นักรบจูล่ง "สุภาพบุรุษแห่งเสียงสัน"
|
| |
| แม่ทัพแห่งจ๊กก๊ก |
|---|
จูล่ง ได้รับฉายาว่าเป็น "สุภาพบุรุษแห่งเสียงสัน" เกิดในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 2 ที่อำเภอเจินติ้ง เมืองเสียงสัน มีแซ่เตียว (จ้าว) แต่ไม่มีใครเรียกว่า เตียวจูล่ง สูงประมาณ 6 ศอก (1.89 เมตร) หน้าผากกว้างดั่ง เสือ ตาโต คิ้วดก กรามใหญ่กว้าง บ่งบอกถึงนิสัยที่ซื่อสัตย์ สุภาพเรียบร้อย น้ำใจกล้าหาญ สวมชุดเกราะสีขาว ใช้ทวนยาวเป็นอาวุธ พาหนะคู่ใจ คือ ม้าสีขาว คอยติดตามพระเจ้าดเล่าปี่ และกุนซือขงเบ้ง จูล่งเป็น 1 ใน 5 ขุนพลทหารเสือที่พระเจ้าเล่าปี่แต่งตั้งขึ้นมา ประกอบด้วย กวนอู เตียวหุย จูล่ง ม้าเฉียวและฮองตง
ด้วยร่างกายสูงถึง 6 ศอก หน้าผากและคิ้วใหญ่ ตาโต ท่าทางสง่างาม ทำให้จูล่ง แห่งเมืองเสีนงสานได้ชื่อว่าเป็นหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง ประกอบกับอาภรณ์ขาวที่สวมใส่ และม้าคู่ใจก็ยังเป็นสีขาวทั้งหมด จูล่งจึงเป็นเหมือนเทพในชุดขาวที่ฟ้าประทานมาให้เป็นขุนพลคู่ใจของพระเจ้าเล่าปี่
เมื่อ พูดถึงสีขาวแล้ว คงต้องย้อนไปถึงการกำเนิดของจูล่ง เขาเกิดในวันที่มีเมฆขาวลอยเด่น บิดาจึงตั้งชื่อให้ว่า หยุน ซึ่งแปลว่าเมฆ จนเมื่อเติบใหญ่ถึงได้ชื่อทางการว่าจูล่ง นั่นอาจจะทำให้จูล่งมีความผูกพันกับสีขาวราวปุยเมฆเป็นพิเศษ และกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ไม่ว่าไปที่ไหนคนก็จำได้ ถึงขนาดที่ว่ากันว่า หากกองทัพฝ่ายตรงข้ามเป็นบุรุษสวมเกราะขาว ขี่อาชาขาวมาแล้วล่ะก็ ทหารเลวเป็นต้องแตกทัพ เพราะไม่อาจกล้าต่อกรกับจูล่งผู้ขึ้นชื่อได้
ในสามก๊กนั้น ตัวละครแทบทุกคนบนหน้าประวัติศาสตร์ล้วนมีเสน่ห์ที่แตกต่าง ด้วยข้อดี ข้อด้อย ทั้งเก่งกล้าสามารถ และขลาดเขลา แต่มีเพียงหนึ่งเดียวที่คงความเป็นสุภาพบุรุษนักรบตั้งแต่ต้นจนจบ ทำให้ได้รับการยกย่องทั้งจากคนรุ่นเดียวกันเอง และรุ่นหลังว่า เป็นแบบอย่างที่ดีที่สุดคนหนึ่งในยุคที่บ้านเมืองระส่ำระสาย เขาคือ จูล่ง นักรบชุดขาวที่ไม่เคยพ่ายแพ้ ไม่เห็นแก่ ลาภ ยศ ไม่มักใหญ่ใฝ่สูง มีแต่ความจงรักภักดีที่มอบให้นายอย่างเต็มหัวใจ ทำให้พระเจ้าเล่าปี่ผู้นำแห่งจ๊กก๊กสามารถวางใจได้เต็มที่
แต่ก่อนที่จะได้เป็นยอดขุนพลนั้น จูล่งเองก็เคยผ่านวันเวลาที่รันทดมาแล้ว กล่าวคือ ก่อนที่จะเกิดเป็นสามก๊กใหญ่นั้น แผ่นดินจีนมีก๊วนเล็กก๊วนน้อยหลายกลุ่ม จูล่งเดิมเดิมเป็นชาวเมืองเสียงสัน ต่อมาได้มาเป็นทหารของอ้วนเสี้ยว แต่อ้วนเสี้ยวหยาบช้า ไร้น้ำใจ จูล่งจึงหนีไปอยู่กับกองซุนจ้านเจ้าเมืองปักเป๋ง โดยที่ขณะนั้นกองซุนจ้านได้ทำศึกกับอ้วนเสี้ยว จูล่งยังได้ช่วยชีวิตกองซุนจ้านไว้แล้วสู้กับบุนทิวถึง 60 เพลง จนบุนทิวหนีไป ต่อมาจูล่งได้มีโอกาสรู้จักกับพระเจ้าเล่าปี่ ทั้งสองต่างเลื่อมใสซึ่งกันและกัน
เมื่อกองซุนจ้านฆ่าตัวตายเพราะแพ้อ้วนเสี้ยว จูล่งจึงได้ร่อนเร่พเนจรจนมาถึงเขาโงจิวสัน ซึ่งมีโจรป่ากลุ่มหนึ่งมีหุยง่วนเสียวเป็นหัวหน้า หุยง่วนเสียวคิดชิงม้าจากจูล่ง จูล่งจึงฆ่าหุยง่วนเสียวตายแล้วได้เป็นหัวหน้าโจรป่าแทน ต่อมากวนอูได้ใช้ให้จิวฉองมาตามหุยง่วนเสียวและโจรป่าไปช่วยรบ จิวฉองเมื่อเห็นจูล่งคุมโจรป่าจึงคิดว่าจูล่งคิดร้ายฆ่าหุยง่วนเสียว จิวฉองจึงตะบันม้าเข้ารบกับจูล่ง ปรากฏว่าจิวฉองต้องกลับไปหากวนอูในสภาพเลือดโทรมกาย ถูกแทงถึง 3 แผล (สำนวนสามก๊กฉบับวณิพกของ ยาขอบ) จิวฉองเล่าว่าคนผู้นี้มีฝีมือระดับลิโป้(เทพเจ้าแห่งสงคราม) ดังนั้นกวนอูกับพระเจ้าเล่าปี่จึงต้องรุดไปดูด้วยตนเอง แต่เมื่อได้พบกันจูล่งก็เล่าความจริงทั้งหมด ตั้งแต่นั้นมาจูล่งก็ได้เป็นทหารเอกของพระเจ้าเล่าปี่ และได้โอกาสสร้างผลงานดีๆ หลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะความโดดเด่นด้านการทัพที่ไม่มีใครเสมอเหมือน เป็นที่หวั่นเกรงไปทั่ว แค่ได้ยินชื่อจูล่งก็พลอยทำให้ข้าศึกหัวหดตั้งแต่ยังไม่รบ
ในปี พ.ศ. 751 จูล่งสร้างวีรกรรมครั้งสำคัญคือ ฝ่าทัพรับอาเต๊า บุตรชายของพระเจ้าเล่าปี่ที่เกิดจากนางกำฮูหยิน ในครั้งนั้น อาเต๊ายังเป็นเพียงทารกน้อย บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของพระเจ้าเล่าปี่ ซึ่งในยามที่ถูกทัพโจโฉตีแตกที่ทุ่งเตียงบันโบ๋ ครอบครัวต่างกระจัดกระจายสูญหาย แม้เล่าปี่จะฝ่าวงล้อมหนีออกไปได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าลูกเมียเป็นตายร้ายดีประการใด มิหนำซ้ำ ทหารบางคนยังออกมาบอกกับพระเจ้าเล่าปี่ว่า ยอดขุนพลที่พระเจ้าเล่าปี่รักนักรักหนาอย่างจูล่งนั้นคิดไม่ซื่อ ได้แปรพักตร์ไปร่วมขบวนการกับโจโฉแล้ว
เหตุที่มีคนคิดเช่นนั้นเป็นเพราะว่า ในยามที่ใครต่อใครต่างพากันหักด่านหนีเอาตัวรอดนั้น จูล่ง กลับควบม้าขาว ควงทวนเล่มเดียวกลับเข้าไปกลางสมรภูมิรบแบบที่ไม่มีใครเขาคิดจะทำกัน คนที่เห็นจึงปักใจว่าเป็นอาการของคนที่ขอเข้าไปสวามิภัักดิ์กับข้าศึก
แต่อันที่จริงแล้ว จูล่งหวนกลับไปในสนามรบเพื่อตามหาลูกเมียของพระเจ้าเล่าปี่ที่สูญหาย และในที่สุดก็ได้พบกับกำฮูหยินภรรยาคนที่หนึ่งของพระเจ้าเล่าปี่จึงช่วยเหลือคุ้มกันนำไปส่งให้เตียวหุย น้องร่วมสาบานของเล่าปี่ ก่อนจะย้อนกลับไปสู่สมรภูมิอีกครั้งเพื่อตามหาบิฮูหยินและอาเต๊า หลังจากตระเวนหา จูล่งได้พบบิฮูหยินนั่งอุ้มอาเต๊าอยู่ จึงพยายามจะช่วยพาทั้งคู่ฝ่าวงล้อมศัตรูออกไป แต่บิฮูหยินที่กำลังบาดเจ็บไม่อยากเป็นภาระให้จูล่ง จึงตัดสินใจวางอาเต๊าลง แล้วกระโจนลงบ่อฆ่าตัวตายไป
ทำให้ชายชาติทหารอย่างจูล่งกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ แต่จะละล้าละลังก็ไม่ได้ เพราะเสียงข้าศึกใกล้ เข้ามาทุกที ได้แต่กลบปากบ่อเพื่อไม่ให้ใครมาเอาศพนายหญิงไปได้ ว่าแล้วก็ซ่อนอาเต๊าไว้ในเสื้อเกราะ บุกทะยานออกไป จูล่งทำการครั้งนี้เพียงคนเดียว ท่ามกลางทหารและองครักษ์มากมายของโจโฉที่ยกทัพลงทางใต้หวังรวบรวมแผ่นดิน และได้ฆ่าทหารเอกและทหารเลว ของโจโฉมากมาย ไม่ว่าลุยไปถึงไหน ทหารของโจโฉก็แตกพ่ายเป็นวง ทำเอาโจโฉที่มองลงมาจากที่สูงยังต้องทึ่งในความสามารถ และเอ่ยปากถามจูล่งด้วยตัวเองว่า "เจ้าชื่อแซ่อะไร" ก่อนจะสั่งการลงไปไม่ให้ใช้เกาทัณฑ์(ลูกธนู) และต้องการจับเป็นจูล่งให้ได้ เนื่องจากชื่นชมในความสามารถ แต่จูล่งก็สามารถตีฝ่าออกไปจนส่งคืนอาเต๊าให้พระเจ้าเล่าปี่ได้สำเร็จ นับเป็นวีรกรรมหาญกล้าที่ได้รับคำชื่นชมทั้งจากพวกเดียวกันเองและศัตรู (ใช้เวลาในการทำการนี้เป็นเวลาตั้งแต่ ตั้งแต่ 03.00 น. จนถึง 15.00 น)
พอหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น จูล่งยังสร้างผลงานอันดีเยี่ยมอีกตลอดระยะเวลาของการทำศึก จนได้รับความไว้วางใจให้เป็น 1 ใน 5 ยอดขุนพลของพระเจ้าเล่าปี่ และจูล่งก็ไม่ทำให้เจ้านายผิดหวัง เพราะไม่ว่าจะไปรบที่ไหน ก็ไม่เคยแพ้ ใครกลับมา กระทั่งเมื่อพระเจ้าเล่าปี่จะสิ้นพระชนม์ ตอนที่พระเจ้าเล่าปี่ใกล้จะสิ้นใจ ได้เรียกขงเบ้งและเรียกจูล่งเข้าพบ ทรงตรัสด้วยคำพูดว่า " ท่านกับเรานั้นต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมา แต่มาบัดนี้ ชะตากรรมกำลังพรากเราสอง ขอให้ท่านนึกถึงน้ำใจเก่าก่อนช่วยเหลือบุตรเราและท่านขงเบ้ง ฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่นอัญเชิญราชวงศ์ฮั่นกลับสู่ราชธานีลกเอี๋ยงด้วย" พออาเต๊าได้รับตำแหน่งขึ้นเป็นพระเจ้าเล่าเสี้ยนต่อจากพระเจ้าเล่าปี่แล้ว จูล่งก็ยังทำหน้าที่เป็นขุนศึกอย่างแข็งขัน แม้จะย่างเข้าสู่วัยชราแล้ว
และหลังจากที่พระเจ้าเล่าปี่เสียชีวิตลง จูล่งก็เป็นทหารสังกัดของขงเบ้ง เมื่อยามศึกยังสู้แม้ตัวเองแก่แล้ว มีครั้งหนึ่ง ก่อนรบศึกกับฝ่ายวุยก็ก ช่วงนั้นขงเบ้งเลือกทหารให้ไปรบ แต่กลับไม่เลือกจูล่ง เพราะขงเบ้งว่าจูล่งแก่แล้ว แต่จูล่งกลับแย้งขี้นมาว่าจะไปรบด้วย
จูล่งได้เสียชีวิตลงอย่างสงบด้วยวัยชราในเมืองฮั่นจง เมื่อปี พ.ศ. 772 หลังจากที่จูล่งตาย ขงเบ้งได้รำพันออกมาว่า "แขนซ้ายข้าขาดแล้ว" และเป็นลมสิ้นสติไปด้วยความเสียใจ
ในปัจฉิมบทของสามก๊ก แทบจะหาคนที่จากไปอย่างสงบไม่ได้ กวนอูเป็นหนึ่งในสามพี่น้องของเล่าปี่ที่ลับล่วงไปก่อนคนแรก หลังจากการถูกข้าศึกจับและตามมาด้วยคำสั่งประหาร ส่วนเตียวหุยผู้มุทะลุ ซึ่งพยายามแก้แค้นแทนก็ถูกลอบสังหารเสียก่อนที่ภารกิจจะลุล่วง ในขณะที่พระเจ้าเล่าปี่เองซึ่งจัดทัพเตรียมล้างแค้นครั้งใหญ่(ล้างแค้นให้กวนอูและเตียวหุย) ก็ไม่สามารถทำได้ดั่งใจหวัง มิหนำซ้ำยังพากองทัพไปล้มตายจำนวนมาก จนต้องตรอมใจเป็นไข้สิ้นพระชนม์ ส่วนคนอื่นๆในสามก๊ก ส่วนใหญ่ถ้าไม่ตายเพราะการรบก็เป็นเพราะผลต่อเนื่องของการศึก มีเพียงจูล่งผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ วีรบุรุษผู้นี้อยู่ มาจนแก่ ช่วยเหลือพระเจ้าเล่าเสี้ยนอย่างสุดความสามารถ และสิ้นใจอย่างสงบด้วยโรคชรา เรียกได้ว่ามาดี ไปดี มีชัยเหนือใครในใต้หล้า
ซึ่งตัวละครที่ชื่อ "จูล่ง" มักเป็นตัวละครที่ผู้อ่านสามก๊กชาวไทยมักจะตอบว่า ชอบที่สุดในบรรดาตัวละครทั้งหมดในเรื่อง เนื่องจากเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ ทำการโดยไม่เห็นแก่ลาภยศ
***ถ้าโพส ซ้ำ ก็ขออภัยด้วยคร้าบบ
สวัสดี
ชาวโพสจังทุกคนนะครับ
ผมมือใหม่หัดโพส ยังไงก็ฝากผลงานด้วย...ครับผม





APC M113 รถเกราะ 60 ปี ลุยสมรภูมิช่องอานม้า เสริม "เกราะไม้" กันจรวดสุดแกร่ง
สอยอีกหนึ่ง นายพลเขมรร่วง อีกราย
การกินต้นหอมเป็นประจำ มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง?
เจาะสถิติสลากกินแบ่งรัฐบาล ย้อนหลัง 10 ปี (งวด 2 มกราคม)
มิตรภาพใต้สมุทร เมื่อ "วาฬเพชฌฆาต" จับมือ "โลมา" ร่วมทีมล่าล่าเหยื่อ
BBC ยกให้ "กรุงพนมเปญ" ติด TOP20..ปลายทางที่ดีที่สุดในโลก
อาเซียนเนื้อหอม! เจาะเหตุผลทำไม บังกลาเทศ-ปาปัวนิวกินี-ฟิจิ อยากเข้าใกล้ครอบครัวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
วิมานบนดินที่ไร้เงาเจ้าของ เจาะปมคฤหาสน์ลอยฟ้า 658 ล้านที่กลายเป็นเพียงอนุสรณ์แห่งความล้มเหลว
ไทยซื้อระบบป้องกันทางอากาศใหม่ !
ช่องอานม้าแตก! ทหารไทยรุกยึดบังเกอร์ ปักธงชาติคืนพื้นที่