สตรอเบอรี่ดอย... เคพกูสเบอรี่ (Cape gooseberry)
เคพกูสเบอรี่ (Cape gooseberry)
เคพกูสเบอรี่เป็นหนึ่งในผลผลิตจากงานส่งเสริมและพัฒนาไม้ผลขนาดเล็ก มูลนิธิโครงการหลวงที่ชาวเขาปลูกเป็นการค้าบนพื้นที่สูง เพื่อเป็นพืชทดแทนฝิ่นในการสร้างรายได้
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Physalis peruviana L.
ไม้ผลขนาดเล็ก รสชาติเปรี้ยวอมหวาน กลิ่นหอม มีถิ่นกำเนิดจากประเทศบราซิล เป็นพืชตระกูลเดียวกับพริก มะเขือ มะเขือเทศ มันฝรั่ง ยาสูบ
พิทูเนีย
แต่เดิมเคพกูสเบอรี่มีชื่อภาษาไทยว่า “โทงเทงฝรั่ง” เนื่องจากมีลักษณะเหมือนกับต้นโทงเทงที่เป็นวัชพืชในบ้านเรา ต่อมามีการเรียกชื่อใหม่ คือ “ระฆังทอง” หรือ “Golden Bell”
เคพกูสเบอรี่อุดมด้วยวิตามินซี ช่วยป้องกันไข้หวัด, วิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา เหมาะสำหรับการรับประทานผลสด ชุบช็อคโกแลต จุ่มน้ำผึ้ง ใส่ในสลัด ทำน้ำผลไม้ หรือนำไปทำเป็นแยมก็ได้
แปลงเคพกูสเบอรี่ของเกษตรกรชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง ที่บ้านขุนกลาง ดอยอินทนนท์
เคพกูสเบอรี่พันธุ์ที่ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกในปัจจุบัน ทรงพุ่มมีความสูง 1.20 เมตร
กว้างประมาณ 1.50 เมตร ผลมีขนาดใหญ่รูปทรงกลม
สามารถปลูกได้ดีในพื้นที่ที่มีความสูง 700 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
ลักษณะดอกเคพกูสเบอรี่
เมื่อผลสุก กลีบเลี้ยงหุ้มผลจะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลืองฟางข้าว
ฤดูกาลเก็บเกี่ยวอยู่ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-เมษายน
ลักษณะเนื้อด้านในของเคพกูสเบอรี่ที่สีเหลืองสวย ฉ่ำ น่ารับประทาน...
ประโยชน์ในทางการแพทย์ของสตรอเบอรี่ดอย (เคพกูสเบอรี่)
ในทางการแพทย์จากอดีตนั้นพบว่าส่วนต่างๆ ของ เคพกูสเบอรี่ (Wild Strawberry) ทั้งประเภท Fvirginiana
สามารถใช้เป็นประโยชน์ในการป้องกันรักษาโรคต่างๆ ได้ เช่น รากที่มีความฝาดในรักษาอาการท้องร่วง และใบแปรรูปเป็นชาชงดื่ม
รักษาโรคบิด เป็นต้น
จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยในปัจจุบันรายงานว่า โรคมะเร็งเป็นสาเหตุทำให้คนไทยเสียชีวิตเป็นอันดับหนึ่งมาโดยตลอด 8 ปีทีผ่านมา คาดว่าในปี พ.ศ. 2551 จะมีผู้ป่วยจากโรคมะเร็งมากถึง 120,000 ราย และพบว่ามีผู้ป่วยที่มีอายุน้อยลงกว่า 40 ปีในปริมาณที่สูงขึ้น การรับประทานผักและผลไม้สดรวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากผักและผลไม้ พบว่ามีผลต่อการต้านทานของโรคเรื้อรังบางชนิดได้เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจและโรคมะเร็งบางชนิด จากผลของการค้นพบในทางการแพทย์ยุคปัจจุบันนี้ นับว่าการค้นพบสารที่ต้านออกซิเจนไปรวมตัวกับสารอื่นแล้วทำลายตัวมันเองหรือเรียกว่า สาร Antioxidants นั้น เป็นการค้นพบที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าสารขจัดอนุมูลอิสระพวกนี้จะเป็นสารที่ทำให้ระบบทำงานได้ดีขึ้น อันเป็นการเสริมสร้างชีวิตให้มีคุณภาพและพลังกายให้เกิดความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น จึงทำให้คนเราไม่เกิดความเจ็บป่วยได้ง่าย มีผลกระทบให้ระบบภายในของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น อันเป็นการเสริมสร้างชีวิตให้มีคุณภาพและพลังกายให้เกิดความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ผลสตรอเบอรี่สดถูกพบว่าเป็นแหล่งธรรมชาติที่ดีของสารต่อต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) ซึ่งประกอบไปด้วยวิตามินซี สาร anthocyanins, flavonoids และ phenolic acids ในปริมาณที่สูงมาก เมื่อเปรียบเทียบกับผลไม้ชนิดอื่น ๆ มีรายงานการวิจัยที่พบว่า anthocyanins สามารถลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งประเภท HT-29 และ HCT-116 ในคนเราได้ และหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้องอกได้อย่างชัดเจน โดยทั่วไประดับและปริมาณของสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่สกัดได้จากผลสตรอเบอรี่จะผันแปรไปตามประเภทของสายพันธุ์ ซึ่งปรากฏจากความเป็นจริงของผลการวิจัยว่า สตรอเบอรี่พันธุ์ลูกผสม (F.x ananassa Duch.) ที่ได้จากการผสมพันธุ์ใหม่ ๆ โดยผู้บริโภคนิยมและผลิตเป็นการค้าทั่วโลก จะมีปริมาณสารต่อต้านอนุมูลอิสระน้อยกว่าสตรอเบอรี่พันธุ์ดั้งเดิมหรือสตรอเบอรี่ดอย (wild strawberry) อย่างชัดเจน จอกจากนี้สตรอเบอรี่ลูกผสมเช่นพันธุ์ “Allstar” ก็ยังพบว่ามีปริมาณของสารต่อต้านอนุมูลอิสระน้อยกว่าพันธุ์ “Ovation” ทั้ง ๆ ที่เป็นพันธุ์ลูกผสมประเภทเดียวกัน
การวิจัยที่เป็นข้อมูลสำคัญและใหม่ล่าสุดโดย Wang และ Lewer ในปี 2007 และ Wang กับคณะในปีเดียวกันที่ห้องทดลองทางด้านไม้ผลของ U.S. Department of Agriculture ได้ค้นพบว่า สารสกัดจากผลสดพันธุ์ดั้งเดิมประเภท F. virginiana สามารถหยุดยั้งการขยายตัวของของเยื่อบุเซลล์มะเร็งปอด (A549) ของมุนษย์ได้มากถึง 34% ซึ่งมากกว่าสารสกัดจากผลสตรอเบอรี่สายพันธุ์พื้นเมือง (F. chiloensis) และพันธุ์ลูกผสมที่เกิดขึ้นใหม่ (F. X ananassa Duch.) ที่สามารถหยุดยั้งได้เพียง 26 และ
25% ตามลำดับ (นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ P < 0.0001) นอกจากนี้ยังรายงานว่า สารสกัดจากผลสตรอเบอรี่ของ F. virginiana มีกิจกรรมของเอ็นไซม์ของสารต่อต้านอนุมูลอิสระมากกว่าในส่วนของสตรอเบอรี่ทั้งสองประเภทข้างต้นที่นำมาเปรียบเทียบกันอย่างมีนัยสำคัญ
...รับประทานเคพกูสเบอรี่เพื่อสุขภาพที่ดีแล้ว... ท่านยังได้ช่วยชาวเขา ช่วยชาวเรา ช่วยชาวโลก...
คุณค่าทางอาหารของเคฟกูสเบอรี่ต่อส่วนที่รับประทานได้น้ำหลัก 100 กรัม
ความชื้น |
85.9 g. |
ฟอสฟอรัส |
21.0 mg. |
คาร์โวรอยด์ |
49 Cal |
เหล็ก |
1.7 mg. |
โปรตีน |
1.5 g. |
คาร์โรทีน |
1.613 g. |
ไขมัน |
0.5 mg. |
ไทอะมีน |
0.101 g. |
กาก |
0.4 mg. |
โรโบฟราวิน |
0.17 mg. |
เก้า |
0.7 g. |
ไนอะซีน |
0.8 mg. |
แคลเซียม |
0.9 mg. |
กรดอะโคลิก |
20.0 mg. |
คาร์โบไฮเดรท |
11.0 mg. |
วิตามินเอ |
1730 U.I.
|
นำมาเป็นอาหารเพื่อสุขภาพก็อร่อยนะ
คามาโบโกะเสิร์ฟกับเคพกูสเบอร์รี่และมะกอกดำ
ส่วนผสม
คามาโบโกะ 300 กรัม
ผักคอส 200 กรัม
เคพกูสเบอร์รี่สด 80 กรัม
มะเขือเทศเนื้อ 150 กรัม
มะกอกดำ 60 กรัม
หอมแดง 30 กรัม
ขนมปังฝรั่งเศสหั่นชิ้นบาง อบกรอบ 100 กรัม
น้ำมันมะกอก 6 ช้อนโต๊ะ
น้ำส้มสายชูหมักจากองุ่นเขียว 3 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมสับ 2 ช้อนชา
พาสลี่ย์สับ 2 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา
เกลือและพริกไทยป่น ตามชอบ
ว่างๆก็ลองไปหาซื้อทำทานกันดูนะ
แหล่งที่มา
ฝ่ายส่งเสริมการเกษตร
สำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการการเกษตร