สิ่งเล็กๆที่เรียกว่าตุ๊ด
จบชายล้วนมาทั้งที จะบอกว่าไม่เคยเจอตุ๊ดนี่ก็ยังไงๆอยู่ เพราะ โรงเรียนชายล้วนนี้แหละเป็นสถานเพาะบ่ม เยาวตุ๊ด ได้เป็นอย่างดี
วันนี้ เลยนั่งรื้อฟื้น ความหลังครั้ง ม. ปลายมาเล่าให้ฟัง กับชื่อเรื่องว่า สิ่งเล็กๆที่เรียกว่า "ตุ๊ด "
เพราะโลกนี้มีของสวยงามเยอะแยะมากมาย ทำให้ชายกลุ่มหนึ่ง หลงใหล และเฝ้าฝันเอามมันมาประกอบเครื่องเป็นเรือนร่าง ตุ๊ด
และพัฒนา มันให้เป็นแบบแผนรูปแบบ ของการประกวด
เวทีแห่งการประชันโฉมดอกไม้ปลอมนี้คือ ความฝันอันเกือบสูงสุดของนางกระเทย ทั้งปวงในสยามประเทศ
อีกเวที ที่เป็นที่โปรดปรานยิ่งกว่าตำปลาร้า นั้นคือ เวที คาบาเร่ ที่เคยรุ่งเรืองดังไหแตก แต่ตอนนี้โดนกระแสเกย์ เข้ามาเบียดจนไหล่ถลอก จึงดูเงียบๆไปบ้าง
บางนาง บางองค์ไม่สามารถได้ก้าวไปถึงจุดนั้น เวทีงานบุญต่างๆจึงพอจะบรรเทาความฝันให้ พอเป็นความจริงขึ้นมาได้บ้าง
แปลกใจไหม ว่าทำไม กระเทยตอนเจอกันใหม่ๆ จะเข่มนกัน แต่พอได้คุยกัน กลับเหมือนรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีฯ
นั้นก็เพราะ บัญญัติของกระเทยตสมาคมแห่งประเทศไทยที่รวมภาคีกับองค์กรกระเทยโลกที่มีศูนยืกลางอยู่ที่ซิมบับเว ว่าด้วยเรื่องกฎของกระเทย มีข้อหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า "กระเทยทุกคนในทุกสารทิศต้องเป็นมิตรกับกระเทยอื่นทั่วโลก" (คล้ายๆกฎของลุกเสือสำรองนะ)
กระเทยจึงมีพฤติกรรมที่ร่วมกันเป็นกลุ่มตั้งแต่โบร่ำโบราณ ตั้งแต่สมัยคุณลุงสาวๆ ก็อาจกล่าวได้ ทั้งนี้เพื่อสร้างเสถียรภาพให้แลดูน่าเกรงขาม ผู้ชายไม่กล้าหกลั่นแกล้ง บ้างก็เพื่อ จะได้ยืมอุทัยทิพย์เพื่อทาปาก ทาแก้ม เมื่อของตนเองหมด และที่สำคัญ ก้เพื่อ ร่วมกันไล่ต้อนเหยื่อเคราะห์ ร้ายด้วยการออกล่าเป็นทีม (คล้ายๆสิงโต)
บางนางที่มัั่นหนังหน้าก็มีเหมือนกันที่จะเดินเดี่ยว ทั้งนี้เะอให้เหตุผลว่า เบื่อคนยืมแป้งและแย่งอาหารอันโอชะ อันนี้ก็แล้วแต่ มุมมองแล้วกัน
จึงไม่น่าแปลกใจใช่ไหม ว่าทำไม กระเทยเด็กที่เจอได้ตามท้องตลาด และร้านขายยาทั่วไปนั้น จะแรง ขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อลองย้อนถามว่า แล้วทำไมชอบเป็นกระเทย ?
อันนี้น้องสาวหนีบบ้องกัญชาของเราก็จะตอบทันทีว่า ไม่ได้แกล้งเป็นนะ มันเป็นมาจากข้างใน แบบ Born to be
แล้วทำไมไม่เลิก ?
เธอจะสวนทันทีว่ามันไม่ใช่ ไข้ไอเจ็บคอนะ ที่หายามากิน มาทาแล้วจะหาย แต่นี่มันเป็นกระเทย รักษาไม่ได้ด้วยยาแบบนั้นหรอ ก นอกจากยาฉีด หึๆๆๆ (กำ)
แล้วกระเทยกลัวอะไรมากที่สุด ?
เธอตอบว่า ก็กลัว อึ่งอ่าง คากคก กบ แย้ ดักแด้ และชะนี
กลัวทำไมชะนี ?
เธอตอบว่าแพ้ขนสัตว์ เข้าใกล้แล้วจะจาม แบบว่ามัน แสลง
การก้าวมาเป็นกระเทยนั้น มันยากกว่าสอบ โอเนต เอเนตมากมาย ไหนจะต้องเป็นผู้หญิงคูณสอง นั่นคือต้องทำอะไร ๆที่มันคูณสอง เช่น ต้องกินยานั่นนี่ เพื่อควบคุมฮอร์โมนตัวนี้ กระตุ้นฮอร์โมนตัวนั้น ต้องขัดผิววันจันทร์ อาบน้ำแร่วันอังคาร วันพุธไปวัด วันพฤหัสเดินแบบ วันศุกร์ทำคลอดแมว บลาๆๆๆ สรูปว่า เธอไม่ว่างเลยทั้งเรื่องส่วนตัวและส่วนรวม เหนื่อยมั๊กๆ (ว่างั้น)
นอกจากเรื่องภายนอกแล้วภายในก็ต้องคูณสองเช่นกัน เพราะทำอย่างไรก็ได้ให้แลดูเป็นหญิงที่สุด ทั้งเสียงเป็ด ทั้งเสียงหวีด ทั้งมือ ทั้งไม้ ต้องออกให้ครบองค์ตอนพูด และด่านที่สำคัญอีกอย่างคือ ด่านของครอบครัว ที่ต้องทำอย่างไรก็ได้ให้เขายอมรับ แบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่นที่สุด แต่ป้ากระเทยบางคนจนแก่ ก็ยังไม่สามารถทำได้ เพราะในอดีตนั้นสังคมไม่ได้เปิดแบบนี้ ทุกวันนี้ก็เลยต้องเป็นกระเทยล่ำ เพราะต้องช่วยพ่อยกถังแก๊สไปส่ง ตอนเด็กๆ
แต่อย่างไรเสียกระเทยเด็ก สมัยนี้ก็ควรตระหนักและตอบแทนบุญคุณกระเทยรุ่นป้าที่เขาอุตส่าห์ ต่อสู้กับกระแสสังคมเพื่อหาจุดยืนให้กระเทยได้ออกมาเต้นเร่าๆ อย่างไม่มีมีสายตาใดๆ เหยียดหยาม อย่างน้อย เจอกันก็ควรซื้อหมากพลูให้แกสักชุดก็จะดี เพราะเป็นการเคารพ อย่างไทยๆ
วันนี้พอแค่นี้ เพราะนึกได้แค่นี้ แหะๆ
โดยลูกชายนายอำเภอ