บทเรียนจากอดีต….ที่เราลืมเลือน
บทเรียนจากอดีต….ที่เราลืมเลือน
เอกราชที่เราภาคภูมิใจแห่งแผ่นดินสยาม หารู้ไม่เคยเสียถึง 2 ครั้งด้วยกันในสมัยอยุธยา เสียครั้งแรกนั้นเราแค่ตกเป็นประเทศราชของพม่ารามัญยาวนานถึง 15 ปี 15 ปีที่เจ็บช้ำกับที่พม่ารามัยไล่ตอนชาวบ้านกลับประเทศพม่า ไปเป็นเชลย จน สมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรือ สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๒ มีพระนามเดิมว่า พระองค์ดำทรงหลั่งทักษิโณทกตัดสัมพันธไมตรีกับหงสาวดีประกาศแก่เทพยดาฟ้าดินว่า "ด้วยพระเจ้าหงสาวดี มิได้อยู่ในครองสุจริตมิตรภาพขัตติยราชประเพณี เสียสามัคคีรสธรรม ประพฤติพาลทุจริต คิดจะทำอันตรายแก่เรา ตั้งแต่นี้ไป กรุงศรีอยุธยาขาดไมตรีกับกรุงหงสาวดีมิได้เป็นมิตรร่วมสุวรรณปฐพีเดียวกันดุจดังแต่ก่อนสืบไป"กวาดต้อนครัวไทยครัวมอญข้ามแม่น้ำสะโตงกลับคืนพระนคร และกู้เอกราชได้ในที่สุด
สาเหตุที่เสียกรุงครั้งที่ 1 ขาดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของพลเมือง แบ่งพักแบ่งพวก และ การแก่งแย้งอำนาจกันเอง
….การเสียกรุงศรีครั้งที่ 2 น่าเจ็บช้ำใจเสียยิ่งกว่า เพราะ การเสียกรุงครั้งนี้ไม่เหลืออะไรเลยเลย โดนเผาบ้านเผาเมือง ทรัพย์สินเงิน โดนเอาไปหมด เหลือเพียงซากปรักหักพัง ให้ดูต่างหน้า สาเหตุที่ เสียกรุงนั้น เพราะ การขาดความสามัคคี ขุนนางมัวแต่หาความสุขส่วนตัว อีกทั้งผู้บริหารบ้านเมืองอ่อนแอเองจนต้องเสียกรุงในที่สุด
อดีตที่เราลืมเลือน การแบ่งพักแบ่งพวก การขาดความสามัคคี การเห็นแก่ได้ของคนบางกลุ่ม จนต้องเสียแผ่นดิน เสียเอกราชไป …….
๏ ธงชาติไทยไกวกวัดสะบัดพลิ้ว
แลริ้วริ้วสลับงามเป็นสามสี
ผ้าผืนน้อยบางเบาเพียงเท่านี้
แต่เป็นที่รวมชีวิตและจิตใจ
ชนรุ่นเยาว์ยืนเรียบระเบียบแถว
ดวงตาแน่วนิ่งตรงธงไสว
“ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย”
ฟังคราวใดเลือดซ่านพล่านทั้งทรวง
ผืนแผ่นดินถิ่นนี้ที่พำนัก
เราแสนรักและแสนจะแหนหวง
แผ่นดินไทยไทยต้องครองทั้งปวง
ชีพไม่ล่วงใครอย่าล้ำมาย่ำยี
เธอร้องเพลงชาติไทยมั่นใจเหลือ
พลีชีพเพื่อชาติที่รักทรงศักดิ์ศรี
เพลงกระหึ่มก้องฟ้าก้องธาตรี
แม้ไพรีได้ฟังยังถอนใจ
แต่สิ่งหนึ่งซึ่งไทยร้าวใจเหลือ
คือเลือดเนื้อเป็นหนอนคอยบ่อนไส้
บ้างหากินบนน้ำตาประชาไทย
บ้างฝักใฝ่ลัทธิชั่วน่ากลัวเกรง
ทุกวันนี้ศึกไกลยังไม่ห่วง
แต่หวั่นทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหง
ถ้าคนไทยหันมาฆ่ากันเอง
จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง! ๚
ประพันธ์โดย นภาลัย (ฤกษ์ชนะ)สุวรรณธาดา , ๒๕๑๐