทั่วบริเวณของสมองและไขสันหลัง ประกอบไปด้วยเซลล์หลายชนิด เช่น neuron ถึงอย่างนั้น สมองก็ยังมีส่วนที่เรียกว่า white matter ซึ่งตามชื่อ มันมีสีขาว และเป็นส่วนที่เชื่อมระหว่าง gray matter เอาล่ะ นอกจากเทาและขาวแล้ว เรายังมีสีดำที่เรียกกันว่า substantia nigra ซึ่งเป็นคำละติน แปลว่า (ลองเดาสิ) “สสารดำ” ดำเพราะอะไร? มันดำเพราะรงควัตถุชื่อ neuromelanin ซึ่งก็คือ melanin ในผมและในผิวเลเวลอัพเพราะมาอยู่ในระบบประสาทน่ะแหละ สุด ท้าย เราก็มีสีแดง ซึ่งแน่นอน ก็เพราะเลือดจำนวนมากที่หล่อเลี้ยงสมองน่ะแหละ สมองตะกละมากนะ มันเป็นอวัยวะเล็กๆ ที่ต้องการออกซิเจนมากถึงหนึ่งส่วนห้าของที่เราสูดเข้าไปเลยล่ะ แล้วอะไรทำให้สมองดองมีสีเทาล่ะ? คำตอบคือสารที่ดองมันน่ะแหละ formaldehyde ที่ทำให้เราได้เห็นสมองดูทื่อๆ น่าเบื่อ แทนที่จะสดใสสวยงามเหมือนใน Atlas พวกนั้น จากสี เราจะไปที่เสียงกันต่อ

 

9.ฟังเพลงโมสาร์ททำให้คุณฉลาดขึ้น

ไม่รู้ว่า สมัยพ่อแม่เราเปิดโมสาร์ทให้เราฟังด้วยรึเปล่า แต่ตอนนี้มันเป็นธุรกิจที่บูมมาก พ่อแม่มือใหม่หลายคู่เปิดโมสาร์ท (ใช่ครับ ที่เค้าว่าต้องปีนกระไดฟังนั่นแหละ) ให้ทารกที่เผลอๆ ยังเดินไม่ได้ด้วยซ้ำของเขาฟัง ด้วยหวังว่าจะช่วยให้ฉลาดขึ้น! มีแม้กระทั่งซีดีเพลงคลาสสิกที่ทำขึ้นเพื่อเปิดให้ตัวอ่อนนครรภ์ฟัง! (มีหูรึยังเนี่ย!) ถึงขั้นตั้งกันเป็นเรื่องเป็นราวว่า the Mozart effect แล้วมันเริ่มจากตรงไหนล่ะ ประมาณ ปี 195X หมอหู คอ จมูก นาม อัลเบิรต์ โทมาทิส เริ่มความเชื่อนี้ อ้างว่าเค้าใช้เพลงของศิลปินระดับโลกช่วยผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับการพูด และการได้ยิน 199X การศึกษาที่ the University of California at Irvine บอกว่านักศึกษา 36 คน (จากเท่าไหร่ไม่รู้) ทำคะแนนทดสอบ IQ ได้ดีขึ้น 8 แต้ม (เช่นเคย เต็มเท่าไหร่?) หลังจากฟังโมสาร์ท 10 นาที และนี่ คือจุดเริ่มต้นของ Mozart effect เล่นเอาธุรกิจพวกนี้มีขึ้นมา ทำกันเป็นล่ำเป็นสัน ป่าวประกาศว่าใครฟังเนี่ยฉลาดขึ้น! แต่ Dr. Frances Rauscher อาจารย์จาก University of California at Irvine ก็มาแย้งว่าเราไม่ได้บอกว่าฟังแล้วฉลาดขึ้น แค่ช่วยเพิ่มความสามารถในการรับฟังบางส่วนเท่านั้น ต่อจากนั้นก็ยังไม่มีการศึกษาไหนยืนยันความเชื่อนี้อีก Rauscher ถึงขั้นมาบอกว่า เอาเงินที่เสียไปกับซีดีพวกนี้มาจ้างครูมาสอนดนตรีลูกดีกว่า เพราะอย่างน้อยก็มีการศึกษายืนยันว่าการเรียนดนตรีช่วยเพิ่มสมาธิ ความมั่นใจในตนเอง และการทำงานเป็นทีม สรุป โมสาร์ทไม่ได้ทำร้ายคุณหรอกนะ ถ้ารสนิยมคุณเป็นอย่างนั้นหรือพอจะฟังได้ ก็ฟังไปเถอะ แต่ถ้าฟังแล้วต้องฝืนเหลือเกิน ไม่ต้องหรอก เพราะมันไม่ทำให้คุณฉลาดขึ้น!

 

8. ตีนกาขึ้นสมอง เมื่อได้ลองรู้สิ่งใหม่

“นังโง่! สมองแกมีรอยหยักบ้างไหมฮึ” ตรรกะง่ายๆ สมองหยักเยอะ = ฉลาด ความจริงแล้วสมองมนุษย์วิวัฒนาการให้มีรอยหยัก เกิดจากการพับทบเนื้อสมองเพื่อทำให้มันมีขนาดกะทัดรัดพอที่จะบรรจุลงกะโหลกของเราได้ มันช่วยเราให้ไม่กลายเป็น ET ไปซะก่อน! ถ้าเราปล่อยให้มันคลายรอยพับออก สมองอาจมีขนาดเท่าหมอนหนุน เรา เรียกขดสมองที่ยื่นออกมาว่า gyri และร่องที่ลึกลงไปว่า sulci ทุกหยักและร่องในสมองถึงขั้นมีชื่อที่นักวิจัยสมองที่น่าสงสารต้องจำไปสอบ เรา เริ่มจากสมองเล็กที่ราบเรียบตอนแรกของตัวอ่อน แล้วมันก็ขยายขนาดและ neuron ต่างย้ายที่อยู่ เกิดเป็น gyri และ sulci ขึ้น ภายในสัปดาห์ที่ 40 สมองของเราก็มีริ้วรอยแห่งวัยแบบที่เราเป็นอยู่ตอนนี้ เพียงแค่ขนาดเล็กกว่าหน่อย ดังนั้น การเรียนสิ่งใหม่ๆ ไม่ได้ทำให้สมองเราหยักมากขึ้น แม้มันจะทำให้สมองเราเปลี่ยน แต่ก็ไม่ใช่เพิ่มรอยหยัก เราเรียกปรากฎการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดว่า brain plasticity การ ศึกษาสมองหนูที่กำลังเรียนสิ่งใหม่ๆ (ที่แน่นอนว่าไม่ใช่แคลคูลัส) พบว่ามี synapse (รอยต่อระหว่างเซลล์สมอง) เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับเม็ดเลือดในสมองที่เพิ่มและใหญ่ขึ้น แต่ก็ยังไม่ชัวร์ในคนนะ เรายังไม่กล้าผ่าสมองคนที่กำลังเรียนแคลคูลัสมาดูหรอก

 

7. โฆษณาแฝงในสื่อต่างๆ

เคยดูโฆษณามาม่าตอนดูทีวีดึกๆ มั๊ย? คนจัดผังนี่อย่างเลวเลย ดูทีไรได้เดินเข้าครัวทุกที นั่นมันโฆษณาชัดแจ้ง เห็นจะๆ แล้วถ้าเป็นโฆษณาที่เราเห็น สมองประมวลผล แต่เราไม่รับรู้ภาพนั้นล่ะ? พูดง่ายๆ ถ้ามันเร็วเกินกว่าที่เราจะรับรู้ได้ว่า เฮ้ย! มันชวนไปกินมาม่า subliminal message เป็นข้อความแฝง เริ่มจากนาย James Vicary นักวิจัยทางการตลาดช่างคิด แทรกข้อความว่า HUNGRY? EAT POPCORN ลงในหนังโต้งๆ แต่มันปรากฎอยู่เพียง 1 ในสามพันวินาที สั้นจุ๊ด แต่ผลแสดงว่าน้ำอัดลมขายดีขึ้นร้อยละ 18 และปอปคอร์นก็เช่นกันที่ร้อยละ 57! เล่นเอานักการตลาดเลียนแบบหมดทั้งในทีวีและวิทยุ (จะใส่เข้าไปยังไง) แต่ขอบคุณสวรรค์ ที่มันถูกแบน และขอบคุณสวรรค์อีกรอบ Vicary แตหลอกับผลการศึกษาครั้งนั้น เช่นเเดียวกับอีกครั้งที่แทรกคำว่า CALL NOW ไปในสัญญาณทีวีของแคนาดา ดังนั้น ไม่ต้องพยายามเลิกสูบบุหรี่ด้วยเทปที่แฝงคำพวกนี้หรอก จิตใต้สำนึกของคุณฉลาดกว่านั้นเยอะ

 

6. คนฉลาด เพราะสมองใหญ่

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ฉลาดที่สุดในโลก (ออกแนวยกหางตัวเอง) แต่ไม่ได้ยอมรับว่านั่นเป็นเพราะเรามีสมองใหญ่กว่าคนอื่นเขา เฉลี่ยแล้ว สมองคน เท่าๆ กับโลมาที่ว่ากันว่าฉลาดนัก หนักราว 1 จุดต๋อยๆ กิโลกรัม sperm whale ที่ไม่ได้ฉลาดนัก สมองหนักถึง 7.8 กิโลกรัม สุนัขบีเกิล หนักเพียงแค่ 72 กรัมเท่านั้น แต่แน่นอน ตัวใหญ่เท่าวาฬ จะให้สมองเล็กเท่ามดก็กระไรอยู่ เพราะ โลมาปกติหนักเฉลี่ย 160 กิโลกรัม ในขณะที่ sperm whale หนักถึง 13 ตัน (คุณไม่อยากมวยปล้ำกับมันแน่ๆ) ในขณะที่บีเกิลตัวน้อย หนักเพียง 11.3 กิโลกรัมเท่านั้น ดังนั้น มันไม่ได้อยู่ที่สมองหนักเท่าไหร่ แต่อยู่ที่สมองหนักเป็นสัดส่วนเท่าไหร่กับคุณต่างหาก และ เมื่อเราพูดถึงความฉลาด มันไม่ได้มีด้านเดียว คุณอาจคิดอะไรได้สารพัด แต่จมูกของคุณก็ยังแยกแยะกลิ่นสารเสพติดในกระเป๋าเดินทางไม่ออกใช่มั๊ยล่ะ ดังนั้นอีกจุดที่สำคัญคือ ส่วนต่างๆ ของสมองนั่นเอง

 

5. สมองของคุณยังทำงานอยู่ แม้ว่าคุณถูกตัดหัวแล้ว!

ในห้วงหนึ่งของประวัติศาสตร์ กิโยติน เป็นเครื่องมือสังหารที่เป็นที่นิยม แม้ในปัจจุบัน บางรัฐชาติก็ยังใช้มันอยู่ มัน นิยมเพราะมันสังหารได้อย่างรวดเร็ว และมีมนุษยธรรมเพียงพอที่เหยื่อจะไม่แม้แต่เจ็บ แต่มันเร็วขนาดไหน ขนาดที่สมองคุณยังไม่รู้ตัวเลยเหรอ ขนาดที่คุณยังมองเห็น เคลื่อนไหว กลอกตา หรืออะไรก็ตามราวๆ วินาทีหลังถูกแยกชิ้นส่วน ใช่หรือไม่ คอน เซปต์นี้เริ่มจากการปฏิวัติฝรั่งเศส วันที่ 17 กรกฎาคม 1793 สาวนาม Charlotte Corday ถูกประหารด้วยกิโยติน หลังจากคมมีดตัดเอาศีรษะเธอกระเด็นออก ผู้ช่วยประหารคนหนึ่งหยิบหัวเธอมา แล้วตบแก้ม (เพื่อ?) พยานโดยรอบยืนยันว่าดวงตาของเธอกลอกมามองเขาพร้อมกับสีหน้าไม่พอใจ (หลอนนะนั่น) หลังจากนั้น ผู้คนที่จะถูกประหารด้วยกิโยตินก็จะถูกขอให้กระพริบตา จนกว่าจะทำไม่ได้ (คิดได้นะ คำขอสุดท้าย) ซึ่งพยานต่างยืนยันว่าเหยื่อส่วนมากทำได้ราว 30 วินาที มันดูเรื่องราวที่น่าขนลุกที่อาจจะจบลงแค่นี้ แต่แพทย์สมัยใหม่เชื่อว่าปรากฎการณ์ดังกล่าวเกิดจากการ reflex ของกล้ามเนื้อ (คือกล้ามเนื้อกระตุกจากการสูญเสียเลือด หรือการควบคุม ทำให้ตากระพริบหรือกลอก) ไม่ใช่สติรู้ตัว (เมื่อถูกตัดออกจากร่างกาย ที่มีหัวใจอยู่ ก็ขาดเลือด เท่ากับขาดออกซิเจน Dr. Harold Hillman กล่าวว่าสติอาจจะดับวูบลงภายใน 2-3 วินาทีหลังจากการประหาร เพราะเลือดในสมองลดลงกะทันหัน นอกจากนี้ยังกล่าวด้วยว่ากิโยติน ประหารโดยการตัดเอาส่วนที่เชื่อมระหว่างสมองและไขสันหลังพอดี ดังนั้นคำกล่าวที่ว่ามันไม่เจ็บคงไม่จริงนัก เผลอๆ อาจสร้างความเจ็บปวดอย่างรุนแรงก็ได้ นี่เป็นเหตุให้เครื่องมือประหารนี้ไม่ได้ใช้ในหลายๆ ประเทศในปัจจุบันนั่นเอง

 

4. ความเสียหายในสมองจะอยู่กับคุณชั่วนิรันดร์

สมองอยู่ ในหัว หัวอยู่เหนือไหล่ ดังนั้นมันเป็นเรื่องง่ายที่จะทำร้ายสมองคุณ เช่นเดินชนเสารถไฟฟ้า ชนประตูกระจกใสกิ๊งหน้าสำนักงาน หรือล้มหัวกระแทกพื้น ลูกบอลจากเด็กนักเรียนอัดกระแทกหัว เหล่านี้ล้วนแล้วแต่สร้างรอยแผลให้สมอง รวมไปถึงการติดเชื้อในสมองด้วย รอยแผลในสมองพวกนี้เป็นอันตรายได้ตั้งแต่การมึนงงเล็กๆ น้อยๆ จนถึงกับอัมพาตเดินไม่ได้ แต่มันก็ไม่ได้อยู่ถาวรเสมอไปนะ การ บาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ที่เรียกว่า concussion เกิดจากการที่สมองเคลื่อนอย่างเร็วจนกระแทกกับด้านในของกะโหลก ก้อให้เกิดแผลเลือดออกหรือการฉีกขาดของสมอง เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้สมองสามารถจัดการซ่อมแซมกลับมาดังเดิมได้ ดังนั้น ไม่บ่อยนักที่คนเดินชนกระจกจะถึงขั้นพิการตลอดชีวิต แต่ในทางตรงข้าม การบาดเจ็บที่รุนแรงอาจทำให้สมองเสียหายอย่างหนัก อาจเกิดลิ่มเลือดหรือความดันผิดปกติในสมองที่ต้องการการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน เกือบจะทุกคนที่ประสบกับเหตุการณ์ร้ายแรงกับสมองมีการบาดเจ็บที่รุนแรง ถาวร และแก้ไขไม่ได้ แล้วถ้ามันไม่ได้เบา แต่ก็ไม่หนักขนาดนั้นล่ะ ก็ต้องแยกคิดพิจารณา ถ้า neuron บาดเจ็บล่ะก็ เป็นไปไม่ได้ที่จะซ่อม แต่ถ้าเสียหายที่ synapse ก็เป็นไปได้ที่จะหายดี (เพราะ synapse สามารถเปลี่ยนแปลง แก้ไข และสร้างใหม่ได้ เวลาเรียนรู้) เมื่อการเชื่อมต่อเป็นผล สมองส่วนนั้นก็อาจกลับมาทำงานปกติได้ ทำให้ผู้ป่วยบางคนสามารถกลับมาพูดได้อีกครั้งหลังการบำบัด อย่างที่ บอก เรารู้อะไรเกี่ยวกับสมองน้อยมาก ทุกวันนี้แพทย์อาจต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่าคนไข้ของเขากลับมาขยับตัวได้ พูดคุยได้เป็นปกติหลังการบำบัดที่สิ้นหวังนานนับปี นี่คือความมหัศจรรย์ของสมองคน!

 

3. ใช้ยาผิดพลาด สมองอาจเป็นรู

ผลข้างเคียงจาก การใช้ยายังเป็นถกเถียงกันมาก บางคนเชื่อว่ามีเพียงยาบางตัวที่รุนแรงเท่านั้นที่ส่งผลเสียกับสมอง ในขณะที่อีกพวกกลับเชื่อว่าไม่ว่ายาใดก็ตาม ทันทีที่คุณ take มันเข้าไป มันสร้างความเสียหายทันที มีรายงานว่ากัญชาสามารถก่อให้เกิดการสูญ เสียความทรงจำเล็กๆ น้อยๆ ได้ บางรายงานถึงกับบอกว่ามันสามารถทำให้สมองบางส่วน “หด” ได้ บางคนถึงกับเชื่อว่ายาเหล่านี้อาจสร้าง “รู” ขึ้นมาในสมอง จริงๆ แล้ว สิ่งที่จะทำให้สมองคุณเป็นรูได้ ก็คือมีด หรืออะไรก็ตามที่...เข้าไปในหัวคุณ ซึ่งคุณคงไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้นง่ายๆ แน่ แต่เหตุที่สมองได้รับผลจากยาบางตัว ทั้งชั่วคราวและถาวรก็เพราะมันส่งผลต่อ neurotransmitter ซึ่งเป็นสารเคมีที่ส่งต่อข้อมูลระหว่างสมอง ในบางกรณี การเปลี่ยนเปลงระดับของ neurotransmitter อย่างเฉียบพลันอาจก่อให้เกิดความเสียหายกับ neuron ซึ่งแก้ไขได้หรือไม่ ยังคงถกเถียงกันอยู่ ในทางตรงกันข้าม ยังมีอีกงานวิจัยหนึ่งในปีนี้แสดงว่ายาบางชนิดขยายขนาดของสมองให้ใหญ่ขึ้น อย่างถาวร และอ้างว่านี่เป็นเหตุที่ทำให้เกิดการติดยา สรุปง่ายๆ ไม่ว่ายาจะทำให้สมองใหญ่ขึ้นจนติดยาหรือไม่ มันไม่มีทางทำให้สมองคุณเป็นรูโบ๋ได้

 

2.แอลกอฮอลล์สามารถทำให้เซลล์สมองตาย

กินเหล้า แล้วเมา เมาแล้วเดินไม่ได้ พูดไม่รู้เรื่อง ตอบสนองช้า ปวดหัว มึน อาเจียน คลื่นไส้ อาการทั้งหมดควบคุมโดยสมอง ดังนั้นเหล้าทำให้สมองตาย จริงเหรอ? ไม่ หรอก แม้จะเป็นนักดื่มตัวยง ก๊งกันเช้าเย็น เหล้าก็ไม่อาจทำให้เซลล์สมองตายได้ แต่มันสามารถทำร้ายปลายด้านหนึ่งของเซลล์สมอง เรียกว่า dendrite เป็นเหตุให้การสื่อข้อมูลระหว่างแต่ละเซลล์เป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น และความเสียหายนี้สามารถกลับเป็นปกติได้ ที่เราเรียกกันว่าสร่างเมานั่นเอง อย่าง ไรก็ตาม ผู้ดื่มมากๆ จนได้รับพิษแอลกอฮอลล์มากเกินไปอาจเกิดโรคชื่อยาวว่า Wernicke-Korsakoff syndrome ซึ่งทำให้ neuron บางส่วนเสียหาย ส่งผลให้ความจำมีปัญหา มึนงง ดวงตาขยับไม่ได้เป็นปกติ การทำงานประสานกันของกล้ามเนื้อผิดพลาด และความจำเสื่อม ท้ายที่สุด อาจถึงขึ้นเสียชีวิตได้ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอลล์อย่างเดียวหรอก แต่เกิดจากการขาด thaimine หรือวิตามิน บี ชนิดหนึ่งร่วมด้วย ซึ่งคนติดเหล้าส่วนมากก็ไม่มีเงินพอจะซื้อข้าวกล้องกินหรอกนะ และแอลกอฮอลล์ยังยับยั้งการดูดซึม thaimine อีกด้วย ดังนั้น แอลกอฮอลล์อาจไม่ได้ฆ่าเซลล์สมองโดยตรงง แต่มันก็อันตรายอยู่ดีถ้าคุณดื่มมันเข้าไปมากพอ

 

1. คนเราใช้สมองแค่ 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นแหละ

สุดยอดความเชื่อแห่งปี เชื่อว่าทุกคนคงเคยได้ยินแล้วก็คิดว่า เสียดายจัง น่าจะใช้งานได้มากกว่านี้ เราจะได้ฉลาดขึ้นอีกเยอะ แล้ว ความเชื่อนี้เริ่มจากที่ไหนล่ะ หลายคนเชื่อว่าเป็นคำพูดของ William James นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ซึ่งเขาแค่พูดว่า “คนทั่วไปใช้สมองเพียงแค่ส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งเท่านั้น” อานุภาพของปากต่อปากยิ่งใหญ่เสมอ สุดท้ายจึงกลายเป็น “คนเราใช้สมองเพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์” ประเด็น ที่ควรจะคิดคือ ในเมื่อสมองขี้เกียจขนาดทำงานแค่หนึ่งในสิบ แล้วทำไมมันตะกละเอาพลังงานไปตั้งตั้งหนึ่งในห้าของที่ร่างกายรับ (วะ?) แล้วเราจะมีสมองใหญ่ๆ กว่า sperm whale หรือหมาบีเกิลทำไมถ้าเราไม่ได้ใช้มันเต็มที่ บางคนถึงขั้นเชื่อว่าคนที่ใช้อีก 90 เปอร์เซ็นต์ได้คือผู้มีพลังจิต! (โอ้ว! จอร์จ) เรื่อง ของเรื่องคือ สมองมีเซลล์ตั้งหลายเซลล์ทำงานอยู่ร่วมกัน ไปพร้อมๆ กัน นั่นทำให้เราอาจถึงพิการได้แม้จะบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยในสมอง จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะใช้สมองได้เล็กน้อยถึงเพียงนั้น การสแกน สมองยังแสดงให้เห็นว่าไม่มีส่วนใดของสมองที่ทำงานตลอดเวลาไม่ว่าเราจะทำอะไร สมองแยกออกเป็นส่วนๆ ทำหน้าที่ต่างๆ กัน เราพูด สมองส่วนหนึ่งก็เคลื่อนไหว เราเดินก็อีกส่วนหนึ่ง หลับฝันก็อีกส่วนหนึ่ง บางส่วนอาจทำหน้าที่หลายอย่าง แต่ไม่มีส่วนใดเลยที่ไม่ทำงานเลย ยกเว้นมีการบาดเจ็บเกิดขึ้นในสมอง[/dcs_p]

 

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 


โพสท์โดย: moses
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
28 VOTES (4/5 จาก 7 คน)
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
จุดจบของทุกมื้ออาหาร สาวคนหนึ่งถามว่า ทำไมถึงมี “กลิ่นแปลก” ที่น้ำตก เมื่อได้รู้ที่ตั้งแล้วกลับรู้สึกขนลุก!ซิ่งหนีตำรวจ ดับยกคัน"เสือร้องไห้ : เมนูตำนานแห่งรสชาติ ที่ทำให้เจ้าป่ายังต้องน้ำตาไหลริน"อ่านคำพิพากษาเต็ม ศาลมีคำตัดสินประหๅรชีวิต แอม ไซยาไนด์แรงมาก! "ออสเมล" เปลี่ยนฝั่งขออยู่ข้าง "ณวัฒน์" หลัง "แอน จักรพงษ์" เซ่นพิษดราม่า MU 2024ศาลตัดสินประหารชีวิต 'แอม ไซยาไนด์' ปมคดีสะเทือนขวัญ อดีตสามีและทนายโดนจำคุกประเทศที่มีกำลังทหารมากที่สุดในโลกยุคปัจจุบันลิซ่าประกาศเปิดตัวอัลบั้มเต็มต้นปีหน้ารูปเดียวเปลี่ยนโลก! จนท.กราวด์สายการบินดัง ยิ้มสะกด หนุ่มตามหาทั้งโซเชียลเตือนภัย 2 เครื่องดื่มยอดฮิต ตัวการ "ดื้ออินซูลิน" อ้วนไม่รู้ตัว!พระธาตุนคร วัดมหาธาตุ พระธาตุประจำวันเกิดวันเสาร์ จังหวัดนครพนมกลัวจนไม่กล้ากิน! สาวเจอจุดขาวใน 'ไส้อั่ว' แต่ผู้รู้มีคำอธิบาย
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
ผบ.ทร.เดินหน้าซื้อเรือฟริเกต 2 ลำเตือนภัย 2 เครื่องดื่มยอดฮิต ตัวการ "ดื้ออินซูลิน" อ้วนไม่รู้ตัว!พระธาตุนคร วัดมหาธาตุ พระธาตุประจำวันเกิดวันเสาร์ จังหวัดนครพนมลิซ่าประกาศเปิดตัวอัลบั้มเต็มต้นปีหน้า
ตั้งกระทู้ใหม่