"คุณยายไหล สิริโสตถ์"...คุณยายผู้เมตตาและกล้าหาญ ตำนานแห่งเมืองอุบลฯ...
"คุณยายไหล สิริโสตถ์"...คุณยายผู้เมตตาและกล้าหาญ ตำนานแห่งเมืองอุบลฯ...
.........วันที่ 11 พฤศจิกายน ของทุกปี เป็นวันทหารผ่านศึกโลก ที่สำคัญวันที่ 11 เดือน 11 เวลา 11.00 น. จะมีทหารผ่านศึกและทายาทของทหารผ่านศึก ที่เคยเป็นเชลยศึก สมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา (พ.ศ.2484) ซึ่งถูกกองทัพญี่ปุ่นกักกันไว้ที่ จ.อุบลราชธานี ในระหว่างถูกกักกัน เหล่าเชลยศึกคือฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งประกอบไปด้วยชาวออสเตรเลีย แคนาดา ฮอลแลนด์ นิวซีแลนด์ อังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา ฯลฯ ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส เป็นที่เวทนาต่อชาวอุบลราชธานีที่ได้พบเห็นเป็นอย่างมาก ด้วยความเป็นคนมีจิตเมตตาสงสาร จึงได้พากันนำเอาอาหารเครื่องนุ่งห่มมาให้เชลยศึกเหล่านี้เพื่อเป็นทาน แต่ก็ได้รับการขัดขวางจากทหารญี่ปุ่นถึงขึ้นทำร้ายเอา แต่ชาวอุบลราชธานีก็ยังแอบนำอาหารและเครื่องใช้ไปให้เชลยศึกเหล่านี้ ด้วยความเมตตา อย่างไม่เกรงกลัวภัยอันตรายใด ๆ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์อาคม วามะลุน นายกสมาคมศิษย์เก่าเทาชมพู มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี เล่าว่า "ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เหล่าเชลยศึกสัมพันธมิตรจำนวนหนึ่งถูกส่งจากกาญจนบุรีมาคุมขังที่จ.อุบลราชธานีอย่างเข้มงวด พร้อมทั้งคุกคามข่มขู่ ชาวอุบลไม่ให้เข้าไปช่วยเหลือ แต่ก็มีชาวอุบลราชธานีผู้กล้าหาญ นำคณะโดย "คุณยายไหล สิริโสตถ์" พยายามแอบส่งอาหารและผลไม้ให้เชลยศึกเท่าที่จะทำได้ เสี่ยงชีวิตจากการทำร้ายของผู้คุมขังเชลยศึก แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวมีคุณธรรมและมีความเมตตาธรรมอันสูงส่ง ทั้งที่นักโทษเหล่านั้นไม่เคยรู้จักกันมาก่อน จึงได้รับการแซ่ซ้องสรรเสริญในความมีน้ำใจอันดีงามจากเชลยศึก ผู้รอดชีวิต และได้ขนานนามคุณยายว่า "Little Mother Ubon" เชิดชูคุณยายดุจเป็นแม่อีกคน"
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง ทหารญี่ปุ่นถูกจับเป็นเชลยศึกคุณยายไหลและคณะก็ได้ให้ความเมตตาสงสารเช่นเดียวกัน การกระทำอันกล้าหาญด้วยคุณธรรมและเมตตาธรรมครั้งนี้ก่อให้เกิดความสงสัยขึ้นในจิตใจของทหาร สัมพันธมิตรและญี่ปุ่นว่า "ชาวอุบลอยู่ข้างฝ่ายใดกันแน่" ชาวอุบลตอบว่า "เราไม่ได้อยู่ข้างฝ่ายใด แต่ชาวอุบลยึดมั่นในหลักธรรมแห่งพระพุทธศาสนาซึ่งสอนให้ทุกคนมีความเมตตาปราณีแก่คนและสัตว์ทั้งหลาย ที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ จงพ้นจากความทุกข์นั้นๆเถิด" เป็นการทำหน้าที่ด้วยการปฏิบัติธรรม ยังความซาบซึ้งและประทับใจแก่ทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง
ต่อมาภายหลังสงครามมหาเอเชียบูพาสิ้นสุดลงเมื่อปี พ.ศ. 2486 ฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งเป็นเชลยศึกเหล่านี้ถูกปลดปล่อยและได้ระลึกถึงคุณงามความดีของชาวอุบลราชธานี จึงได้พร้อมใจกันสร้างอนุสาวรีย์แห่งความดี ณ บริเวณทุ่งศรีเมือง จ.อุบลราชธานีขึ้น เพื่อเป็นที่ระลึกว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตของพวกเขาได้เคยเป็นเชลยศึกอยู่ที่นี่ และได้รับความเมตตากรุณาจากชาวอุบลราชธานี จนทำให้มีกำลังใจที่จะต่อสู้เพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไป และวันที่ 11 เดือน 11 ของทุกปี ลูกหลานบรรดาเชลยศึกเหล่านี้ จะเดินทางมาวางพวงมาลา เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีของชาวอุบลราชธานีอย่างต่อเนื่อง จนถึงทุกวันนี้
แสดงให้เห็นว่า อนุสาวรีย์แห่งความดี มีความทรงจำอันยาวนานลึกซึ้งผูกพันมาก จนสืบทอดถึงลูกหลานในระยะเวลากว่า 60 ปี อย่างน่าชื่นชมยินดี.......