คำสารภาพสุดท้ายของนักโทษประหาร
คำสารภาพสุดท้ายของนักโทษประหาร
กลับมานำเสนอนวนิยายดีๆ น่าสนใจแก่เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ซึ่งเรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ ยุทธ บางขวาง ตั้งใจเสนอชีวิตนักโทษประหารในเรือนจำ เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจและรับรู้ถึง
คำสารภาพสุดท้ายของนักโทษประหาร
เรื่องจริง ! จากประสบการณ์ตรงของ พี่เลี้ยง นักโทษประหาร วาระสุดท้ายก่อนก้าวสู่หลักประหาร ความจริงที่พวกเขา"คาย"ออกมา
สำหรับนาทีสุดท้ายของนักโทษประหาร พวกเขาพูดอะไรกันบ้าง จริง เท็จ อย่างไร มีเพียงไม่กี่คนที่ได้ยินหนึ่งในนั้นคือ... พี่เลี้ยง นักโทษประหาร
เพราะสัญชาตญาณดิบ เลือดเย็น อารมณ์ชั่ววูบ รัก โลภ โกรธ หลง หรือกรรมเก่า อุทาหรณ์จากหลักประหารเพื่อเตือนสติทุกครั้งที่คิดจะกระทำผิด
นอกจากจะมาแนะนำหนังสือน่าอ่านแล้ว วันนี้ ยังขอนำเสนอบรรยากาศก่อนการประหารชีวิตในเรือนจำ เพราะมีโอกาสได้เข้าไปสัมผัสบรรยากาศดังกล่าวถึง 2 ครั้งในเรือนจำกลางบางขวาง ทั้งการประหารชีวิตด้วยปืนครั้งสุดท้าย และการประหารชีวิตด้วยการฉีดยาครั้งแรก
วันนั้น ยังคงจำได้ไม่ลืม ท้องฟ้าโปร่ง อากาศแจ่มใส เริ่มด้วย เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้เบิกตัวนักโทษประหารออกมาจากแดนคุมขัง โดยนักโทษบางคนถึงกับหมดเรี่ยวแรง ต้องหิ้วปีกมาเพื่อเขียนพินัยกรรมหรือโทรศัพท์สั่งเสียญาติ จากนั้น เจ้าหน้าที่นำอาหารมื้อสุดท้าย ยังจำได้เลยว่าเป็นต้มข่าไก่ เขียวหวานลูกชิ้นปลากราย แกงหน่อไม้ และยังมีขนมหวานอีกหลายอย่าง มาให้นักโทษได้รับประทาน ซึ่งบรรยากาศขณะนั้น มันเหมือนมีก้อนอะไรเหนียวๆ บางอย่างอยู่ในลำคอ ไม่สามารถกลืนลงไปได้ หดหู่เหลือเกิน
ต่อจากนั้น เจ้าหน้าที่ได้อ่านฎีกาและนำนักโทษไปฟังพระเทศน์ก่อนจะขึ้นรถส่งวิญญาณ (รถไฟฟ้าที่ใช้ในสนามกอล์ฟ) ไปสู่แดนประหาร แต่ก่อนถึงแดนประหาร เจ้าหน้าที่ได้นำนักโทษแวะกราบไหว้ศาลเจ้าพ่อเจตคุปต์ ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเรือนจำ ขณะนั้นเอง ท้องฟ้าจากที่เคยสดใส กลับมืดครึ้มคล้ายฝนจะตก ในทันตา (เรื่องจริงๆ นะไม่ได้โอเว่อร์) เหมือนฟ้าดินกำลังรับรู้ (พูดแล้วขนลุก)
เมื่อเสร็จการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจ้าหน้าที่นำนักโทษเข้าสู่หลักประหาร ซึ่งเป็นลักษณะเป็นไม้กางเขนมีความสูงขนาดไหล่ มัดนักโทษด้วยด้ายดิบ ให้ยืนหันหน้าเข้าหลักประหารที่มีไม้นั่งคร่อม ป้องกันไม่ให้นักโทษยืนตัวงอ หรือเข่าอ่อน ข้อมือทั้งสองผูกมัดติดกับหลักประหารในลักษณะประนมมือ กำดอกไม้ธูปเทียนไว้ โดยเจ้าหน้าที่ นำฉากประหารที่มีเป้าวงกลมติดอยู่กับฉาก พร้อมตั้งเล็งให้เป้าอยู่ตรงจุดกลางหัวใจของนักโทษ ห่างจากด้าน หลังผู้นักโทษประมาณ 1 ฟุต เพื่อกำบังมิให้เจ้าหน้าที่ผู้ลั่นไกปืนเห็นตัวนักโทษ แท่นปืนประหารตั้งอยู่ ห่างจากฉากประหารประมาณ 4 เมตร
เมื่อพร้อมแล้วเจ้าหน้าที่ให้สัญญาณ โดยโบกธงสีแดง ผู้ทำหน้าที่ลั่น ไกปืน (เราไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าภายในห้องขณะประหารนะ ทางเรือนจำให้รออยู่ที่ศาลาหน้าแดนประหารเท่านั้น) จากนั้น คณะกรรมการประหารชีวิตได้ร่วมกันตรวจสอบจนแน่ใจว่านักโทษถึงแก่ความตายอย่างแท้จริง แล้ว เจ้าหน้าที่จัดพิมพ์ลายนิ้วนักโทษประหารเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อยืนยันว่าไม่ประหารชีวิตผิดตัว
นั่นคือการประหารด้วยปืน ครั้งสุดท้าย แต่เราก็ได้รับโอกาสอีกครั้งที่จะให้เข้าชมการประหารด้วยการฉีดยา ซึ่งขั้นตอนตั้งแต่เบิกตัวนักโทษจนถึงการกราบไหว้สิ่งศักดิ์นั้น เหมือนการประหารด้วยปืนทุกประการ แต่ที่แตกต่างคือการนำเข้าแดนประหาร การฉีดยา เจ้าหน้าที่จะปิดตานักโทษด้วยผ้าดำ รวมทั้งให้นักโทษถือดอกไม้ธูปเทียนไหว้ โดยหันหน้าไปทางวัดแพรกใต้ที่อยู่ติดแดนประหาร
จากนั้นนำนักโทษเข้าอาคารฉีดสารพิษ โดยยังคงล่ามโซ่ตรวนไว้และให้นักโทษนอนบนเตียงประหารชีวิต ซึ่งมีผ้าขาวสำหรับห่อศพวางรองอยู่ และทำการขึงแขนนักโทษให้ติดกับเตียงทั้ง 2 ข้างในท่ากางแขน และนำเข็มฉีดยาปักไปที่ข้อมือทั้ง 2 ข้าง และทำการฉีดยาจำนวน 3 เข็ม เข็มที่ 1 คือยานอนหลับ เข็มที่ 2 เป็นยาคลายกล้ามเนื้อ และเข็มที่ 3 คือยาหยุดการเต้นของหัวใจ ก่อนให้แพทย์และให้คณะกรรมการประหารชีวิต มาช่วยตรวจ
ต่อจากนั้น จะนำนักโทษที่เสียชีวิตแล้วใส่ในโลงเย็น ความเย็น –18 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 12 ชั่วโมง ก่อนให้แพทย์ตรวจเป็นครั้งสุดท้าย และให้ญาติรับไปบำเพ็ญกุศล โดยขั้นตอนทั้งหมด ใช้เวลาประมาณ 25 นาที
และกิจกรรมสุดท้ายของนักโทษประหาร
ที่มาโดยหัวผักกาด