หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

Issei Sagawa มนุษย์กินคนที่ยังมีชีวิตอยู่ 20+

โพสท์โดย ชายเอกผู้ดีอังกฤษ

 

 

 

 

สืบเนื่องจากกระทู้ https://board.postjung.com/474418.html  5 ฆาตกรโรคจิต สะท้านโลกที่กฏหมายเอาผิดไม่ได้ !! คอมเม้นต์ของคุณ IceFrozen ได้โพสต์ลิงค์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับอิซเซ ซากาวะ ฆาตกรโรคจิต อีกราย ซึ่งชายก็ลองนั่งอ่านดู มันเพลินดีแฮะ!!! ปนความน่าสยดสยอง เลยเอามาให้เพื่อนๆได้ดูกัน

 

บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด

อิซเซ ซากาวะ
 

 

ซากาวะมีรูปร่างเตี้ยมากสูงไม่เกิน 5 ฟุต มือเท้ามีขนาดเล็ก เสียงพูดก็แหลมเหมือนผู้หญิง และมีท่าทางกระตุ้งกระติ้งออกไปทางผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย มีแนวโน้มอาจเป็นพวกลักเพศซากาวะเป็นเด็กที่ฉลาดมากแต่ร่างกายค่อน ข้างอ่อนแอ ผอม และค่อนข้างกังวลเรื่องส่วนสูงของตนเอง แต่เขาชอบวรรณกรรมซึ่งจากความชอบนี้เองทำให้เขามีความรู้ในภาษาต่างประเทศหลายภาษา จนสามารถไปเรียนต่อวิชาวรรณคดีอังกฤษที่มหาวิทยาลัยวาโกอย่างสบายและที่ยุโรปนี้เอง เขาได้เกิดหลงใหลสตรีชาวยุโรปที่รูปร่างสูงกว่าเขาและหลงรักพวกเธออย่างลึกซึ้งซึ้งจนอยากกินพวกเธอ

 

เรนี ฮาร์เทเวล 

ระหว่างที่อิสเซทำการศึกษาที่ "สถาบัน เซนซิแยร์" ในมหานครกรุงปารีส ในปี ค.ศ. 1981 

อิสเซได้ตกหลุมรักนักศึกษาชาวยุโรปคนหนึ่งชื่อเรนี ฮาร์เทเวลท์ ที่นั่งถัดไปในห้องเรียน เรนีเป็นสาวสวยชาวยุโรปเหนืออายุ 25 ปี ผมสีบลอนด์ พูดได้ถึง 3 ภาษา เธอตั้งเป้าหมายว่าจะเรียนให้จบปริญญาเอกด้านวรรณคดีฝรั่งเศสเพื่อประกอบ อาชีพในอนาคต 

อิสเซหลงรักเธอจนหักห้ามใจไม่ได้ทุกครั้งที่เห็นแขนขาวเนียนของเธอ เรนีเป็นผู้หญิงในฝันของเขา เขาต้องหาทางให้ถึงตัวเธอให้จงได้ ระยะแรกอิสเซปูทางด้วยการขอให้เรนีสอนภาษาเยอรมันให้เขา โดยเสนอค่าจ้างในราคาสูงๆ เรนียอมรับข้อเสนอนี้ 

อิสเซเริ่มแผนการด้วยการเขียนจดหมายสารภาพรักกับเธอ นัดเธอไปดูคอนเสิร์ตและนิทรรศการศิลปะต่างๆ แม้ว่าอิสเซจะตัวเล็กและเดินกระตุ้งกระติ้งแบบผู้หญิงแต่เรนีก็ไม่ได้ รังเกียจที่จะไปไหนมาไหนด้วยกัน จนบางครั้งเรนีก็ชวนอิสเซไปกินน้ำชาบ้านของตัวเอง บางครั้งก็เต้นรำด้วยกัน 

แต่บางครั้งอิสเซก็มักแสดงพฤติกรรมวิปริตให้เรนีเห็นบ่อยๆ เช่น ครั้งหนึ่งอิสเซเชิญเรนีมาที่อพาร์ทเมนต์เพื่อรับประทานอาหารค่ำ อิสเซให้เรนีอ่านกวีคลาสสิกของเยอรมัน เธอทำตามที่อิสเซต้องการ พอเรนีออกไปแล้วกลับก็พบอิสเซแสดงอารมณ์วิปริตออกมา เขาสูดดมกลิ่นที่เก้าอี้ที่เรนินั่ง ใช้ลิ้นเลียที่ผ้าบุเก้าอี้ พร้อมสบถว่าแม่คุณเอ๋ยฉันจะกินเธอให้อิ่มแปล้ให้จงได้ 
เรนีเห็นพฤติกรรมของอิสเซ ดูแล้วน่าขยะแขยงอย่างยิ่ง 
และ แล้ววันนั้นก็มาถึง

คืนมรณะและบันทึกของอิสเซ 
 

11 มิถุนายน 1981 นั่นคือวาระสุดท้ายของเรนี 

อิสเซตัดสินใจฆ่าเรนีเพราะอยากกินเธอ จึงได้ชวนเรนีมาวันเกิดครบรอบ 32 ของเขา 
ที่โต๊ะตัวเตี้ย (โต๊ะโทคัทซึ) นั่งตามสไตล์ญี่ปุ่น ซากาวะแอบปลื้มอยู่เงียบๆ เพราะในใจเขาอยากกินเรนีใจจะขาดแล้ว เมื่อ เรนีมาถึงอิสเซได้ต้อนรับเธอด้วยธรรมเนียมญี่ปุ่นด้วยการให้เรนีนั่งคุกเข่า กับพื้นชงชาให้ดื่มผสมเหล้าลงไปด้วย จากนั้นเขาได้สารภาพรักกับเรนีทันที ขณะที่เรนีกำลังตั้งใจสอนเขา เรนีดูท่าทางจะตกใจมาก เนื่องจากรับสถานการณ์ไม่ทัน หล่อนจึงแกล่งตอบกลบเกลื่อนไปว่าเธอคบอิสเซแค่เป็นเพื่อนเท่านั้น ไม่ใช่แบบชู้สาว อิสเซเงียบไปพักหนึ่งแล้วผงะจากเรนีเดินไปหยิบ กวีนิพนธ์มาส่งให้เธอ แล้วเอื้อมมือไปกดปุ่มบันทึกเสียงในขณะที่เรนีอ่านกวีนิพนธ์ อิสเซฟังเรนีอ่านกวีนิพนธ์พอใจแล้วจากนั้นก็เดินไปข้างหลัง หยิบปืนเดินกลับมาจากนั้นก็จ่อยิงกลางหลังเรนีหนึ่งนัด เรนีสะดุ้งเฮือกหล่นลงจากเก้าอี้ลงกองอยู่บนพื้นเธอตายทันที อิสเซพูดพล่านกับเรนีเหมือนคนบ้าต่อหน้าศพของเรนี อิสเซเริ่มเปลื้อยผ้าออกจากศพของเรนีพบว่ามันยุ่งยากพอสมควร แต่ช่างหัวมันเถอะเพราะตอนนี้เธอเป็นของเขาแล้ว 

อิส เซเดินไปหยิบมีดยาวคมกริบมาเฉือนหัวนมข้างซ้าย กับปลายจมูกของเรนีอย่างชำนาญ จากนั้นเขาเอาปลายจมูกใส่ปากเคี้ยวกินดิบๆ อย่างเอร็ดอร่อย 

ในตอนหนึ่งในหนังสือ "ในหมอก" อิสเซได้บรรยายตอนนี้อย่างกวีนิพนธ์ไว้ว่า 
" ข้าพเจ้าเอามือจับเอวเธอแล้วคิดว่าจะกินส่วนไหนก่อนเป็นอันดับแรก เอาล่ะแก้มก้นขวานี้แหละ กร้วม ข้าพเจ้าอ้าปากกัดลงไปเต็มที่แต่มันเหนียวมากจนฟันกัดไม่เข้า" 

  

ชิ้นส่วนของเรนี 

จากนั้นเขาก็เล่าไปฉากๆ ถึงเรื่องไขมันและกล้ามเนื้อ 

" ข้าพเจ้าใช้มีดจ้วงแทงลงไปร่างของเรนี ไขมันก็ผลุดออกจากบาดแผลที่ฉีกกว้างสีมันเหลืองเหมือนสีเมล็ดข้าวโพดไม่ผิด ข้าพเจ้าดึงออกมาดม ปรากฏว่ามันไม่มีกลิ่นคาวและเหม็นเขียวสักนิด ข้าพเจ้าจึงแลลึกเข้าไปจนถึงเนื้อแดง ตัดเป็นชิ้นพอๆ คำใส่ปากเคี้ยวดิบๆ มันละลายในปากรสชาติคล้ายทูน่าทำซาซิมิในภัตตาคารไม่มีผิด อิสเซ ง่วนอยู่กับการชำแหละศพของเรนีด้วยมีดปอกสายไฟอันคมกริบมาชำแหละเป็นชิ้นๆ ส่วนหนึ่งเก็บสำรองไว้กิน ส่วนหนึ่งก็ใส่ปากเคี้ยวดิบๆ โดยอาหารจานแรกที่อิสเซทำคือ "เนื้อคนผัดมัสตาร์ค" เขาถ่ายรูปศพที่อันเป็นเศษเนื้อเธอไว้เป็นที่ระลึกก่อนที่จะเปลือกเสื้อผ้า ร่วมรักกับศพอย่างหื่นกระหาย เขาบรรยายฉากนี้อย่างละเอียดลออไว้ว่า 

" ระหว่างที่ข้าพเจ้าร่วมรักกับศพของเธอมันเหมือนกับว่าเธอหอบหายใจออกมา ข้าพเจ้าเร่งจังหวะแล้วบอกกับเธอว่า ผมรักเธอที่สุดในโลก โอ้....ว"

 

เนื้อที่ชำแหละไว้อิสเซได้เก็บไว้เพื่อทำอาหาร กินไปพลางฟังเสียงบทกวีที่เรนิอ่านในเทปบันทึกไปพลาง เมื่ออิ่มก็ใช้กางเกงในของเธอซับปากแทนผ้าเช็ดหน้า จากนั้นเดินกลับไปที่ศพเรนี ตัดเต้านมสองข้างไปอบในเตาอบ พอสุกก็เอามากินแชแต่ปรากฏว่าเขาไม่ชอบเพราะมันเหนียวยืดยาด ซึ่งเขาชอบเนื้อต้นขาของเรนีมากกว่า 


เมื่ออิสเซชำแหละศพจนเหนื่อย หลังจากนั้นเขาก็ลากศพที่ยับเยินไปนอนกอดบนเตียงจนม่อยหลับ โดยเขาตั้งใจว่าจะทำลายหลักฐานในวันรุ่งขึ้นให้หมด 

พอวันรุ่งเช้าเมื่อเขาตื่นนอนก็แทะเนื้อจากท้องแขนไปถึงข้อศอก ช่วงนี้อิสเซเขียนไว้ว่า 

"ไม่รู้น่ะ ว่าทำไมแต่บอกได้คำเดียวว่า อร่อยชะมัด" 

อิสเซยังไม่หายหิว เขาเชือดโน่นเชือดนี้กับอวัยวะส่วนต่างๆ ที่เหลืออยู่แม้แต่ทวารหนักเขาก็คว้านออกมา แล้วยัดใส่ปากเคี้ยวแต่กลิ่นมาสุดทนจนเขาต้องคายออกมา ชิ้นส่วนจากทวารหนักที่เหลือเขาต้องนำไปทอดแต่ก็รับไม่ได้เพราะมันเหม็นสุดๆ เขาจำเป็นต้องเททิ้งถังขยะแล้วแล่ส่วนอื่นๆ ไปกินต่อไป 

เวลาผ่านไป แมลงวันฝูงใหญ่เริ่มแห่กันมาตอมซากศพอันแหลกเหลว อิสเซเริ่มได้สติว่าศพของเรนีเริ่มส่งกลิ่น เวลาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์หมดลงแล้ว อิสเซต้องทำลายหลักฐาน 

อิสเซ เริ่มจากใช้ขวานสับร่างของเรนีเป็นท่อนๆ เพื่อจะยัดลงในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ๆ เอาไปทิ้งเพื่อเอาหลักฐานไปทำลาย เขาสับไปก็เกิดอารมณ์เปลี่ยว จึงใช้มือของเรนิมาสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองเป็นทาง 

ทำไปกินไป เอาเนื้อจมูกมากินเสียงกรุบกรอบบ้าง เอาริมฝีปากเธอกินบ้าง อิสเซได้บรรยายในตอนนี้ไว้ว่า 

" ข้าพเจ้าอยากกินลิ้นเธอแต่งัดขากรรไกรล่างออกมาไม่ได้ แต่ข้าพเจ้าก็เอามือล้วงผ่านช่องว่างระหว่างฟันเข้าไปจนได้ ที่สุดก็ควักปลายลิ้นออกมา ข้าพเจ้าใช้ใบมีดเฉือนปลายลิ้นของเธอออกแล้วโยนใส่ปากเคี้ยวหน้ากระจกเงา" 

จาก นั้นก็ล้วงเข้าไปคลำอวัยวะภายในซึ่งทำให้เขาปวดแสบปวดร้อนเมื่อไปสัมผัสกับ กรดในกระเพาะอาหารเข้า แต่สุดท้ายก็เอาขวานตัดศีรษะของเรนีออกจากร่าง อิสเซขยุ้มเส้นผมของเรนีไว้ หิ้วหัวของเธอไว้ตรงหน้าอิสเซแล้วบรรยายความรู้สึกตรงนี้ไว้ว่า

"ตอนนี้แหละที่ได้ประจักษ์ว่าตนเองคือมนุษย์กินคนที่แท้จริง" 

กว่า ที่จะยัดชิ้นส่วนของเรนีลงในกระเป๋าเดินทางเรียบร้อยก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนของ วันที่สองของการฆาตกรรม ลากปกระเป๋าลงมาจากกระเป๋าลงมาจากอพาร์มเมนต์เพื่อเรียกแท็กซี่ ลงมาจากแท็กซี่ที่ บัวส์ เดอ บูโลญจน์ ลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปในสวนสาธารณะกะว่าจะหย่อนลงในสระน้ำ แต่กระเป๋าใบใหญ่มากยากแก่การเคลื่อนย้าย แถมคนดูก็จ้องเขม็ง จนเขาต้องตัดสินใจทิ้งกระเป๋าแล้วเผ่นเอาตัวรอดทันที

 การค้นพบศพ

ดึกสงัดของคืนวันที่ 12 มิถุนายน 1981  ใจกลางกรุงปารีส  ประเทศฝรั่งเศส แถวๆบริเวณที่ทิ้งขยะของริมฝั่งแม่น้ำแซน เป็นจุดรวมของคนเร่ร่อนที่ชาวฝรั่งเศส เรียกว่า "พวกโกซา" มาอาศัยหลับๆ  นอนๆ ในคืนนั้นนั่นเอง  พวกโกซา กลุ่มหนึ่งนอนไม่หลับ ทันใดนั้น  มีเสียงรถแท็กซี่คันหนึ่งแล่นผ่านมา  และแล้วประตูรถแท็กซี่เปิดอ้าออกมา  มีหนุ่มเอเซียผู้หนึ่งกำลังค้นกระเป๋าเดินทางใบมหึมาออกจากรถอย่างเร่งรีบและทุลักทุเล  เมื่อหนุ่มเอเชียนั้นเห็นพวกโกซาก็ตกใจเขาทิ้งกระเป๋านั้นไว้ ก็ปิดประตูรถแท็กซี่และบึ้งถอยออกไปอย่างรวดเร็ว  โดยไม่ทราบว่า  เหตุการณ์นั้นได้เข้ามาสู่สายตาของโกซาผู้หนึ่งแล้วและท่ามกลางกองขยะที่เน่าเหม็นหลังจากนั้นมีสองสามีภรรยาคนหนึ่งเดินมาเห็นเหตุการณ์พอดีจึงเดินมาดู***บใบใหญ่นั้นพร้อมกับโอซา เมื่อฝากระเป๋าถูกเปิดออก มือมนุษย์ข้างหนึ่งยืดออกจากซิปกระเป๋ามีคราบเลือดติดกรัง ภายในเป็นศพชิ้นส่วนมนุษย์ที่ถูกตัดเป็นท่อนๆ ยัดใส่ลงภายในอย่างประณีต แต่ในเวลาไม่นานชิ้นส่วนเหล่านั้นได้ส่งกลิ่นคาวคลุ้งออกมาจนน่าสะอิดสะเอียน  สองสามีภรรยาและพวกโกซาร้องอุทานลั่น ผงะหงายหลังวิ่งแจ้นไปแจ้งความกับตำรวจทันทีซึ่งหนึ่งชั่วโมงต่อมาหลังเกิดเหตุ  ตำรวจได้พบกระเป๋าเดินทางขนาดมหึมาที่โกซานั้นแจ้งความไว้  แล้วก็ได้เบาะแสว่า  ในคืนนั้น  มีชายชาวเอเซียว่าจ้างให้รถแท็กซี่ให้ช่วยขนของจากอพาร์ทเม้นต์ไปทิ้งที่กองขยะริมแม่น้ำแซน

สี่วันต่อมาหลังจากการพบชิ้นส่วนมนุษย์  ตำรวจถือหมายค้นเข้าห้องพักของนักศึกษาชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง  ชื่อว่า"อิสเซ ซากาวะ"เมื่อเปิดประตู  ชายเตี้ยร่างผอมออกมาต้อนรับและให้ความร่วมมือกับตำรวจเป็นอย่างดี เขาได้ให้รายละเอียดว่า  เขาชื่อ อิสเซ  ซากาวะ  อายุ 32 ปี แนะนำตัวเสร็จแล้ว  เขาก็ทำตนเหมือนไม่มีความผิดอะไร  ซากาวะเชิญชวนตำรวจให้เข้ามาในห้อง  จัดแจงเสิร์ฟน้ำชาและคาดว่าน่าจะชวนให้รับประทานอาหารมื้อเย็นด้วยกันเป็นแต่ด้วยการต้อนรับที่อบอุ่น  ห้องของเขาที่สะอาดสะอ้าน  แต่ทว่า......... ยังมีอะไรบางอย่างที่มีกลิ่นอายแห่งความกลัวและขนพองสยองเกล้า ที่ตรงนั้น...โต๊ะอาหาร  
ตำรวจต่างพากันพะอืดพะอมกับก้อนเนื้อเป็นกองๆ  และเครื่องในที่ล้างๆออกมาไว้ในชาม  กะละมังตั้งเรียงเป็นแถวเป็นแนว  แล้วยังมีหม้อพะโล้  หม้อต้มเค็มวางไว้ข้างๆ ถ้ามองเข้าไปในครัวก็จะมองเห็นสตู  ซึ่งกำลังเดือดปุดๆอยู่บนเตา  สิ่งเหล่านี้ทำให้ตำรวจที่เข้ามารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างไรไม่รู้  แต่ใจพวกเขาคิดว่า  ซากาวะดูท่าทางอบอุ่น  ไม่น่าจะวิปริตขนาดนั้นหรอกมั้ง......แต่ว่า.....ลางสังหรณ์ก็บังเกิดขึ้นจริงๆ  เมื่อตำรวจเอื้อมมือเขาไปเปิดตู้เย็น ไอเย็นๆของน้ำแข็งระเหยออกมา  ม้วนตัวออกมาเป็นวงรี  ปรากฏศีรษะของผู้หญิงคนหนึ่งวางเด่นเป็นสง่าอยู่กลางแสงไฟจ้า ศีรษะที่ถูกตัดแค่คอมีผมยาวสีน้ำตาลทอง  ใบหน้าที่เคยดูสวย  แต่บัดนี้กลับดูสยอง

 

ตาข้างหนึ่งหรี่เกือบปิดสนิท  อีกข้างหนึ่งลืมตาครึ่งๆ  จมูกแหว่ง  เปรอะเลือด  และปากถูเฉือนออกมาทำให้เห็นแผงฟันขาวเวอร์เผยอ้าคล้ายกำลังส่งยิ้ม
ออกมาให้กับผู้ที่จ้องมองเธอ

"แล้วส่วนที่เหลือมันอยู่ไหน?"ตำรวจผู้ซึ่งถือหมายค้นถามด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน  ขณะที่ตำรวจอีกหนึ่งคนเหงื่อไหลออกมาเป็นจุดๆ
"ผมทานมันไปแล้วครับ"ซากาวะตอบอย่างยิ้มแย้ม  ซื่อๆง่ายๆ เมื่อถามถึงเต้านมข้างขวา
"ปรุงสุกๆอย่างนั้นหรือ!"ตำรวจนายนั้นถามซ้ำอีก  เหมือนว่าเขาไม่อยากจะเชื่อในการกระทำของซากาวะ  และเหลือเชื่อว่า  คนเราจะมีวิธีการทำครัวและเครื่องปรุงวัตถุ
ดิบที่สุดจะวิปริตได้ถึงเพียงนี้
"ดิบๆครับ  ผมจะลองทำดูแบบซาซิมิดู!!!"ซากาวะตอบแล้วหัวเราะ 
"แล่บางๆให้เฉียบ  แล้วกินดิบๆ  หวานหอม  อร่อยยิ่งกว่าปลาแซลมอนซะอีกนะครับ
เมนูชวนอ๊วกของเขายังมิได้หมดเพียงเท่านี้  ซากาวะชี้ชวนให้ตำรวจทั้งหลายดู    ซุปต้มเค็ม  พะโล้เนื้อ  สตู  และต้มเครื่องในที่เก็บไว้กินกับข้าวสวยๆร้อนๆ
"แหมๆ..........ผมไม่อยากเชื่อเลยนะนี่  ผู้หญิงตัวแค่นี้จะนำมาปรุงอาหารได้เยอะขนาดนี้  แถมอร่อยซะด้วย  ดูสิ  ผมเก็บไว้กินได้หลายๆอาทิตย์แน่ะ"

ตำรวจและคอข่าวอาชญากรรมแทบทุกคนต่างพากันโก่งคอ  อาเจียนกันหมด  กว่าจะทำใจสืบสวนกันต่อไปได้รายการอาหารทั้งหมดเช่น  ต้มเค็ม  สตู  ซาซิมิเต้านม  
ทุกรายการถูกถ่ายเก็บไว้เป็นหลักฐาน  พร้อมทั้งศีรษะที่เผยออยู่ในตู้เย็นด้วย
 

 

ภาพทั้งหมดถูกนักข่าวจากนิตยสาร Photo  ถ่ายเก็บเป็นสารคดีเล่มที่พิเศษสุด  แต่น่าเสียดาย  เพราะวางจำหน่ายเพียงวันเดียว  ทางการสั่งให้เก็บออกจากแผงทั้งหมด  
เพราะว่ามันน่ากลัวเกินเขย่าขวัญเกินกว่าที่ประชาชนจะรับได้
เมื่อตำรวจรวบตัวเขา  เขาก็ไม่แสดงอาการขัดขืนแต่อย่างไร  ไม่มีการวางแผนพิศวาสฆาตกรรมใดๆทั้งนั้น  ทุกอย่างเรียบง่าย  ให้ความร่วมมือกับตำรวจทุกประการ  แถมยังชวนให้ตำรวจรับประทานอาหารของตนเองด้วย เพราะเหตุนี้  ตำรวจจึงลงความเห็นว่า  เขาประสาทเสียซะแล้ว  เขาลงมือฆ่าเรนีเพราะความวิกลจริตจริงๆ

 

ตำรวจได้นำสำนวนและคำรับสารภาพของอิสเซส่งไปให้อัยการและผู้พิพากษา 
อัยการเคยถามอิสเซว่ากินเนื้อของเหยื่อด้วยเหตุใด มันอร่อยหรือ? คำตอบของซากาวะคือ
"มันไม่เห็นจะอร่อยตรงไหน ผมฆ่าเธอเพราะอยากกินเธอดูเท่านั้น" 
ผู้พิพากษาอ่านสำนวนจนไตร่ตรองแล้วก็คำสั่งไม่เปิดศาลพิจารณาคดี
เพราะพฤติกรรมของอิสเซชัดเจนแล้วว่าเป็นคนบ้า แต่ให้นำตัวไปบำบัดในโรงพยาบาลโรงจิต 
โดยให้จิตแพทย์สามคนทำการตรวจสอบอิสเซเพื่อแน่ใจ จนมีความคิดเห็นตรงกันว่า "รักษาไม่หาย" 

อิสเซ ซากาวะจึงถูกนำตัวไปรักษาในโรงพยาบาลโรคจิต พอล กีโรด์ 

ส่วนอากิระ ซากาวะ บิดาของอิสเซ ได้วิ่งเต้นขอให้นำตัวอิสเซารักษาตัวที่
โรงพยาบาลโรคจิตมัคสึซาวะแทนที่จะเป็นพอล กีโรด์ และในขณะเดียวกันด้านผอ.
โรงพยาบาลพอล กีโรด์ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของศาล และเชื่อว่าอิสเซไม่บ้า 
สมควรที่ได้รับโทษติดคุก แต่ด้วยความมุมานะของพ่อของอิสเซทำให้อิสเซได้รับการปล่อยตัว
ในเดือนสิงหาคมปี ค.ศ. ๑๙๘๕ หลังใช้ชีวิตในโรงพยาบาลนั้นเพียงแค่ ๑๕ เดือน 

แต่ถึงอย่างไรอิสเซต้องอยู่ในการดูแลของจิตแพทย์อย่างใกล้ชิด 
จนสามารถออกไปใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นอีกครั้งในอีก ๕ ปีต่อมา 
ทั้งยังสามารถทำพาสปอร์ตไปยังประเทศเยอรมันอีกด้วย

ความสุขของอิสเซ 

ทุกวันนี้อิสเซ วากาวะ มีความสุขกับการใช้ชีวิต โดยเฉพาะการตกเป็นเป้าสนใจของสื่อต่างๆ ที่ทำให้เขากลายเป็นดารา ส่วนสาธารณะชนแทนที่จะประฌานกับยกย่องและตั้งฉายาให้เขาว่า "บิดาแห่งการกินคน" รู้สึกอิสเซจะพอใจฉายานี้มากถึงกับหลุดปากว่า "ยอดว่ะ" 


นอกจากนี้อิสเซยังออกรายการทอร์ค โชว์เพื่อพูดประสบการณ์กินคน และได้แสดงภาพยนตร์ลามกที่ผลิตในประเทศอีกหลายเรื่อง(อิจฉาจัง) เมื่อมีเวลาว่างก็เขียนนวนิยายรวม ๔ เล่มด้วยกัน โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับฆ่ากินศพของเรนีหนังสือเล่มนั้นชื่อว่า"IN THE FOG" ซึ่งขายดีระดับ BEST SELLING สามารถขายได้กว่า ๒๐๐,๐๐๐ เล่มจนพ่อของอิสเซต้องภูมิใจ

 


นอกจากนี้ความดังของอิสเซจะปรากฏในรูปแบบสื่อต่างๆ มากมาย เช่น 

วงโรลริ่ง สโตน ได้แต่งเพลงชื่อ "เลือดท่วม" อันเนื่องจากประทับใจการกินคนของอิสเซ 

เรื่องของเขาได้ดัดแปลงเป็นการ์ตูน 

ได้ถ่ายปกเปลือยให้ร้านอาหารชื่อดังในญี่ปุ่น 

เปิดเว็บ ไซท์ ของตัวเอง ให้คนเยี่ยมชมว่าการกินเนื้อคนไม่ใช้เรื่องน่ารังเกียจเดียดฉันแต่อย่างใด พร้อมให้คนไปเยื่ยมชมภาพเขียนรูปก้นของสตรียุโรปให้ดูอย่างเป็นศิลปะ 

อิสเซใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระอยู่อย่างสงบสุขในบ้านเกิด....

 

ขอบคุณเนื้อหาและรูปภาพจาก  http://atcloud.com/stories/77931  ครับ

 


⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
437 VOTES (4.8/5 จาก 91 คน)
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ชาวบ้านตาดี พบคู่รักซั่มกันในทะเล ที่ภูเก็ต (มัีคลิป)5 ราศีที่มีพญาครุฑคุ้มครองลูกค้าหนุ่มเศร้า หลังรีวิวชุดกีฬาที่ซื้อมา แต่ดันพลาดเห็นหนอนน้อยชาวลาวไม่ทน! หลังหนุ่มจีนโพสทิ้งเงินกีบลงในถังขยะ ทำคนลาวถึงกับไม่พอใจ?เพื่อน "ออกัส" ซัดแหลก..พระเอกดังต่างหาก ถูกข่มขู่ให้กราบเท้า!!คนไข้วัย 72 ติดเชื้อโควิดนาน 613 วัน ก่อนกลายพันธุ์ในร่างกายกว่า 50 ครั้งหมีที่เล็กที่สุดในโลกเกิดเหตุม้วนเหล็กกลิ้งทับคนตาย
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
อิหร่านขู่ถล่มที่ตั้งนิวเคลียร์ ของอิสราเอลด้วยขีปนาวุธ"ลาบูบู้" ไม่รอด โดนเขมรเคลมเรียบร้อยแล้ว..บอกรากเหง้ามาจาก "หน้ากาล"3 ราศีที่มีความร้ายกาจ อย่างคาดไม่ถึง!หนังเรื่อง "คนกราบหมา" ได้เข้าฉายหลังจากถูกแบนมา 25 ปี
ตั้งกระทู้ใหม่