รถไฟไทยอยู่ตรงไหน
รถไฟไทยอยู่ตรงไหน? : รางรถไฟในไทย
เป็นที่ทราบกันดีว่ารถไฟเป็นทางเลือกในการคมนาคมขนส่งที่มีศักยภาพสูง สามารถเดินทางได้เร็วไม่ต้องคอยหลบหรือแย่งทางกับใคร มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานที่ค่อนข้างสูง มีความปลอดภัยสูง สามารถสร้างสถานีในใจกลางเมืองได้ง่ายกว่าสนามบิน มีพื้นที่โดยสารที่กว้างขวาง การออกเดินทาง/เทียบท่าไม่ยุ่งยากเหมือนการเดินทางทางอากาศ เราจึงพบว่าในหลายๆประเทศทั่วโลกมีการพึ่งพารถไฟไม่น้อย ในระดับที่แตกต่างกันไป
สำหรับประเทศไทย รถไฟอยู่คู่คนไทยมานับร่วมร้อยกว่าปี สถานีรถไฟหัวลำโพงสร้างเสร็จและเริ่มใช้งานในสมัยรัชกาลที่ 5 ณ วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2459 โดยประเทศไทยนับเป็นประเทศที่สองในทวีปเอเชียที่มีรถไฟใช้ ถัดจากประเทศญี่ปุ่น
ข้อมูลเกี่ยวกับรถไฟนั้นมีได้ในหลากหลายแง่มุม หนึ่งในนั้นคือข้อมูลของระบบรางรถไฟ (Railways) ที่สะท้อนถึงศักยภาพของโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) โดยรวม ซึ่งแน่นอนว่าประเทศที่มีรางรถไฟน้อย การจะพัฒนาการรถไฟต่อไปย่อมทำได้ยาก ดังนั้นตัวเลขหนึ่งที่สามารถนำมาเปรียบเทียบได้ง่ายคือความยาวรางรถไฟทั้ง ประเทศ แต่ทั้งนี้เนื่องจากแต่ละประเทศมีขนาดพื้นที่ไม่เท่ากัน เช่นประเทศรัสเซียที่มีพื้นที่กว้างอาจจะมีรางรถไฟที่ยาวกว่าเป็นธรรมดา การเทียบรางรถไฟต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่จึงบอกถึงศักยภาพของโครงสร้างรถไฟที่ เข้าถึงต่อพื้นที่ในประเทศได้ดีกว่า ในขณะที่ตัวเลขความยาวรางรถไฟต่อหน่วยประชากรอาจจะบอกถึงความเพียงพอของราง รถไฟต่อหน่วยประชากร
ข้อมูลจาก Wikipedia แสดงความยาวรางรถไฟดังนี้ [1]
Railway length (km) | m track per Area (km^2) | km track per million population | |
---|---|---|---|
USA | 226,427 | 23 | 725 |
Russia | 128,000 | 7 | 895 |
Chiina | 91,000 | 10 | 68 |
India | 64,215 | 20 | 53 |
Germany | 41,896 | 105 | 512 |
Japan | 23,474 | 62 | 183 |
Thailand | 4,429 | 9 | 66 |
South Korea | 3,381 | 40 | 69 |
Malaysia | 1,665 | 5 | 59 |
ตัวเลขเหล่านี้บอกอะไรเราได้บ้าง? จะเห็นได้ว่าประเทศที่มีพื้นที่กว้างขวาง เช่น รัสเซียและจีน อาจจะมีรางรถไฟน้อยเมื่อเทียบกับพื้นที่ (แม้ว่ารัสเซียจะมีระบบขนส่งรถไฟสาย Trans Siberian Railway ที่โด่งดัง และประเทศจีนมีโครงการรถไฟความเร็วสูงมากมายเป็นอันดับแรกๆของโลก) ส่วนประเทศญี่ปุ่นนั้นมีขนาดพื้นที่เล็กและความนิยมทางการใช้รถไฟสูงมากจึง มีอัตราส่วนรางรถไฟต่อพื้นที่สูงมากที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง ทั้งนี้ เราอาจจะสามารถเทียบความยาวรางรถไฟประกอบปริมาณประชากรด้วยว่าโครงสร้างราง รถไฟมีเพียงพอแค่ไหนเทียบกับประชากร เช่นแม้ประเทศรัสเซียมีรางรถไฟต่อหน่วยพื้นที่ที่น้อย แต่กลับมีรางรถไฟต่อประชากรที่สูง
สำหรับส่วนของประเทศไทยนั้น ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้มีความยาวรางรถไฟต่อหน่วยพื้นที่สูงเหมือนญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย หรือสหรัฐฯ แต่เราก็มีความยาวรางรถไฟสูงเป็นอันดับที่ 37 ของโลกและยังมีความยาวรางรถไฟต่อหน่วยพื้นที่มากกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่าง มาเลเซีย หรือประเทศอย่าง รัสเซีย (ทั้งนี้ ควรพิจารณาปริมาณพื้นที่ของประเทศประกอบด้วย) ในทางกลับกันหากเทียบความยาวรางรถไฟต่อหน่วยประชากรแล้วจะพบว่าประเทศ เยอรมนีกลับมีรางรถไฟมากเมื่อเทียบกับประชากร ส่วนประเทศไทยนั้นจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรางรถไฟต่อประชากรค่อนข้างน้อย เช่นเดียวกับจีน อินเดีย เกาหลีใต้ และมาเลเซีย
หากเราพิจารณาข้อมูลรายละเอียดเฉพาะในส่วนของประเทศไทยแล้ว จากรายงานประจำปีของ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กระทรวงคมนาคม ประจำปี 2552 (ข้อมูลล่าสุดที่เผยแพร่ในเว็บไซต์) ระบุว่า[2]
- ที่ดินของการรถไฟมีทั้งหมด 234,976.95 ไร่ แบ่งออกเป็น ที่ดินเพื่อการเดินรถ 198,674.76 ไร่ ที่ดินเพื่อการพาณิชย์ 36,302.19 ไร่
- รายได้เชิงพาณิชย์จากการเดินรถ 59.24 ล้านบาท/ปี รายได้เชิงพาณิชย์จากพี่ดินเพื่อการพาณิชย์ 1,495 ล้านบาท/ปี
- รางรถไฟในประเทศไทยที่อยู่ในเกณฑ์ต้องปรับปรุงเพื่อให้ได้มาตรฐาน (Grade B) และเพื่อความปลอดภัย (Grade C) มีความยาวทั้งสิ้น 2,272 กิโลเมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 51 ของรางรถไฟทั้งหมด
- สะพานที่ต้องได้รับการปรับปรุงเพื่อความปลอดภัยมีทั้งสิ้น 1,648 แห่ง หรือคิดเป็นร้อยละ 61
- หมอนรองราง ที่ต้องปรับปรุงเพื่อความปลอดภัยมีทั้งสิ้น 1,382 กม. หรือคิดเป็นร้อยละ 31
รถไฟไทยอยู่ตรงไหน? : รถไฟไทยพัฒนาแค่ไหน?
หลักจากได้พูดถึงโครงสร้างพื้นฐานและความเข้าถึงของรถไฟไป แล้วในตอนแรก ข้อมูลอีกด้านหนึ่งที่น่าสนใจก็คือความล้าหลัง(หรือระดับการพัฒนา)ของการ รถไฟ ซึ่งอาจจะวัดได้จากความทันสมัยของเทคโนโลยีที่ใช้
ดัชนีชี้วัดอย่างหนึ่งที่อาจจะนำมาใช้ได้คือความกว้างของราง รางที่กว้างกว่าจะมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนและบำรุงรักษาที่สูงกว่า แต่จะทำให้การเดินทางสเถียรกว่าและรถไฟสามารถวิ่งได้เร็วกว่ามาก อีกเทคโนโลยีหนึ่งที่สามารถบ่งชี้ถึงระดับการพัฒนาของการรถไฟคือการเปลี่ยน มาใช้หัวจักรที่ใช้พลังงานไฟฟ้า หัวจักรพลังงานไฟฟ้ามักจะให้ความเร็วที่สูงกว่าและ “สะอาด” กว่า (ในแง่ที่ไม่สร้างมลภาวะทางอากาศและเสียงในชุมชนแต่ไปสร้างที่โรงไฟฟ้าแทน) นอกจากนี้หัวจักรไฟฟ้ายังค่อนข้างเงียบและเดินทางได้นิ่งกว่า เหมาะแก่การโดยสาร
ตัวเลขที่สามารถวัดการพัฒนาของรถไฟโดยสารได้คือสัดส่วนของรางที่ใช้ราง ขนาดกว้าง (standard gauge) เทียบกับรางขนาดแคบ (narrow gauge) และรางชนิดที่ใช้ไฟฟ้า (electrified rail) ประกอบกับความเร็วหัวรถจักรสูงสุด
Railway length: narrow guage (electrified) (km) | Railway length: standard guage (electrified) (km) | Max speed (km/h) | |
---|---|---|---|
USA | 0 | 224,792 | 240 |
Russia | 957 | 86,200 (40,300) | 250 |
Japan | 22,445 (15,366) | 4,737 (4,737) | 240-300 |
China | 0 | 86,000 (36,000) | 300 (431 for Shanghai Maglev Train) |
Germany | 259 (99) | 41,722 (20,053) | 330 |
South Korea | 0 | 3,381 (1,843) | 305 |
India | 9,717 | 54,257 (18,927) | 150 |
Malaysia | 1,792 (150) | 57 (57) | 160 |
Thailand | 4,042 | 29 (29) | 90-100 |
จะเห็นได้ว่าประเทศสหรัฐอเมริกาแม้จะมีรางรถไฟมากแต่ไม่ค่อยมีการใช้ ไฟฟ้า อาจจะเป็นเนื่องมาจากรถไฟส่วนใหญ่นั้นใช้ขนส่งสินค้าและการโดยสารโดยรถไฟยัง ไม่เป็นที่นิยมเท่าใดนัก ส่วนประเทศญี่ปุ่นมีการเปลี่ยนไปใช้หัวรถจักรไฟฟ้าเป็นจำนวนมากสอดคล้องกับ ความนิยมในการโดยสารที่สูง
สำหรับประเทศไทยนั้น เป็นที่ชัดเจนว่าความเร็วหัวรถจักรเรามีความเร็วที่ช้ามาก (ติดอันดับโลก) นอกจากนี้รางรถไฟของเราทั้งหมดเป็นแบบรางแคบและไม่มีกระแสไฟฟ้า (ยกเว้นแต่รถไฟสาย airport link ซึ่งคือจำนวน 29 กม.ที่เป็น standard guage ทั้งหมด) ไม่ว่าจะมองทางใด รถไฟของประเทศไทยนั้นนับจัดอยู่ในระดับที่เรียกว่า “ล้าหลังเป็นอย่างมาก”
จากข้อมูลของรายการ “จอโลกเศรษฐกิจ” ในตอนที่ทำเรื่องของการรถไฟไทย มีประเด็นที่เป็นใจความสำคัญดังนี้
- รางรถไฟในไทยกว่า 94% เป็นแบบรางเดี่ยว นั่นหมายถึงรถไฟไม่สามารถวิ่งสวนทางกันได้กว่า 94% ของประเทศ จึงมีลักษณะเป็นคอขวดทำให้เกิดการล่าช้า
- มีตู้ขบวนโดยสาร 1352 คัน ใช่ไม่ได้กว่า 500 คัน
- หัวรถจักรมี 256 คัน รุ่นเก่าสุดอายุ 45 ปี รุ่นใหม่สุดอายุ 13 ปี
- ความต้องการใช้งานหัวรถจักร 155 คันต่อวัน ใช้ได้จริง 137 คัน
อย่างไรก็ตามข้อมูลที่บ่งบอกถึงความ “ล้าหลัง” ที่สุดของรถไฟไทยได้ดีที่สุดที่ปฏิเสธไม่ได้คงจะมาจากประสบการณ์โดยตรงของ ทุกๆท่านกับรถไฟไทยของเราที่แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลยในเวลากว่า 100 ปีที่ผ่านมา หากผู้อ่านได้ลองนั่งรถไฟมาไม่นานนี้ (หรือเมื่อนานมาแล้วก็ตามที) จะพบว่าเรายังคงอนุรักษ์เอาไว้ซึ่งหัวรถจักรดีเซลที่เหม็น ส่งเสียงดัง สั่นสะเทือน ตารางเวลาที่ไม่เคยเป็นไปได้จริง ตู้รถไฟชั้นสามที่ร้อน เหม็นฉี่ และสกปรก
รถไฟไทยอยู่ตรงไหน? : คนไทยนิยมใช้รถไฟกันแค่ไหน?
หลังจากได้พูดกันไปถึงเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานของการรถไฟทั้งในลักษณะของตัวราง และการนำเทคโนโลยีมาใช้ไปแล้ว ข้อมูลอีกหนึ่งชุดที่สามารถบอกถึงสภาพปัจจุบันของการรถไฟในแต่ละประเทศได้ดีก็คือความนิยมในการใช้บริการรถไฟในแต่ละประเทศ
แน่นอนว่าโครงสร้างพื้นฐานที่ดีและการนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ย่อมสอดคล้อง กับระดับความนิยมของประชาชน หากไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงพอหรือยังคงใช้เทคโนโลยีที่ล้าหลัง ย่อมไม่เป็นที่น่าแปลกใจที่รถไฟจะได้รับความนิยมน้อย อย่างไรก็ตาม เราควรพึงระลึกเสมอว่า “Correlation does not imply causation” นั่นคือในทางกลับกัน การไม่ได้รับความนิยมอย่างมากพอ ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่มีการพัฒนาก็เป็นได้
ตัวเลขที่สามารถบอกถึงความนิยมในการโดยสารรถไฟได้ดีคือระยะทางโดยสารเฉลี่ยต่อหน่วยประชากร[1] พบว่าในแต่ละประเทศมีข้อมูลดังนี้
USA – 80 km
Russia – 1220 km
Japan – 1995 km
China – 653 km
Germany – 910 km
South Korea – 650 km
India – 777 km
Thailand – 150 km (เทียบเท่าไปกลับกรุงเทพ-อยุธยา)
หากเรารวมข้อมูลจากบทความ “รถไฟไทยอยู่ตรงไหน?” ทั้งสามตอนเข้าไว้ด้วยกันแล้ว จะได้ดังนี้
Railway length: narrow guage (electrified) (km) | Railway length: standard guage (electrified) (km) | m track per Area (km^2) | km track per million population | Passenger-km/capita of railway transport per year | Max speed (km/h) | |
---|---|---|---|---|---|---|
USA | 0 | 224,792 | 23 | 725 | 80 | 240 |
Russia | 957 | 86,200 (40,300) | 7 | 895 | 1,220 | 250 |
Japan | 22,445 (15,366) | 4,737 (4,737) | 62 | 183 | 1,995 | 240-300 |
China | 0 | 86,000 (36,000) | 10 | 68 | 653 | 300 (431 for Shanghai Maglev Train) |
Germany | 259 (99) | 41,722 (20,053) | 105 | 512 | 910 | 330 |
South Korea | 0 | 3,381 (1,843) | 40 | 69 | 650 | 305 |
India | 9,717 | 54,257 (18,927) | 20 | 53 | 777 | 150 |
Malaysia | 1,792 (150) | 57 (57) | 5 | 59 | N/A | 160 |
Thailand | 4,042 | 29 (29) | 9 | 66 | 150 | 90-100 |
ความนิยมใช้บริการรถไฟอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปมากด้วยวิทยาการและเทคโนโลยี ที่เปลี่ยนไป เมื่อรถยนต์ส่วนบุคคลสามารถผลิตได้ง่ายขึ้น ขนาดเล็กลง และจำนวนมากขึ้น ผู้คนจำนวนหนึ่งอาจหันไปใช้รถยนต์ส่วนบุคคลกันมากขึ้น ดังเช่นในประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีปริมาณรางรถไฟต่อหน่วยพื้นที่และประชากร สูง แต่กลับมีการใช้บริการรถไฟที่ต่ำ ซึ่งเป็นไปได้เพราะว่ารถไฟส่วนมากนั้นใช้ในการขนส่งสินค้า ผู้คนในสหรัฐฯอาจให้ความนิยมต่อการโดยสารทางรถยนต์มากกว่า (ซึ่งสามารถยืนยันได้โดยจำนวนรถยนต์ต่อหน่วยประชากรของสหรัฐที่สูง[2] หรือพูดกันง่ายๆก็คือคนอเมริกันนิยมใช้รถยนต์หรือเดินทางทางอากาศมากกว่าเดินทางโดยรถไฟ)
แต่ในขณะเดียวกัน เป็นที่น่าสังเกตว่าประชาชนในประเทศที่เป็นผู้ผลิตรถยนต์หลักหลายๆประเทศ กลับยังให้ความนิยมต่อการเดินทางโดยรถไฟอย่างมาก เช่น ญี่ปุ่น เยอรมนี หรือเกาหลีใต้ โดยประเทศที่รถไฟเป็นที่นิยมมากที่สุดคือญี่ปุ่น ที่มีทั้งความยาวรางรถไฟที่มาก ผู้คนโดยสารรถไฟมากที่สุดในโลก และระบบรถไฟที่ก้าวหน้าเป็นอันดับต้นๆของโลก ตั้งแต่รถไฟชิงกันเซนความเร็วสูงที่ตรงต่อเวลาและมาถี่ ตำแหน่งสถานีรถไฟที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองและศูนย์เศรษฐกิจ สภาพภายในรถไฟที่โอ่โถง สะอาด สะดวกสบาย และระบบรถไฟส่วนภูมิภาคและรถไฟใต้ดินที่สามารถนั่งต่อไปได้แทบจะทุกแห่งไม่ ว่าจะเป็นเมืองเล็กหรือเมืองใหญ่ ปัจจัยเหล่านี้เมื่อประกอบกับพื้นที่ในเมืองที่แออัดน่าจะทำให้ชาวญี่ปุ่น จำนวนมากเลือกที่จะไม่รับภาระในการมีรถยนต์ส่วนบุคคลและเลิกที่จะใช้บริการ ระบบรถสาธารณะเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีประเทศอื่นๆที่นิยมการเดินทางโดยรถไฟเช่น รัสเซีย ที่มีรถไฟสายทรานไซบีเรีย ประเทศเยอรมนี และประเทศจีนที่มีแม้กระทั่งรถไฟยกตัวแบบ maglev เชิงพาณิชย์เป็นประเทศแรกของโลก
ส่วนความนิยมโดยสารรถไฟของไทยนั้นอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ ท่านผู้อ่านอาจจะลองถามตัวเองดูง่ายๆได้ว่าท่านใช้บริการรถไฟไทยบ่อยแค่ไหน? และครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?
เป็นที่น่าสังเกตว่า ประเทศที่มีความนิยมในการโดยสารทางรถไฟมากมักจะมีการพัฒนาทางการรถไฟที่ค่อน ข้างดีและสะดวกสบาย อาจกล่าวได้ว่าการที่คนไม่นิยมโดยสารรถไฟเป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการพัฒนาของ รถไฟไทย หากไม่มีผู้โดยสารแล้วก็ย่อมเป็นการยากที่จะมีเงินไปลงทุนเพื่อพัฒนาต่อไป แต่ในทางกลับกันก็สามารถพูดได้เช่นกันว่าการที่ไม่มีการพัฒนาและความไม่ สะดวกสบายของการโดยสารโดยรถไฟอาจจะเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมจึงไม่มีคน นิยมโดยสารทางรถไฟกันเลย
สำหรับประเทศไทยนั้น หากเราลองเทียบดูกับความนิยมในการใช้รถไฟฟ้า MRT และ BTS ในกทม. ซึ่งเมื่อสิบกว่าปีก่อนหน้านี้ไม่เคยมีเลย อาจจะสามารถตอบได้ว่า จริงๆแล้วคนไทยพร้อมกับการหันไปใช้เทคโนโลยีในการโดยสารที่รวดเร็วและสะดวก สบายแค่ไหน