เรื่องลึกๆแต่ไม่ลับของถุงยางอนามัย 0.0!!!!!!!
ถุงยางอนามัยเป็นการคุมกำเนิดชนิดเดียวที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ด้วย เช่น ป้องกันโรคหนองในแท้ หนองในเทียม หูดหงอนไก่ เริม ซิฟิลิส และที่สำคัญก็คือเอชไอวี/เอดส์ ขณะที่ประเทศญี่ปุ่นนิยมใช้ถุงยางอนามัยมาก ประมาณว่า ร้อยละ 80 ของประชากร คุมกำเนิดโดยถุงยางอนามัย ส่วนประเทศเรานิยมใช้ถุงยางอนามัยไม่เกินร้อยละ 20 ของประชากร การสำรวจในวัยรุ่นที่มีเพศสัมพันธ์ บางงานวิจัยพบว่า วัยรุ่นใช้ถุงยางอนามัยเพียงร้อยละ 5 เท่านั้นเอง จึงมีการรณรงค์การใช้ถุงยางอนามัยกันอย่างกว้างขวาง ผู้เริ่มนำการรณรงค์คือ คุณมีชัย วีรไวทยะ คิดกลยุทธ์เพื่อไม่ให้คิดว่าถุงยางอนามัยเป็นของน่ารังเกียจ เช่น นำถุงยางอนามัยมาเป่าลูกโป่งแข่งกัน ทำเป็นเสื้อผ้า ทำเป็นหมวกสวมใส่ เป็นต้น จึงได้รับการยกย่องเรียกถุงยางอนามัยว่า ‘ถุงมีชัย’
ถุงยางอนามัยปัจจุบันทำให้น่าใช้มากขึ้นค่ะ ด้วยมีลูกเล่นมากมาย ตั้งแต่มีกลิ่นมีรสต่างๆ เช่น บลูเบอร์รี่ ส้ม มะนาว สตรอเบอร์รี่ องุ่น เป๊ปเปอร์มินต์ สเปียร์มินต์ เมล่อน พีช แอปเปิ้ล เมนทอล กล้วย ฯลฯ มีทุกสี บางทีก็ทำเป็นสีเจ็ดสีตามวัน มีความขรุขระ มีริ้ว มีปุ่ม
มีความเรียบ ขนาดก็มีทั้งหนาและบาง หนาสำหรับคนที่กลัวถุงยางอนามัยรั่ว บางสำหรับผู้ชอบสัมผัสธรรมชาติ โดยบางแค่ 0.02 มิลลิเมตรเท่านั้น มีการเรืองแสงในที่มืดเผื่อมองไม่เห็นเมื่อดับไฟ มีการใช้สารหล่อลื่นผสมยาชาเพื่อให้ทนนาน ที่ทันสมัยคือ มีถุงยางอนามัยชนิดที่มีเสียงดนตรีประกอบ เมื่อมีการเสียดสี เสียดสีเร็วเสียงดนตรีก็เร่งเร็วประกอบจังหวะ
สำหรับขนาดที่ควรจะเลือกใช้ จากการวัดขนาดชายไทย พบว่าเส้นผ่าศูนย์กลางของอวัยวะเมื่อแข็งตัวเต็มที่ เส้นผ่าศูนย์กลางเฉลี่ยอยู่ที่ 49 มิลลิเมตรค่ะ ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ปี 2535 ได้กำหนดประเภทของถุงยางอนามัยที่ทำจากยางธรรมชาติ 13 ประเภท มีตั้งแต่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 44 - 56 มิลิเมตร ความยาวไม่ต่ำกว่า 160 มิลลิเมตร แต่ในท้องตลาดเมืองไทยที่นิยมมีสองขนาด โดยมีขนาดใหญ่ (L) คือขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 49 มิลลิเมตรความยาว 160 มิลลิเมตร และขนาดใหญ่ยักษ์ (XL) คือขนาด 52 มิลลิเมตร ความยาว 180 มิลลิเมตร อันที่จริงขนาดใหญ่ (L) คือขนาดเล็กของคนทางยุโรป และขนาดใหญ่ยักษ์ (XL) คือขนาดธรรมดา จะเห็นว่าถุงยางอนามัยไม่มีขนาดเล็ก (S) หรือขนาดปานกลาง (M) เพราะเกรงเกิดปัญหาทางจิตใจต่อคนซื้อ อย่างไรก็ตาม หากอวัยวะยาวใหญ่กว่าคนทั่วไป อาจเลือกใช้ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง56 มิลลิเมตร
ถุงยางอนามัยนั้น ช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ดี แต่ประสิทธิภาพการคุมกำเนิดไม่ดีนัก การคุมกำเนิดมีประสิทธิภาพตามทฤษฎีคือ ร้อยละ 97 แต่ในความเป็นจริง 100 คนที่ใช้ถุงยางอนามัย พลาดตั้งครรภ์ ตั้งแต่ 10 - 15 คน นั่นคือมีประสิทธิภาพจริงแค่ร้อยละ85 - 90 หากมีเพศสัมพันธ์เป็นประจำ ควรคุมกำเนิดชนิดที่แน่นอนกว่าร่วมด้วย เช่น ยาคุมชนิดกิน ฉีด ฝังคุมกำเนิด
วิธีสวมถุงยางอนามัยให้ถูกต้อง ดูเหมือนจะง่าย แต่ที่พบประสบมา มีผู้หญิงหลายคนมาหาด้วยอาการอายแสนอาย เพราะเจ้าถุงยางอนามัยเลื่อนหลุดเข้าไปในช่องคลอด เอาออกเองก็ไม่ได้ ทั้งยังพบเจอเหตุการณ์คนไข้มาขอคุมกำเนิดฉุกเฉิน เพราะถุงยางแตก บ้างประปราย
มาเรียนรู้ขั้นตอนที่ถูกวิธีในการสวมถุงยางอนามัยกันดีกว่านะคะ
1. เลือกถุงยางอนามัยตามขนาดที่เหมาะสม ตามคุณสมบัติที่ถูกใจ ที่ไม่หมดอายุ มีการรับรองตามมาตรฐาน และไม่เก่าเก็บ ไม่ใช่ถุงยางที่เก็บไว้ในที่ร้อน หรือในกระเป๋าสตางค์ที่มีการนั่งทับจนแบนแต๊ดแต๋เป็นเวลานาน
2. ฉีกถุงยางอนามัยด้วยมือด้วยความระมัดระวัง ไม่ให้เล็บ หรือของมีคมไปเกี่ยวโดนตัวถุงยางอนามัย เพราะจะทำให้ขาดหรือ
รั่วซึมได้
3. กรณีที่เลือกถุงยางอนามัยที่มีกระเปาะเก็บน้ำอสุจิตรงปลาย ต้องบีบไล่ลมออกจากกระเปาะก่อนสวมเข้ากับอวัยวะที่แข็งตัวเต็มที่
4. คลี่ถุงยางอนามัยออกมาประมาณ 1 - 2 เซนติเมตร โดยให้ขอบรอยม้วนที่เป็นวงแหวนอยู่ด้านนอก แล้วนำมาสวมกับอวัยวะที่แข็งตัวเต็มที่ หากเป็นถุงยางที่ไม่มีกระเปาะตรงปลาย ต้องเหลือเนื้อที่ตรงปลายไว้เล็กน้อย เพื่อเก็บกักอสุจิ มิฉะนั้นถุงยางอนามัยจะแตกได้
5. หากขณะนำมาใช้ รู้สึกว่าหล่อลื่นไม่พอ สารหล่อลื่นที่จะใช้เพิ่มต้องเป็นเจลหล่อลื่นชนิดน้ำหรือซิลิโคน ห้ามใช้อุปกรณ์ในห้องครัวหรือใกล้ตัว เช่น น้ำมันพืชต่างๆ วาสลิน ฯลฯ เพราะจะทำลายถุงยางอนามัยให้รั่วซึมได้
6. แม้จะกลัวการติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์เพียงใด ห้ามสวมถุงยางอนามัยเกิน 1 ชั้น เพราะยิ่งมากชั้น เวลาปฏิบัติการถุงยางจะยิ่งเสียดสีกันทำให้รั่วหรือแตกได้ง่ายขึ้น
7. หลังจากสำเร็จกิจ ต้องรีบถอนถุงยางอนามัยออกมา โดยต้องเอามือจับโคนถุงยาง มิฉะนั้นจะถอนออกมาแต่อวัยวะ ถุงยางหลุดอยู่ด้านใน ทั้งห้ามแช่เพราะหากอวัยวะเพศอ่อนตัวทำให้ถุงยางหลุดค้างคาเข้าไปด้านในได้ ระมัดระวังการจับโดนด้านนอกของถุงยางอนามัยหลังสำเร็จกิจ เพราะอาจจะติดเชื้อจากสารคัดหลั่งของฝ่ายหญิงที่ติดมากับด้านนอกของถุงยางอนามัย
8. เมื่อใช้เรียบร้อยแล้ว ควรไปรองน้ำดูว่ารั่วหรือซึมไหม หากรั่วหรือซึมจะได้รีบแก้ไข เช่น รับประทานยาคุมฉุกเฉิน หรือรับประทานยาต้านไวรัสเอดส์
9. ควรหุ้มห่อ ใส่ถุงพลาสติก และทิ้งถุงยางอนามัยที่ใช้แล้ว ในถังขยะมีพิษ ไม่ควรทิ้งในชักโครก หรือทิ้งในถังขยะรีไซเคิลค่ะ
ซ้ำขออภัยค่ะ