หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

อาวุธพลังจิต ศาสตรา แห่งสงครามในอนาคต

โพสท์โดย Ahom

จากพยานหลักฐานซึ่งรวบรวมได้จากอดีตจารชนเคจีบีของโซเวียตที่แปรพักตร์ และจากแหล่งข่าวองค์การข่างกรองทางทหาร หรือ ดีไอเอ (De Inteligence Agency DIA) ก็พอแน่ว่าตลอดเวลาเกือบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา โซเวียตได้พยายามอย่างหนักในที่จะศึกษาวิจัยเพื่อนำเอาปรากฏการณ์ทางจิตหรือ พลังจิตมาใช้ในการหา โดยตลอดระยะเวลา 15 ปี ที่ผ่านมานี้ สหรัฐฯ มีหลักฐานทางทหารยืนยันว่า โซเวียตได้มีการทดลองใช้อาวุธพลังจิตนี้กับสหรัฐฯ อย่างน้อยสุด 4 ครั้ง และที่ผ่านมานี้ ประมาณ พ.ศ. 2526 องค์การวิจัยของรัฐสภา (Congressional Research Service) ของสหรัฐฯ ก็ได้สืบทราบว่า รัฐบาลโซเวียตได้ให้เงินทุนสนับสนุนการวิจัยด้าน ปรจิตวิทยา (parapsychology) เพื่อพัฒนาการประยุกต์ใช้พลังจิตทางทหารถึง 250 ล้านบาทต่อปี

จากหลักฐานทางวัตถุและจากคำบอกเล่าของเคจีบี ก็เป็นที่คาดกันว่าหากการพัฒนาเพื่อใช้พลังจิตในการทหารนี้สำเร็จละก็ ต่อไปมันก็ไม่แน่ว่าบรรดานักรบพลังจิตของมอสโคว์อาจจะใช้การนั่งทางในที่ เครมลินพิสูจน์ทราบตำแหน่งที่ตั้งของไซไลเก็บขีปนาวุธในเนบราสก้าบนดินแดน ของสหรัฐฯ ได้..หรือไม่เช่นนั้นก็ใช้พลังแพ่งข้ามทวีปมาลบความจำทางแม่เหล็กของ คอมพิวเตอร์ทางทหาร และอาจจะใช้กระแสจิตบังคับควบคุมจิตใจของผู้นำสหรัฐฯ ให้เป็นฝ่ายโซเวียต และก็อาจจะถึงขั้นแช่งชักหักกระดูกทางกระแสจิตให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ สหรัฐฯ ชักดิ้นชักงอตายไปเดี๋ยวนั้นเลยก็ได้..นี่ไม่ใช่เรื่องล้อกันเล่นนะขอรับ.. แต่สิ่งเหล่านี้สหรัฐฯ มีหลักฐานและพยานว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้.และอาจเป็นจริงขึ้นมาสักวัน หนึ่งในอนาคตข้างหน้านี้ หากโซเวียตไม่วางมือซะก่อน..ครับ จากข้อมูลที่ได้จากการสอบถามชาวโซเวียตที่อพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็เป็นที่เชื่อแน่ชัดว่า ฝ่ายทหารของพี่หมีนั้นมีความสนใจในเรื่องพลังจิตนี้มาเป็นเวลาอย่างน้อยที่ สุดก็ประมาณ 30 ปีแล้ว แต่เนื่องจากว่าการทำวิจัยในเรื่องนี้พี่หมีท่านปกปิดเป็นความลับ ฉะนั้นจึงมีรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาน้อยมาก ข้อมูลและหลักฐานที่สหรัฐฯ มีอยู่ในเวลานี้ ส่วนหนึ่งก็ถูกเก็บเงียบอยู่ในกระทรวงกลาโหมหรือเพนตากอนของสหรัฐฯ และนอกนั้นบางส่วนก็อาจจะพบได้จากเอกสารการวิจัยที่มีการลักลอบออกมาจาก โซเวียตซึ่งแน่นอนว่า หากอยู่ในมือของรัฐบาลสหรัฐฯ แล้วละก็ ต้องถูกเก็บเงียบอีกเช่นกัน แต่อย่างไรก็ดี สำหรับสื่อมวลชนหรือนักคุ้ยนักเขียนที่ชอบสอดรู้สอดเห็นในเรื่องนี้ก็ยังพอ ที่จะแสวงหาข้อมูลจากนักจิตวิทยาชาวโซเวียต สายลับหรือนักวิทยาศาสตร์ด้านอื่น ๆ ของโซเวียตที่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการวิจัยเหล่านี้ ซึ่งปัจจุบันนี้ก็มีเจ้าหน้าที่ของโซเวียตดังกล่าวนี้ขอลี้ภัยมาอยู่ในค่าย ตะวันตกเป็นจำนวนมาก.. ก่อนยุคพัฒนาอาวุธพลังจิต 



ข้อมูลเกี่ยวกับเบื้องหลังความเป็นมาของการพัฒนาใช้พลังจิตในการทหารของ โซเวียตนี้ ส่วนใหญ่ก็ได้มาจากการให้สัมภาษณ์ของนักจิตวิทยาชาวโซเวียตที่มีนามกรว่า นิโคโล โคคลอฟ (Nikolai Khokholv) ซึ่งเป็นบุคคลที่ได้ใกล้ชิดในการค้นคว้าวิจัยเรื่องนี้มากที่สุดผู้หนึ่ง ปัจจุบันนี้เขาได้ขอลี้ภัยอยู่ในสหรัฐฯ และเข้าทำงานอยู่มหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ซานเบอร์นาร์ดิโน ย้อนความหลังครั้งกระโน้นในปี พ.ศ. 2484 คุณพี่โคคลอฟนี้ก็เคยทำงานให้กับองค์การ เอ็นเควีดี (NKVD) ซึ่งเป็นต้นกำเนิดขององค์การเคจีบีในปัจจุบันนี้ซึ่งในตอนนั้นเขาอายุได้ 19 ปี เขาได้เริ่มงานสายลับด้วยการปลอมเป็นนักบันเทิงอาชีพที่มีนามกรว่า นิโคโล โวลิน เพื่อหลอกล่อทหารเยอรมันเข้าไปสังหารในห้องชมคอนเสิร์ต และต่อมาก็เปลี่ยนนามใหม่เป็น อเล็กซี คริลอฟ เพื่อทำหน้าที่เป็นทหารปฏิบัติการหลังแนวข้าศึกหลังจากนั้นอีกไม่นาน ด้วยหน้าที่จารชนก็จำต้องเปลี่ยนชื่อเป็นร้อยตรี ออตโต วิตต์แกนสไตน์ จนกระทั่งมาปฏิบัติการครั้งสุดท้าย เขาได้รับมอบหมายหน้าที่ให้คุมลูกสมุนไปสังหารนาย จีออร์กีเอสโอโคโรวิช ซึ่งเป็นหัวหน้าต่อต้านคอมมิวนิสต์ในแฟรงเฟิร์ตของเยอรมนีตะวันตก ซึ่งปรากฏว่าทำงานไม่สำเร็จและไม่อาจจะบากหน้ากลับประเทศได้ก็เลยขอลี้ภัยใน เยอรมนี

ในช่วง 2-3 ปีแรกหลังจากลี้ภัยนั้นโคคลอฟว่างงาน จึงเดินทางท่องเที่ยวไปในสหรัฐฯ และยุโรปอย่างไร้จุดหมายปลายทาง จะกระทั่งในที่สุด เขาก็ได้สมัครเข้าเรียนปริญญาเอกในสาขาจิตวิทยา และนี่เองที่เป็นเหตุให้เขาได้พบกับหัวหน้างานด้านปรจิตวิทยาของอเมริกา และในปี พ.ศ. 2511 เขาก็ได้เขียนเอกสารสัมมนาเรื่อง "ความสัมพันธ์ระหว่างปรจิตวิทยากับค่ายคอมมิวนิสต์" (The Relationship of Parapsychology to communism) ในเอกสารสัมมนาฉบับนี้ โคคลอฟได้กล่าวอธิบายไว้ว่า ก่อนยุคที่จะมีการศึกษาด้านปรจิตหรือพลังจิตอย่างจริงจังนั้น ชาวรัสเซียมีความเชื่อในเรื่องผีสางและเวทมนตร์มาเป็นเวลาหลายศตวรรษแล้ว เช่นมีความเชื่อว่าหมอผีสามารถรักษาคนเจ็บให้หายได้โดยการวางมือแตะลงไป เพียงครั้งเดียว พอมาถึงในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ก็ปรากฏว่าองค์การข่าวกรองและหน่วยงานทางวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ของรัสเซียได้หยิบยกเรื่องของพลังจิต การสะกดจิต และปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ มาศึกษาวิจัยกันอย่างจริงจัง

ในปี พ.ศ.2540 นักประสาทวิทยาของโซเวียตชื่อ วี.เอ็ม เบคห์เทอเรฟ ได้ก่อตั้ง สถาบันจิตประสาท (Psychomeural Institute) ขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะศึกศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างจิตวิทยาและปรจิต วิทยาจนเกิดการปฏิวัติขึ้นในปี พ.ศ. 2460 การศึกษาค้นคว้าในเรื่องนี้ก็ต้องหยุดชะงักและเปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างสิ้น เชิง ทั้งนี้เพราะลัทธิมาร์กซิสนั้นปฏิเสธที่จะยอมรับเรื่องปรากฏการณ์ลึกลับของ จิตหรือเรื่องวิญญาณ และผู้นำโซเวียตในสมัยนั้นเชื่อว่า เรื่องปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติเหล่านี้เป็นเรื่องที่เหลวไหลไร้สาระ แต่อย่างไรก็ตาม งานศึกษาด้านพลังจิตก็ยังดำเนินต่อไป และมาฟูเฟื้องอีกครั้งหนึ่งในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 เมื่อ ดร.เลโอนิค วาซิลิเอฟ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเบคห์เทอเรฟ แห่งสถาบันวิจัยสมองเลนินกราด (Leningrad Institute of Brani Research) ได้ทำการวิจัยการส่งโทรจิต (teltpathe) ระยะไกล แต่อย่างไรก็ดี เนื่องจากกลัวเกรงความผิดของกฎหมาย เขาจึงปกปิดงานวิจัยชิ้นนี้เงียบไว้จนกระทั่งสตาลินถึงแก่อสัญกรรม จึงได้เปิดเผยออกมา จึงได้รู้ว่าวาซิลิเอฟ ได้แบทำการทดลองในเรื่องนี้ไปแล้วนับร้อยครั้งทีเดียว

วาซิลิเอฟเปิดเผยว่า ในการทดลองครั้งหนึ่ง เขาได้ผู้นำร่วมทดลองไปนั่งในห้องที่ได้รับการป้องกันกระแสไฟฟ้า และให้นักจิตวิทยาหรือนักพลังจิตเพ่งกระแสจิตไปบังคับให้ผู้ร่วมทดลองดัง กล่าวง่วงนอนและหลับไปในที่สุด..ในการทดลองอีกอันหนึ่ง เขาก็ได้จับนักพลังจิตขังได้ที่เลนินิกราดในขณะที่นำผู้ร่วมทดลองที่เป็น เหยื่อไปอยู่ที่เมืองเซวาสโตพอล ซึ่งอยู่ห่างออกไปอีก 1000 ไมล์ ซึ่งผลการทดลองก็ปรากฏว่า เหยื่อถูกสะกดจิตทางไกลให้นอนหลับและปลุกให้ตื่นได้ในเวลาตรงกันกับที่นัก เพ่งพลังจิตส่งกระแสจิตออกมา 



หลังจากที่สตาลินตายไปแล้วนั้น นอกจากจะมีการเปิดเผยผลงานวิจัยของวาซิลิเอฟแล้ว ก็ปรากฏว่ามีนักวิจัยของรัสเซียอีกเป็นจำนวนมากได้เผยแพร่ผลงานวิจัยของตน ออกมา และพอโซเวียตเปลี่ยนผู้นำใหม่เป็นคุณพี่ครุชเซฟ ในราวปี พ.ศ. 2498 ดินแดนหมีก็กลับฟูเฟื่อง และรุ่งเรืองในด้านพลังจิตอีกครั้งหนึ่ง เพราะผู้นำคนใหม่ของโซเวียตชอบเรื่องนี้และก็บ้าโยคะถึงขนาดบินไปอินเดีย เพื่อศึกาาเรื่องนี้เพื่อนำมาฝึกสอนให้กับชาวโซเวียต ซึ่งพอกลับจากอินเดียแล้ว ครุชเชฟก็มีคำสั่งว่า "เราต้องมีโยคีของเราเองให้ได้..ในวันพรุ่งนี้" 

ก่อนยุคพัฒนาอาวุธพลังจิต


ข้อมูลเกี่ยวกับเบื้องหลังความเป็นมาของการพัฒนาใช้พลังจิตในการทหารของโซเวียตนี้ ส่วนใหญ่ก็ได้มาจากการให้สัมภาษณ์ของนักจิตวิทยาชาวโซเวียตที่มีนามกรว่า นิโคโล โคคลอฟ(Nikolai Khokholv) ซึ่งเป็นบุคคลที่ได้ใกล้ชิดในการค้นคว้าวิจัยเรื่องนี้มากที่สุดผู้หนึ่งปัจจุบันนี้เขาได้ขอลี้ภัยอยู่ในสหรัฐฯ และเข้าทำงานอยู่มหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียซานเบอร์นาร์ดิโน ย้อนความหลังครั้งกระโน้นในปี พ.ศ. 2484 คุณพี่โคคลอฟนี้ก็เคยทำงานให้กับองค์การ เอ็นเควีดี (NKVD) ซึ่งเป็นต้นกำเนิดขององค์การเคจีบีในปัจจุบันนี้ซึ่งในตอนนั้นเขาอายุได้ 19 ปี เขาได้เริ่มงานสายลับด้วยการปลอมเป็นนักบันเทิงอาชีพที่มีนามกรว่า นิโคโล โวลิน เพื่อหลอกล่อทหารเยอรมันเข้าไปสังหารในห้องชมคอนเสิร์ต และต่อมาก็เปลี่ยนนามใหม่เป็น อเล็กซี คริลอฟ เพื่อทำหน้าที่เป็นทหารปฏิบัติการหลังแนวข้าศึกหลังจากนั้นอีกไม่นาน ด้วยหน้าที่จารชนก็จำต้องเปลี่ยนชื่อเป็นร้อยตรีออตโต วิตต์แกนสไตน์ จนกระทั่งมาปฏิบัติการครั้งสุดท้าย เขาได้รับมอบหมายหน้าที่ให้คุมลูกสมุนไปสังหารนาย จีออร์กีเอสโอโคโรวิช ซึ่งเป็นหัวหน้าต่อต้านคอมมิวนิสต์ในแฟรงเฟิร์ตของเยอรมนีตะวันตก ซึ่งปรากฏว่าทำงานไม่สำเร็จและไม่อาจจะบาก
หน้ากลับประเทศได้ก็เลยขอลี้ภัยในเยอรมนี ในช่วง 2-3 ปีแรกหลังจากลี้ภัยนั้นโคคลอฟว่างงาน จึงเดินทางท่องเที่ยวไปในสหรัฐฯ และยุโรปอย่างไร้จุดหมายปลายทาง จะกระทั่งในที่สุดเขาก็ได้สมัครเข้าเรียนปริญญาเอกในสาขาจิตวิทยา และนี่เองที่เป็นเหตุให้เขาได้พบกับหัวหน้างานด้านปรจิตวิทยาของอเมริกา และในปี พ.ศ. 2511 เขาก็ได้เขียนเอกสารสัมมนาเรื่อง "ความสัมพันธ์ระหว่างปรจิตวิทยากับค่ายคอมมิวนิสต์"

(The Relationship of Parapsychology to communism) ในเอกสารสัมมนาฉบับนี้
โคคลอฟได้กล่าวอธิบายไว้ว่า ก่อนยุคที่จะมีการศึกษาด้านปรจิตหรือพลังจิตอย่างจริงจังนั้น ชาวรัสเซียมีความเชื่อในเรื่องผีสางและเวทมนตร์มาเป็นเวลาหลายศตวรรษแล้ว เช่นมีความเชื่อว่าหมอผีสามารถรักษาคนเจ็บให้หายได้โดยการวางมือแตะลงไปเพียงครั้งเดียว พอมาถึงในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ก็ปรากฏว่าองค์การข่าวกรองและหน่วยงานทางวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ของรัสเซียได้หยิบยกเรื่องของพลังจิต การสะกดจิต และปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ มาศึกษาวิจัยกันอย่างจริงจัง ในปี พ.ศ.2540 นักประสาทวิทยาของโซเวียตชื่อ วี.เอ็ม เบคห์เทอเรฟ ได้ก่อตั้ง สถาบันจิตประสาท(Psychomeural Institute) ขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะศึกศึกษาความสัมพันธ์
ระหว่างจิตวิทยาและปรจิตวิทยาจนเกิดการปฏิวัติขึ้นในปี พ.ศ. 2460ศึกษาค้นคว้าในเรื่องนี้ก็ต้องหยุดชะงักและเปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งนี้เพราะลัทธิมาร์กซิสนั้นปฏิเสธที่จะยอมรับเรื่องปรากฏการณ์ลึกลับของจิตหรือเรื่องวิญญาณ และผู้นำโซเวียตในสมัยนั้นเชื่อว่า เรื่องปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติเหล่านี้เป็นเรื่องที่เหลวไหลไร้สาระ แต่อย่างไรก็ตาม งานศึกษาด้านพลังจิตก็ยังดำเนินต่อไป และมาฟูเฟื้องอีกครั้งหนึ่งในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 เมื่อ ดร.เลโอนิค วาซิลิเอฟ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเบคห์เทอเรฟ แห่งสถาบันวิจัยสมองเลนินกราด (Leningrad Institute of Brani Research) ได้ทำการวิจัยการส่งโทรจิต(teltpathe) ระยะไกล แต่อย่างไรก็ดี เนื่องจากกลัวเกรงความผิดของกฎหมายเขาจึงปกปิดงานวิจัยชิ้นนี้เงียบไว้จนกระทั่งสตาลินถึงแก่อสัญกรรมจึงได้เปิดเผยออกมา จึงได้รู้ว่าวาซิลิเอฟ ได้ทำการทดลองในเรื่องนี้ไปแล้วนับร้อยครั้งทีเดียว วาซิลิเอฟเปิดเผยว่า ในการทดลองครั้งหนึ่งเขาได้ผู้นำร่วมทดลองไปนั่งในห้องที่ได้รับการป้องกันกระแสไฟฟ้า และให้นักจิตวิทยาหรือนักพลังจิตเพ่งกระแสจิตไปบังคับให้ผู้ร่วมทดลองดังกล่าวง่วงและหลับไปในที่สุด..ในการทดลองอีกอันหนึ่ง เขาก็ได้จับนักพลังจิตขังได้ที่เลนินิกราดในขณะที่นำผู้ร่วมทดลองที่เป็นเหยื่อไปอยู่ที่เมืองเซวาสโตพอล ซึ่งอยู่ห่างออกไปอีก 1000 ไมล์ ซึ่งผลการทดลองก็ปรากฏว่า เหยื่อถูกสะกดจิตทางไกลให้นอนหลับและปลุกให้ตื่นได้ในเวลาตรง
กันกับที่นักเพ่งพลังจิตส่งกระแสจิตออกมา หลังจากที่สตาลินตายไปแล้วนั้น นอกจากจะมีการเปิดเผยผลงานวิจัยของวาซิลิเอฟแล้ว ก็ปรากฏว่ามีนักวิจัยของรัสเซียอีกเป็นจำนวนมากได้เผยแพร่ผลงานวิจัยของตนออกมา และพอโซเวียตเปลี่ยนผู้นำใหม่เป็นครุชเซฟ ในราวปี พ.ศ. 2498 ดินแดนหมีก็กลับฟูเฟื่อง และรุ่งเรืองในด้านพลังจิตอีกครั้งหนึ่งผู้นำคนใหม่ของโซเวียตชอบเรื่องนี้และก็บ้าโยคะถึงขนาดบินไปอินเดียเพื่อศึษาเรื่องนี้เพื่อนำมาฝึกสอนให้กับชาวโซเวียต ซึ่งพอกลับจากอินเดียแล้ว ครุชเชฟก็มีคำสั่งว่า "เราต้องมีโยคีเราเองให้ได้..ในวันพรุ่งนี้

การทดลองพลังจิตทางการทหารของสหรัฐฯ 

การประกาศให้ความสนับสนุนของครุชเชฟในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 50 นี้ มีผลต่อการพัฒนาอาวุธพลังจิตของโซเวียตอย่างมาก เพราะหลังจากนั้นคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตก็ได้เริ่มทำการ ระดมนักวิทยาศาสตร์จัดตั้งห้องปฏิบัติการปรจิตวิทยาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่ปรากฏว่านักวิทยาศาสตร์ โซเวียตก็ฮึกเหิมอยู่ได้ไม่นานก็ต้องหุบ เพราะในราวปี พ.ศ. 2503 นิตยสารของฝรั่งเศส ชื่อ Science et Vie ได้รายงานว่า กระทรวงกลาโหมของอเมริกันก็ได้มีการวิจัยเรื่องพลังจิตเช่นกัน ..กล่าวคือ ทหารสหรัฐฯ ได้ทำการทดลองการส่งข่าวสารทางโทรจิตจากห้องปฏิบัติการเวสติงเฮาส์ใกล้บัล ติมอร์ไปยังลูกเรือบนเรือดำน้ำนอร์ติลุสซึ่งดำน้ำอยู่ใต้น้ำแข็งทวีป อาร์กติกที่ลึกถึง 4 ไมล์

แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายตะวันตกก็ปฏิเสธบทความรายงานการทดลองในครั้งนี้ "เราไม่รู้เรื่องใด ๆ เกี่ยวกับการทดลองนี้เลย" เกลนน์ บราวน์ ผู้จัดกากรด้านติดต่อสื่อสารที่ศูนย์เวสติงเฮาส์ดีเฟนซ์ แอนด์ อิเล็กทรอนิกส์ (Westing house Defense and Electronics Center) ในบัลติมอร์ กล่าว และเขายังกล่าวต่อไปอีกว่า ทางบริษัทก็ไม่เคยทำการวิจัยทางจิตวิทยาดังกล่าวนี้แต่อย่างใด

ครับ ในครั้งกระโน้น พี่เบิ้มของเราก็คงแกล้งปฏิเสธไปอย่างนั้นแหละเพราะมันเรื่องอะไรล่ะครับที่ จะต้องบอกให้คนอื่นรู้ด้วย ในเมื่อพี่หมีเวลาทำอะไรก็เก็บเงียบปากก็ว่า "เค้าเปล่านะ" แต่ที่ไหนได้ เผลอเผล็บเดียวพี่ท่านก็มีอาวุธมหัศจรรย์เข้าประจำการทุกที (เช่น จรวด สกัดกั้นขีปนาวุธและดาวเทียมล่าสังหาร) ..เรื่องพลังจิตนี้ก็เช่นกัน สหรัฐฯ จะประมาทไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่มองดูแต่ภายนอกแล้วมันดูเป็นเรื่องเหลวไหล..เพ้อเจ้อไม่น่าจะเป็นจริง แต่ถึงกระนั้นก็ตามปรากฏการรณ์เหล่านี้ก็ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์หน้าไหน อธิบายได้อย่างแจ่มแจ้งว่ามันคืออะไรกันแน่? ครับ หลังจากที่สหรัฐฯ ไปทำการวิจัยในเรื่องนี้อยู่นานมาเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง เพนตากอนของสหรัฐฯ ก็ประกาศตูมว่า จะทำการพัฒนาอาวุธพลังจิตแข่งกับโซเวียต เพราะเป็นที่ทราบแน่ชัดว่า โซเวียตกำลังก้าวไปถึงขั้นที่จะใช้การนั่งทางในลาดตระเวนหาตำแหน่งที่ตั้ง ทางทหารเรือขีปนาวุธแล้ว งานวิจัยลับของโซเวียต 


ในปี พ.ศ. 2505 หลังจากที่โซเวียตได้ทราบข่าวว่า สหรัฐฯ กำลังทำการวิจัยในเรื่องนี้ไล่กวดอยู่ พี่ท่านก็รีบตีกรรเชียงหนีห่างด้วยการมอบอำนาจให้วาซิลิเอฟ ควบคุมห้องปฏิบัติการลับในเลนินิกราดและพอถึงช่วงกลางคริสต์ทศวรรษที่ 60 รัฐบาทเครมลินก็ประกาศตั้งห้องปฏิบัติการสำหรับศึกษาวิจัยและประยุกต์ใช้ พลังจิตเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก

ครับ รายละเอียดเกี่ยวกับงานวิจัยลับของโซเวียตนี้ ส่วนหนึ่งก็ได้มาจากคำบอกเล่าของนาย อับราฮิม ซิฟริน ซึ่งในอดีตเคยเป็นที่ปรึกษากระทรวงยุทธาการของโซเวียต แต่ในปัจจุบันนี้ขอลี้ภัยอยู่ในอิสราเอล เขาได้ทำงานกับรัฐบาลโซเวียตอยู่จนกระทั่งปี พ.ศ.2496 ก่อนที่จะถูกพิพากษาให้ส่งตัวไปยังค่ายกักกันในข้อหาทำจารกรรม และที่เคยกักกันนี้เงอเขาได้รู้จักกับนักปรจิตวิทยาของโซเวียตและ กูรู (guru รูปบน) หรือผู้นำทางศาสนาจากธิเบต เขาเล่าว่า พวกเขาทั้งสามคนได้รวมหัวกันวิจัยเรื่องโยคะ ซึ่งก็ทำให้ได้รับความสนใจจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสถาบันวิจัยลับ หลังจากที่ชิฟรินถูกปล่อยตัวในปี พ.ศ.2506 เขาก็ถูกชวนให้เข้าทำงานในห้องปฏิบัติการลับแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนถนน โบล "ชายา คอมมิวนิสติชิสกายา ในใจกลางกรุงมอสโคว์ ณ ที่แห่งนี้เองทำให้เขาได้รู้จักกับ ดมิตริเมอร์ซา ซึ่งเป็นผู้อำนวยการบริหารและ โซโลมอน เกลเลอร์สไตน์ ซึ่งเป็นอำนวยการด้านวิทยาศาสตร์ของห้องปฏิบัติการ

บุรุษทั้งสองท่านนี้ได้บอกเขาว่าห้องปฏิบัติการแห่งนี้ตั้งขึ้นในช่วงกลาง คริสต์ทศวรรษที่ 50 หลังจากที่ครุชเชฟไปทัวร์อินเดีย งานวิจัยที่นี่เป็นงานลับสุดยอด เจ้าหน้าที่ที่ทำงานในนี้ก็มีทั้งนักวิทยาศาสตร์ นักพลังจิตหรือแม้แต่หมอวิเศษที่ไปควานหาตัวมาจากทั่วประเทศ ชิฟรินกล่าวว่า "พวกเขาบอกว่าถ้าผมมาร่วมงานกับพวกเขา ผมจะได้รับเงินเดือนและแฟลตดี ๆอยู่"

ปัทโธ่! ในดินแดนคอมมิวนิสต์รัฐบาลเสนอขอดีให้อย่างนี้ไม่รับก็โง่ละ ดังนั้นชิฟรินก็เลยรับข้อเสนอยอมทำงานในห้องปฏิบัติการแห่งนั้นซึ่งก็ให้เขา ได้ทำงานใกล้ชิดกับนักวิทยาศาสตร์ของโซเวียต ชิฟรินเล่าต่อไปว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เกลเลอร์สไตน์ป่วยต้องไปนอนโรงพยาบาล และวันหนึ่งขณะที่เขาข้าไปเยี่ยมก็ได้พบว่ามีนักบินอวกาศโซเวียตสามคนมา เยี่ยม "ผมก็เลยถามเกลเลอร์สไตน์ว่า ทำไมเขาถึงให้ความสำคัญถึงขนาดที่นักบินอวกาศต้องมาเยี่ยม " ชิฟรินเล่าถึงความหลัง" และเขาก็ตอบผมว่า เขาเป็นผู้ฝึกโทรจิตให้กับนักบินอวกาศเหล่านั้น"

ครับ จากการตรวจสอบในเวลามาพบว่า เรื่องที่ชิฟรินเล่านี้เป็นความจริง ซึ่งตรงกับข่าวที่ได้จากแหล่งข่าวแห่งหนึ่งที่บอกว่า นายเกลเลอร์สไตน์ได้ตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับการฝึกสอนนักบินอวกาศ ในการทำนายหรือพยากรณ์เหตุการณ์ล่างหน้า (precognition) และจากบทความที่ตีพิมพ์ในวารสาร "โซเวียตมาริไทม์ นิวส์" (Soviet Maritime News) ได้ยืนยันว่า "การฝึกทางพลังจิตดังกล่าวนี้ได้รับการบรรจุเข้าใว้ในหลักสูตรการฝึกนักบิน อวกาศของโซเวียตแล้ว"

จากการสืบทราบขององค์การข่าวกรองทางทหารของสหรัฐฯ พบว่า ห้องปฏิบัติการลับทางพลังจิตของเกลเลอร์สไตน์นี้ ไม่ใช่เป็นห้องปฏิบัติการเพียงแห่งเดียวที่อยู่ในโซเวียต แต่ยังมีงานวิจัยลับทางพลังจิตที่วิจัยอยู่ตามสถาบันอื่นด้วย อาทิเช่น สถาบันปฏิบัติการทางประสาทขั้นสูง (Pavlov Institute of Higher Neurons Activity) ในมอสโคว์. สถาบัน ดูรอฟ (Durov Institute) และสถานีทดลองในไซบีเรีย และมาเมื่อปี พ.ศ. 2518 นี้รายงานข่าวรองที่จั่วหัวว่าการวิจัยปรจิตวิทยาของโซเวียต และเชคโกสโลวาเกีย" ก็ได้เปิดเผยให้ทราบว่า ยังมีห้องปฏิบัติการวิจัยด้านพลังจิตอยู่ โซเวียตวิจัยการนั่งทางในและไข้สัมผัสแทนตา 


โคคลอฟได้เปิดเผยถึงวัตถุประสงค์ของการพัฒนาอาวุธพลังจิตของโซเวียตว่า พวกเขามีจุดมุ่งหมายที่จะ "ควบคุมจิตใจ" ของมนุษย์ให้ได้ ซึ่งคำกล่าวนี้ได้รับการยืนยันจาก ลาริสซา วิเลนสกายา ซึ่งเป็นแหล่งข่าวด้านการค้นคว้าพลังจิตของโซเวียตว่าเป็นความจริง

เรื่องราวเขย่าขวัญของวิเลนสกายาเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2511 เมื่อหล่อนได้รับมอบหมายให้ทำงานล่วงเวลาที่ห้องปฏิบัติการ ไบโออินฟอร์เมชั่น (bioniformation) ของสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีวิทยุอิเล็กทรอนิกส์ และสื่อสาร เอ.เอส.โปปอฟ (A.S.Popov Scientific and Technological Society of Radioelectronics and Communication) ซึ่งเพิ่งตั้งขึ้นใหม่ในกรุงมอสโคว์ห้องปฏิบัติการแห่งนี้มี ดร.อิปโพลิต บี.โคแกน เป็นผู้อำนวยการ มีคนทำงานทั้งในเวลาปกติ 5 คน และมีเจ้าหน้าที่ทำงานล่วงเวลาและอาสาสมัครช่วยงานอีกเป็นจำนวนถึง 300 คน

วิเลนสกายาเปิดเผยว่า หัวข้อของการวิจัยของห้องปฏิบัติการแห่งนี้มีทั้งการศึกษาใช้พลังจิตในการ รักษาโรค,การทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้า การนั่งทางในมองตรวจการณ์ระยะไกล (remote viewing) และรวมทั้งการศึกษาการใช้ผิวหนังในการแยกสีและภาพโดยใช้เพียงการสัมผัส แต่ทางการโซเวียตก็อ้อมแอ้มบอกว่าเป้าหมายของการวิจัยต้องการเพียงแค่หาหลัก การทางฟิสิกส์ง่าย ๆ มาอธิบายปรากฏการณ์ทางจิตเท่านั้น..แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีข่าวลือแพร่สะพัดออกมาว่า นักวิจัยของห้องปฏิบัติการแห่งนี้ได้รับคำสั่งให้ทำการทดลองควบคุมจิตใจ มนุษย์ด้วย ซึ่งก็สร้างความไม่พอใจแก่นักวิจัยอย่างมาก และในที่สุดในปี พ.ศ. 2518 ห้องปฏิบัติการแห่งนี้ก็ถูกปิด จนกระทั่งในอีกสามปีต่อมา ทางการโซเวียตได้มีคำสั่งให้เปิดหน่วยงานที่เรียกว่า "ชีวอิเล็กทรอนิกส์" (Bioelectronice) แทนห้องปฏิบัติการดังกล่าว และคราวนี้ปรากฏว่าในคณะกรรมการอำนวยการทั้งหมด 25 คนมีทหารรวมอยู่ด้วย 3 คน

"ในขณะที่ห้องปฏิบัติการไบโออินฟอร์เมชันเปิดให้ใช้ได้อย่างอิสระ" วิเลนสกายากล่าว

"ห้องปฏิบัติการชีวอิเล็กทอรนิกส์อันใหม่นี่กลับค่อนข้างจะเข้ไปได้ยาก เพราะมีการควบคุมอย่างเข้มงวด คุณจะต้องมีบัตรผ่านพิเศษจึงจะเข้าไปในนั้นได้" หล่อนอธิบายต่อไปอีกว่า หลังจากที่ห้องปฏิบัติการแห่งนี้เปิดแล้ว คณะทำงานซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของทหารก็ได้เริ่มการคัดเลือกคนเป็นจำนวน นับร้อย ๆ คน เพื่อใช้ในการทดลองพลังจิต ซึ่งการวางแผนทดลองอันใหม่นี้จะเน้นหนักไปที่การควบคุมจิตใจ

วิเลนสกายาได้หนีออกมาจากสหภาพโซเวียตในปี พ.ศ. 2522 หลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่ในอิสราเอลสองปี ก่อนที่จะอพยพไปอยู่สหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2524 ปัจจุบันนี้เธอประกอบอาชีพเป็นครูสอนวิชาเดินลุยไฟในซานฟรานซิสโก และก็เป็นบรรณาธิการวารสาร "ไซ รีเสิร์ช" (Psi Research) ซึ่งบทความส่วนใหญ่ที่ตีพิมพ์ลงใยวารสารเล่มนี้ก็เป็นบทความที่เธอแปลจาก เอกสารการวิจัยพลังจิตที่เธอขโมยออกมาจากโซเวียต หล่อนคาดว่าในขณะนี้ โซเวียตคงมีองค์การพลังจิตอยู่อย่างน้อยที่สุด 12 องค์การ และมีคนทำงานเต็มเวลา ไม่น้อยกว่า 100 คน กำเนิดอาวุธพลังจิต 



วิเลนสกายา ให้ข้อสังเกตว่าการวิจัยด้านพลังจิตในช่วงหลังนี้ โซเวียตมีเป้าหมายที่จะนำไปใช้ในทางที่ชั่วร้ายหรือไปใช้ในทางทหารมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น นักพลังจิตวิทยาชื่อ วลาอิล คาสนาเซเยฟ ได้รายงานถึงการใช้พลังจิตช่วยแพร่เชื้อจากเซลล์เชื้อโรคไปยังเซลล์ดีที่ถูก แยกจากกันด้วยแผ่นควอร์ตซ์ รายงานอีกชิ้นหนึ่งก็ชี้ให้เห็นว่า โซเวียตกำลังพยายามจะสร้างอาวุธหรือเครื่องจักรพลังจิตที่สามารถเหนี่ยวนำ การเต้นของหัวใจได้

ผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐฯ ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า ถ้าโซเวียตทำโครงการที่ว่านี้สำเร็จแล้วละก็ พวกเขาก็คงจะทำตามวิถีทางของโซเวียต คือใช้ไปในทางที่ชั่วร้ายเหมือนพวกพ่อมดหมอผีอย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ดี พวกลัทธิมาร์กซิสอย่างโซเวียตนั้น ไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์เลย ดังนั้นนักปรจิตของโซเวียตจะต้องค้นหาวิธีทางฟิสิกส์มาอธิบายเรื่องการเดิน ทางของข่าวสารทางกระแสจิต ซึ่งทฤษฎีของโซเวียตในปัจจุบันนี้ก็เชื่อว่า แม่เหล็กไฟฟ้าเป็นกุญแจสำคัญในการที่จะไขปัญหาในเรื่องนี้ "มันเป็นความคิดที่รวบรัดเกินไปแต่มันก็ดูเหมือนว่าจะเป็นไปได้" นักฟิสิกส์นิวเคลียร์ ผู้มีนาวกรว่า เอลิซาเบธรอสเชอร์ ซึ่งเป็นอาจารณ์สอนวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพอยู่ที่มหาวิทยาลัยจอรห์นเอฟ.เคนเน ดี ในโอรินดา แคลิฟอร์เนียกล่าว คลื่นสมองประกอบด้วยพลังงานทางแม่เหล็กไฟฟ้าและสมองของคนเราก็เปรียบเสมือน สายอากาศทรงกลมขนาดใหญ่ที่ส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกไปทุกทิศทุกทาง หากมีคนรับคลื่นพลังจิตนี้ได้ละก็ เราก็เรียกว่า "การส่งโทรจิต"

หลักฐานที่ยืนยันว่า โซเวียตเชื่อในแบบจำลองทางทฤษฎีนี้ก็ได้มาจากเครื่องไม้เครื่องมืที่นัก วิจัยพลังจิตของโซเวียตใช้งานอยู่เป็นประจำนั่งเอง ยกตัวอย่างเช่น "เครื่องไบโอพลาสโมกราฟ" (bilplasmograph) ซึ่งใช้ผลึกของเหลวชนิดพิเศษที่ใช้สำหรับวัด "สนามชีวะ" (biofield) รอบๆ ตัวมนุษย์ นายพล เจนนาดิเอ เซอร์เจเยฟ แห่งกองทัพเรือโซเวียตซึ่งเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องมือนี้ขึ้นมาก กล่าวว่าเครื่องไบโอพลาสโมกราฟสามารถจะใช้วัด "การเปลี่ยนแปลงแรงแม่เหล็ก" ที่อยู่รอบๆ ตัวนักพลังจิตได้

นอกจากนี้แล้วก็มีรายงานว่าโซเวียตก็ยังมีเครื่องจักร (อาวุธ) พลังจิตอีกชิ้นหนึ่งมีเชื่อว่า ลิดา (Lida) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้หลักการทางแม่เหล็กไฟฟ้าในการเปลี่ยนสภาวะความนึก คิดหรือจิตสำนึก ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ นักวิทยาศาสตร์สาขาประสาทวิทยาของสหรัฐฯ ชื่อ ดับบลิว. รอสส์ เอดีย์ ซึ่งทำงานอยู่ที่ศูนย์บริการแพทย์ทหารผ่านศึก (Veterans Adiministration Medical) ในโลมาลินดาซึ่งมีขนาดเท่ากล่องใส่รองเท้านี้ทอดลองกับแมว ก็ปรากฏผลว่าสามารถชักนำจิตใจของเจ้าแมวให้หลับได้เป็นเวลานาน

ยิ่งไปกว่านั้น โคคลอฟยังได้เปิดเผยกับนักเขียนของ ออมนิ อีกว่า ขณะนี้โซเวียตได้พัฒนาใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าดังกล่าวนี้เพื่อควบคุมคนทั้ง โลกกันแล้วโดยตลอดช่วงเวลา 30 ปีที่ผ่านมานี้โซเวียตได้ยิงคลื่นไมโครเวฟใส่สถานฑูตสหรัฐฯ ในกรุงมอสโคว์อยู่เป็นประจำ ซึ่งคาดกันว่าคงมีจุดประสงค์ที่จะรบกวนจิตใจหรือสร้างพฤติการอันไม่พึง ประสงค์ให้แก่นักกรทูตสหรัฐฯ และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519 เป็นต้นมา โซเวียตก็ขยายการปฏิบัติการรุนแรงขึ้นถึงขั้นงัดเอาอาวุธพลังจิตขนาดใหญ่ออก มายิงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในย่านความถี่ 2-20 เฮิรตซ์ เขาใส่ประเทศสหรัฐฯ เกือบทั้งประเทศ ซึ่งคาดว่าคงเพื่อจุดประสงค์เดียวกันกับที่ทำกับสถานทูตสหรัฐฯ ในมอสโคว์

อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะยอมรับว่า ได้ตรวจพบคลื่นดังกล่าวที่ยิ่งไปยังสหกรัฐฯ นี้จริง และกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยืนยันว่าโซเวียตยิงคลื่นไมโครเวฟใส่สถานทูตสหรัฐฯ จริงๆ ก็ตาม เจ้าหน้าที่ในรัฐบาลของสหรัฐฯ บางคนก็ไม่เชื่อว่าการกระทำเหล่านี้จะมีจุดประสงค์ดังที่นายโคคลอฟกล่าวอ้าง ทั้งนี้เพราะโซเวียตอาจจะมีเป้าหมายหลักเพื่อขัดขวางการส่งวิทยุของสหรัฐฯ ก็ได้ และส่วนคลื่นที่สำรวจพบในดินแดนสหรัฐฯ นั้นก็ยิ่งมาจากเรดาร์เหนือขอบฟ้าซึ่งเป็นระบบเตือนภัยล่วงหน้าของโซเวียต ที่มีไว้เพื่อใช้ตรวจจับขีปนาวุธของสหรัฐฯ "จริงอยู่ที่คนรัสเซียมีนิสัยโหดร้าย แต่พวกเขาคงไม่บ้าพอที่จะทำอะไรโง่ๆ หรอก" แหล่งข่าวโตแย้งในเรื่องนี้กล่าว สหรัฐฯ ร่วมทดลองการมองข้ามทวีป 



รัสเซลล์ ทาร์ก ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ที่ศึกษางานด้านพลังจิตของโซเวียตที่สำคัญคนหนึ่งของฝ่าย ตะวันตก มีความคิดเป็นเกี่ยวกับการวิจัยของโซเวียตว่า ความจริงแล้วรัสเซียนั้นมุ่งวิจัยเกี่ยวกับปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติเพื่อใช้ ในทางสันติส่วนเรื่องที่โคคลอฟและวิเลนสกายาเล่าและให้ทัศนะนั้นเป็นงาน วิจัยเพียงส่วนน้อยนิดเท่านั้นพวกเขาไม่ได้รู้เรื่องนี้ทั้งหมด

ทาร์ก เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญในการมองระยะไกล ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2515 ถึง 2525 เขาได้ทำงานกับสถาบันวิจัยสแนฟอร์ดซึ่งได้รับว่าจ้างจากกระทรวงกลาโหมของ สหรัฐฯ ให้ช่วยพัฒนา "สายลับพลังจิต" (psychic spies) ให้ ซึ่งงานนี้ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ

ในปี พ.ศ. 2525 หลังจากที่เขาได้ลาออกจากสถาบันวิจัยสแตนฟอร์ดเพราะว่างานวิจัยพลังจิตนี้ หนักไปทางทหารมากเกินไปแล้ว เขาก็ได้จักตั้งบริษัทเดลฟี แอสโซซิเอท (Delphi Associaties) ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาในด้านพลังจิตขึ้นมาและหลังจากนั้นไม่นาน ทาร์กก็ถูกสภาวิทยาศาสตร์ของโซเวียตเชิญไปเยี่ยมสถาบันวิจัยพลังจิตของรัส เซียซึ่งเมื่อสองปีที่ผ่านมานี้ ทาร์กก็ได้ไปเยือนรัสเซียถึงสองครั้ง จากการไปเยือนนี้ทำให้เขาได้พบปะนักวิจัยด้านจิตของโซเวียตมากกว่านักวิทยา ศาสตร์ชาวมะริกันทุกคน "ผมไม่สามารถยืนยันไดว่า โซเวียตได้ใช้พลังจิตในการทหารหรือไม่ แต่ที่รู้ๆ ก็คืองานของพวกเราเป็นวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์" ทาร์กกล่าว

แต่อย่างไรก็ตาม การไปเยือนรัสเซียของคุณพี่ทาร์กนี้ก็ได้สหรัฐฯ ได้ทราบข่าวคราวเกี่ยวกับงานวิจัยของโซเวียตมากขึ้นทีเดียว ในช่วงที่ไปรัสเซียนี้เขาก็ได้รู้จักกับ อิปโพลิต โคแกน ซึ่งเป็นอดีตเจ้านายของวิเลนสกายา ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้ทำงานอยู่ที่ สถาบันเรดิโอเทคโนโลยีและเอ็นจิเนียริ่ง (Institute of Rsdiotechology and Engineering) ในเลนินกราด และเมื่อปีที่แล้วนี้ โคแกน ก็ไดตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางพลังจิตออกมาเล่มหนึ่ง ซึ่งในหนังสือนี้เขาได้เสนอว่าพลังจิสามรถจะอธิบายได้ด้วยคลื่นแม่เหล็ก ไฟฟ้าความถี่ต่ำและนอกจากนี้แล้ว ทาร์กก็ยังได้ยินข่าวของ วิกเตอร์ อินยูชิน ที่รายงานข่าวกรองของสหรัฐฯ อ้างถึงเขาว่าเป็นผู้สร้างเครื่องควบคุมจิตใจที่มีชื่อเรียกว่า "เครื่องกำเนิดไซโคทรอนิก (psychotronic gener

 

 

แต่เดี๋ยวก่อน  ผมจะสรุปให้ฟังครับ แต่ถ้าใครอยากอ่านก้ ตามสบายงับ

 

อาวุธ พลังจิต ถูกค้นคว้าวิจัยใน รัสเซีย แดนหมีขาว ก่อนที่จะล่มสลาย พี่ท่านได้ ทุ่มงบจำนวนมาก ค้นคว้าและทดลอง เกี่ยวกับ การนั้งทางในผสมผสานกับเครื่องมือ อุปกรณ์ วิทยาศาสตร์  

อีกทั้งฝึกทหาร คัดเลือกจนเจอผุ้ที่ ทำได้จริง และ ทดลอง กับ พี่เบิ้ม เมกา หลายต่อหลายครั้ง  โดยใช้ตาทิพย์  ใช้ พลังจิต ครอบงำผู้นำข้ามประเทศ(เหมือนในหนังจังแฮะ แต่เรื่องจริงครับ)  

และก้ทำได้ จริงๆด้วย จน ต้องทุ่มงบวิจัย มหาศาล  แต่ต่อมาผู้นำคนใหม่ ขึ้นปกครอง ก้หาว่าเป้นเรื่องเหลวไหล จึงไม่ได้สั่งให้วิจัย (แต่แอบบทำต่อแบบลับๆ)

จนพี่หมีขาว  มาแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 นี้แหละ ทุกอย่างเลยหยุดไป   ต่อมา พี่เบิ้มรุ้ว่า พี่หมี ทำการวิจัย จึงได้ส่งสายไปล้วงความลับ หาห้องวิจัยเครื่องไม้เครื่องมือ  เจอ เอกสาร ของพี่หมี  แล้ว นำกลับมา ทำการ วิจัยต่อ 

แต่ตอนนั้น พี่ท่านก้ปัดไปว่าไม่ได้ วิจัย  จนมาบัดนี้ เพนตากอน กระทรวงกลาโหม ทุ่มงบมหาศาล เพื่อทำการวิจัยในเรื่องนี้ ให้กับกองทัพ 

 

โดย ทดลองกับทหาร มากมาย 

พี่หมีขาว รุ้ว่า พี่ เบิ้มเรา ทำการวิจัย  แข่ง ตอนนี้ ก้ได้ วิจัยหนีนำหน้าไปเยอะ แล้ว ด้วย

 

ขออภัยที่สรุปไม่ค่อยดีเท่าไร  แต่ ส่วนใหญ่ก้ประมาณนี้งับ  ผมอ่านมาหลายๆเว้บ  

ซึ่งต่อไป เราอาจได้เห้น เจได ออกมาเดิน เพ่นพ่านก้ได้ 

 

 

โพสท์โดย: Ahom
ที่มา:
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
Ahom's profile


โพสท์โดย: Ahom
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
40 VOTES (4/5 จาก 10 คน)
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
"อี้ แทนคุณ"​ ยื่นหนังสือลาออกจากสมาชิก "พรรคประชาธิปัตย์" แล้วหลายคนโฟกัสผิดจุด..ชุดนี้ห้ามจามโดยเด็ดขาดตุ๊กแก หนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่ช่วยกำจัด และลดปริมาณสัตว์ที่สร้างความรำคาญ หรือ นำพามาซึ่งโรคภัยให้กับมนุษย์ได้เป็นอย่างดี
ตั้งกระทู้ใหม่