หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ประวัติครูดนตรีไทย

Share แชร์โพสท์โดย บุญเติม

http://cdans.bpi.ac.th/thaimusic/image/thumbnails/1.jpg

ครูมนตรี   ตราโมท


อาจารย์มนตรี  ตราโมท  เดิมชื่อ  บุญธรรม  ตราโมท  เกิดวันที่  17  มิถุนายน  พ.ศ.  2443  ที่บ้านท่าพี่เลี้ยง   อำเภอเมือง  จังหวัดสุพรรณบุรี  เป็นบุตรนายยิ้ม  และนางทองอยู่  เมื่อ  พ.ศ.  2475  สมรสกับนางสาวลิ้นจี่  (บุรานนท์)  มีบุตรที่ยังมีชีวิตอยู่  2  คน  คือ  นายฤทธี  และนายศิลปี  ต่อมาเมื่อนางลิ้นจี่  ถึงแก่กรรมจึงแต่งงานกับนางสาวพูนทรัพย์  (นาฏประเสริฐ)  มีบุตร  2  คน  คือ  นางสาวดนตรี  และนายญาณี 
                ความสามารถและผลงาน
                อาจารย์มนตรี  ตราโมท  เริ่มการศึกษา   โดยเข้าเรียนที่โรงเรียนประจำจังหวัดสุพรรณบุรี  (ปรีชาพิทยากร)  สอบได้ชั้นมัธยมศึกษาปีที่  3 ภายหลังไปเรียนต่อที่โรงเรียนพรานหลวง  ในพระบรมราชูปถัมภ์  จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่  6
                อาจารย์มนตรี  สนใจดนตรีมาตั้งแต่เด็ก  เนื่องจากบ้านอยู่ใกล้วัดสุวรรณภูมิ  ซึ่งที่วัดนี้มีวงปี่พาทย์และมีการฝึกซ้อมอยู่เสมอ  จึงได้ยินเสียงเพลงจากวงปี่พาทย์อยู่เป็นประจำ   จนในที่สุดได้รู้จักกับนักดนตรีในวงและขอเข้าไปเล่นด้วย  เมื่อมีการบรรเลงก็มักจะไปช่วยตีฆ้องเล็กหรือทุ้มเหล็กด้วยเสมอ 
                เมื่อจบมัธยมศึกษาปีที่  3  อาจารย์มนตรีตั้งใจจะมาเรียนต่อในกรุงเทพฯ  แต่บังเอญเจ็บกระเสาะกระแสะเรื่อยมา  จึงไม่ได้เรียนต่อ  ครูสมบุญ  นักฆ้องซึ่งเป็นครูปี่พาทย์ประจำวงที่วัดสุวรรณภูมิ  ชวนให้มาหัดปี่พาทย์  จึงได้เริ่มเรียนอย่างจริงจังตั้งแต่นั้นมาประมาณ  2  ปี  และได้เป็นนักดนตรีประจำวงปี่พาทย์  จังหวัดสุพรรณบุรี 
                ต่อมา  ได้ไปศึกษาเพิ่มเติมด้านปี่พาทย์ที่จังหวัดสมุทรสาคร  ราว  พ.ศ.  2456  ที่บ้านครูสมบุญ  สมสุวรรณ  ที่บ้านนี้มีวงปี่พาทย์และแตรวง  อาจารย์มนตรีจึงได้ฝึกทั้ง  2  อย่างคือ ด้านปี่พาทย์  ฝึกระนาดเอกและฆ้องวงใหญ่  ด้านแตรวง  ฝึกเป่าคลาริเน็ต  นอกจากนี้ครูสมบุญยังได้แนะวิธีแต่งเพลงให้ด้วย
                ในปี   พ.ศ.  2460 อาจารย์มนตรี  ได้เข้ามาสมัครรับราชการในกรมพิณพาทย์หลวง  ซึ่งมีพระยาประสานดุริยศัพท์  (แปลก  ประสานศัพท์)  เป็นเจ้ากรม  ขณะที่ทำงานอยู่ก็ได้เรียนโรงเรียนพรานหลวงด้วยจนจบมัธยมศึกษาปีที่  6 
                อาจารย์มนตรี  ได้รับเลือกเป็นนักดนตรีประจำวงข้าหลวงเดิม  เป็นวงที่จะต้องตามเสด็จทุกๆแห่ง  โดยพระยาประสานดุริยศัพท์จะเป็นผู้ควบคุมทุกครั้ง  อาจารย์มนตรี  เริ่มแต่งเพลงเมื่ออายุ  20  ปี  เพลงแรกที่แต่ง  คือ  เพลงต้อยติ่ง  3  ชั้น เมื่อ  พ.ศ.  2467  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประชวน  แพทย์ถวายการแนะนำให้ทรงฟังนิทานหรือดนตรีเบา  ประกอบกับเสวยพระโอสถ  กรมมหรสพจึงจัดวงเครื่องสายเบาๆ บรรเลงถวาย  วงเครื่องสายนี้ได้เพิ่มขิมขึ้น  อาจารย์มนตรีได้รับหน้าที่เป็นผู้ตีขิม  ในวังหลวงเป็นคนแรก  บรรเลงถวายทุกวันจนพระอาการหายเป็นปกติ

http://cdans.bpi.ac.th/thaimusic/image/thumbnails/2.jpg

หลวงประดิษฐ์ไพเราะ(ศร ศิลปบรรเลง)

หลวง ประดิษฐ์ไพเราะ นามเดิม (ศร ศิลปบรรเลง) เป็นที่รู้จักกันในวงการดนตรีว่า "ครูจางวางศร" เป็นบุตรคนสุดท้องของ ครูสิน ศิลปบรรเลง ครูปี่พาทย์ที่มีชื่อเสียงของ สมุทรสงคราม เป็นศิษย์เอกหนึ่งในสองคนของพระประดิษฐ์ไพเราะ (มี ดุริยางกูร) เมื่อยังอยู่ในวัยเยาว์มีชื่อเสียงในการตีระนาดเอกได้เคยแสดงฝีมือในงานของ เจ้านายหลายครั้งและเคยได้รับรางวัลจากสมเด็จกรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ จางวางศร (รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ในรัชกาลที่ ๖ )ได้ปฏิบัติหน้าที่สนองพระกรุณาด้วยความจงรักภักดีอย่างสุดความสามารถ ได้ปรับปรุงเพลงไทยเดิมต่างๆ เช่นเพลง ๒ ชั้น ปรับปรุงเป็นเพลงเถาหลายสิบเพลง จางวางศร มีความเห็นว่าเพลงไทยจะมีวิวัฒนาการได้นั้น ต้องมีการประดิษฐ์เพลงให้มีเพิ่มขึ้นโดยรักษาหลักเดิม และใช้ศิลปะในการประดิษฐ์ให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป ตลอดชีวิตของท่านจึงมีการประดิษฐ์เพลงใหม่ขึ้นอีกหลากหลาย

http://cdans.bpi.ac.th/thaimusic/image/thumbnails/3.jpg

พระยาประสานดุริยศัพท์(แปลก ประสานศัพท์)

พระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) เป็นบุตรคนโตของขุนกนกเรขา (ทองดี)กับนางนิ่ม เกิดเมื่อ
วันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2403 ตรงกับวันอังคาร ณ บ้านเลขที่ 81 ตรอกไข่ ถนนบำรุงเมือง ตำบลหลังวัดเทพธิดากรุงเทพมหานคร
       ท่านได้เรียนปี่ชวากับครูชื่อ หนูดำส่วนวิชาดนตรีปี่พาทย์อย่างอื่น ได้ศึกษาอย่างจริงจังกับครูช้อย สุนทรวาทิน (บิดา) จนบรรลุแตกฉาน ท่านเข้ารับราชการ ตั้งแต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระยศเป็นพระยุพราช ได้ทูลขอพระราชทานบรรดาศักดิ์จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวให้ นายแปลกเป็นที่ขุนประสานดุริยศัพท์"นับจากนั้นก็ได้รับพระราชทานเลื่อน บรรดาศักดิ์มาเป็นลำดับ จนได้เป็นที่ พระยาประสานดุริยศัพท์เจ้ากรมปี่พาทย์หลวง ในสมัยรัชกาลที่ ความรู้ความสามารถของพระยาประสานดุริยศัพท์นั้น เป็นที่กล่าวขวัญเรื่องลือว่า ท่านเป็นผู้ที่ถึงพร้อมด้วยฝีมือ ความรู้ ปฏิภาณ ไหวพริบ ท่านเป็นครู และเป็นศิลปินที่หาได้ยากยิ่ง เมื่อปี พ.ศ.2428 ท่านได้รับเลือกให้ไปร่วมฉลองครบรอบร้อยป ีของพิพิธภัณฑ์เมืองอวิมปลีย์ที่ประเทศอังกฤษผลของการบรรเลงขลุ่ยของท่าน เป็นที่พอพระราชหฤทัยของสมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรียเป็นอย่างยิ่ง

ถึง กับรับสั่งขอฟังเพลงขลุ่ยเป็นการส่วนพระองค์ในพระราชวังบัคกิ้งแฮมอีกครั้ง การบรรเลงครั้งหลังนี้สมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียทรงลุกจากที่ประทับ

และใช้พระหัตถ์ลูบคอพระยาประสานฯพร้อมทั้งรับสั่งถามว่า เวลาเป่านั้นหายใจบ้างหรือไม่ เพราะเสียงขลุ่ยดังกังวานอยู่ตลอดเวลา

พระยาประสานดุริยศัพท์ได้แต่งเพลงไว้ดังนี้คือ เพลงเชิดจั่น 3 ชั้น พม่าหัวท่อน เขมรราชบุรี เขมรปากท่อ เขมรใหญ่ ถอนสมอ ทองย่อน เทพรัญจวน แมลงภู่ทอง สามไม้ใน อาถรรณ์ พราหมณ์เข้าโบสถ์ ธรณีร้องไห้ มอญร้องไห้ เป็นต้น
ความสามารถทางดนตรีของท่านนั้น ทำให้ท่านมีลูกศิษย์ที่มีความสามารถเป็นทวีคูณขึ้นไป และศิษย์ของท่านเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปคือพระประดับดุริยกิจ (แหยม วิณิณ) พระเพลงไพเราะ (โสม สุวาทิต) หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) หลวงบรรเลงเลิศเลอ (กร กรวาทิน) พระยาภูมิเสวิน (จิตร จิตตเสรี) อาจารย์มนตรี ตราโมท ครูเฉลิม บัวทั่ง เป็นต้น
พระยาประสานดุริยศัพท์ ป่วยโดยโรคชรา และถึงแก่กรรมเมื่ออายุได้ 105 ปี ในปี พ.ศ. 2467

    

http://cdans.bpi.ac.th/thaimusic/image/thumbnails/4.jpg

หลวงไพเราะ เสียงซอ

หลวงไพเราะเสียงซอ เกิดเมื่อ พ.ศ. 2435 ที่ตำบลหน้าไม้ อำเภอเสนา จังหวัดอยุธยา บิดาชื่อ พยอม มารดาชื่อเทียม
         ท่านเริ่มศึกษาวิชาดนตรี โดยเรียนสีซอด้วงจากบิดา ต่อมาท่านเข้าถวายตัวเป็นมหาดเล็ก ในสมเด็จพระบรมโอสารธิราชฯ รับราชการในกองดนตรีเมื่อ พ.ศ. 2448 ครั้นสมเด็จพระบรมฯ เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มหาดเล็กทั้งปวงซึ่งเป็นข้าหลวงเดิม ก็ปรับตำแหน่งหน้าที่ราชการเข้าเป็นทำเนียบมหาดเล็กประจำ ท่านจึงได้รับยศเป็นมหาดเล็กวิเสส ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแปรพระราชฐาน จะต้องมีวงดนตรีตามเสด็จ จนได้รับพระราชทานยศเป็น รองหุ้มแพรมีบรรดาศักดิ์เป็นที่ ขุนดนตรีบรรเลงและในวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2460 ท่านก็ได้รับเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นที่ หลวงไพเราะเสียงซอ    ในสมัยรัชกาลที่ 6 นั้น หลวงไพเราะเสียงซอได้สอนวงดนตรีเครื่องสายของ สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจี พระวรราชเทวี วงพระสุจริตสุดา และวงพระยาอนิสุทธาทวา เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ 7 ท่านได้ถวายการสอน เจ้านายในวงเครื่องสาย ซึ่งประกอบด้วย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี กรมหมื่นอนุพงศ์จักรพรรดิ์ กรมหมื่นอนุวัตรจาตุรนต์

มจ. ถาวรมงคล และมจ.แววจักร จักรพันธ์ นอกจากนั้นยังได้ถวายการสอนให้กับ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคล และข้าหลวงในวังอีกด้วย   ต่อมากรมศิลปากรได้เชิญท่านให้สอนประจำที่วิทยาลัยนาฎศิลป์และสุดท้ายท่าน ยังได้สอน

และปรับปรุงวงดนตรีไทยของสโมสรนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อีกแห่งหนึ่ง จนทำให้วงดนตรีไทยของธรรมศาสตร์ เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในเวลาต่อมา
หลวงไพเราะเสียงซอ ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2518 ณ โรงพยาบาลศิริราช รวมอายุได้ 84

http://cdans.bpi.ac.th/thaimusic/image/thumbnails/5.jpg

พระประดิษฐ์ไพเราะ(มี ดุริยางกูร)

พระ ประดิษฐไพเราะนามเดิมมีดุริยางกูรเกิดตอนปลายรัชกาลที่1แห่งพระราชวงศ์จักรี ท่านเป็นครูดนตรีมาตั้งแต่ปลายสมัยรัชกาล   พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 จนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 นั้น ครูมีแขกได้เป็นครูปี่พาทย์ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นที่ หลวงประดิษฐไพเราะ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายนพ.ศ.2396 ตำแหน่งปลัดจางวางมหาดเล็กว่าราชการกรมปี่พาทย์ ฝ่ายพระบวรราชวัง ในปีเดียวกันนั้นเองท่านได้แต่งเพลงเชิดจีน แล้วนำขึ้นทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด้จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นที่สมพระราช หฤทัยเป็นอย่างยิ่งจึงโปรดให้เลื่อนบรรดาศักดิ์จากหลวงเป็นพระประดิษฐไพเราะ (มี ดุริยางกูร) ได้รับสมญาว่าเป็นเจ้าแห่งเพลงทยอย เพราะผลงานเพลงลูกล้อลูกขัด เช่น ทยอยนอก ทยอยเขมร ล้วนเป็นผลงานของท่านทั้งนั้น
          ผลงานของพระประดิษฐไพเราะ (ครูมีแขก) เท่าที่รวบรวมและปรากฎไว้ มีดังนี้ โหมโรงขวัญเมือง การะเวกเล้ก สามชั้น กำสรวลสุรางค์ สามชั้น แขกบรรทศ สามชั้น แขกมอญ สามชั้น แขกมอญบางช้าง สามชั้น ทะแย สามชั้น สารถี สามชั้น พญาโศก สามชั้น และสองชั้น พระอาทิตย์ชิงดวง สองชั้น จีนขิมใหญ่ สองชั้น เชิดจีน ทยอยนอก ทยอยเดี่ยว ทยอยเขมร   หกบท สามชั้น อาเฮีย สามชั้นท่านถึงแก่กรรม ประมาณรัชกาลที่ 5

         

http://cdans.bpi.ac.th/thaimusic/image/thumbnails/6.jpg

พระยาเสนาะดุริยางค

พระยา เสนาะดุริยางค์ เป็นบุตรคนโตของครูช้อย และนางไผ่ สุนทรวาทิน ได้ฝึกฝนวิชาดนตรี จากครูช้อย ผู้เป็นบิดา จนมีความแตกฉาน ต่อมาเจ้าพระยาเทเวศน์วงศ์วิวัฒน์ (ม.ร.ว. หลาน กุญชร) ได้ขอตัวมาเป็นนักดนตรีในวงปี่พาทย์ของท่าน ท่านเข้ารับราชการ เมื่อ พ.ศ. 2422 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น ขุนเสนาะดุริยางค์ในปี พ.ศ. 2446 ตำแหน่งเจ้ากรมพิณพาทย์หลวงจึงโปรดให้เลื่อนเป็นหลวงเสนาะดุริยางค์ในปีพ. ศ.2453ในตำแหน่งเดิมจนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้เลื่อนเป็น พระเสนาะดุริยางค์รับราชการในกรมมหรสพหลวง และได้รับพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา ด้วยความซื่อสัตย์ และมีความจงรักภักดี ท่านจึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาเสนาะดุริยางค์ในปี พ.ศ. 2468
          ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านได้รับมอบหมายให้ควบคุมวงพิณพาทย์ของเจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (ม.ร.ว. ปุ้ม มาลากุล) เสนาบดีกระทรวงวัง วงพิณพาทย์วงนี้ นับได้ว่าเป็นการรวบรวมผู้มีฝีมือ ซึ่งต่อมาได้เป็นครูผู้ใหญ่ เป็นที่รู้จักนับถือโดยทั่วไป เช่น ครูเทียม คงลายทอง  ครูพริ้ง ดนตรีรส ครูสอน วงฆ้อง ครูมิ ทรัพย์เย็น ครูแสวง โสภา ครูผิว ใบไม ้ครูทรัพย ์นุตสถิตย ์ครูอรุณ กอนกุล ครูเชื้อ นักร้อง และครูทองสุข คำศิริพระยาเสนาะดุริยางค ์ ถึงแก่อนิจกรรมในปี พ.ศ. 2492 เมื่อมีอายุได้ 83 ปี

http://cdans.bpi.ac.th/thaimusic/image/thumbnails/7.jpg

ครูเฉลิม  บัวทั่ง

ครูเฉลิม  บัวทั่ง เป็นบุตรของนายปั้น และนางถนอม บัวทั่ง เกิดเมื่อวันจันทร์ เดือน 9 แรม 9 ค่ำปีจอ  วันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2453

         

ครู เฉลิม  บัวทั่ง ได้ชื่อว่าเป็นคนระนาดเอกฝีมือดีเยี่ยมคนหนึ่ง ครูได้รับเสนอชื่อให้ได้รับพระราชทานโล่เกียรติยศจาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช   ในฐานะนักดนตรีไทยตัวอย่าง   ซึ่งมีนักดนตรีไทยที่ได้รับพระราชทานโล่ครั้งนี้ เพียง 4 คน คือ อาจารย์มนตรี ตราโมท ครูเฉลิมบัวทั่ง คุณหญิงไพฑูรย์ กิตติวรรณ และครูบุญยงค์เกตุคง

         

ผล งานการแต่งเพลงของครูมีมากมาย เช่น โหมโรงสรรเสริญพระจอมเกล้า โหมโรงพิมานมาศ โหมโรงมหาปิยะ โหมโรงรามาธิบดี ลาวลำปางใหญ่เถา ลาวลำปางเล็กเถา ลาวกระแซะเถา ลาวครวญเถา ดอกไม้เหนือเถา เคียงมอญรำดาบเถา เขมรใหญ่เถา ลาวสอดแหวนเถา ประพาสเภตราเถา

       

นอก จากนั้น ในปี พ.ศ. 2525 ครูได้แต่งเพลงเข้าประกวดรางวัลพินทองของธนาคารกสิกรไทย  ชื่อเพลง ปิ่นนคเรศเถา ได้รับบรางวัลชนะเลิศอีกด้วย

         

ในปี พ.ศ. 2529 ครูได้รับเชิดชูเกียรติ เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทย)

         

ครูเสียชีวิตด้วยโรงมะเร็งในปอด เมื่อ 11 มิถุนายน 2530 รวมอายุได้ 77 ปี

http://cdans.bpi.ac.th/thaimusic/image/thumbnails/8.jpg

ครูช้อย สุนทรวาทิน

ครู ช้อย สุนทรวาทิน เป็นครูปี่พาทย์ที่มีชื่อเสียงในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นบุตรนายทั่ง สุนทรวาทิน นักดนตรีปี่พาทย์ที่สามารถผู้หนึ่งในสมัยนั้นและมีวงปี่พาทย์เป็นของตนเอง ครูช้อยแต่งงานกับนางสาวไผ่ ตั้งบ้างเรือนเป็นหลักฐานอยู่ที่ตำบลสวนมะลิ ในกรุงเทพมหานคร มีบุตรธิดา 4 คน คือ แช่ม ชื่น ชมและผิว ครูช้อยถึงแก่กรรมราวปลายสมัยรัชกาลที่ 5

ครู ช้อยมีความสามารถทางดนตรีเป็นที่อัศจรรย์นัก เนื่องจากตาบอดเมื่อครั้งเป็นไข้ทรพิษตั้งแต่ยังเล็ก ทั้งที่ยังมิได้ร่ำเรียนกับบิดาอย่างจริงจัง วันหนึ่งคนตีระนาดเอกของวงไม่สบาย ทำให้วงขาดมือระนาดเอก ครูช้อยก็สามารถเป็นคนระนาดนำวงบรรเลงสวดมนต์เย็นฉันเช้าได้ด้วยดีโดยไม่ผิด พลาดบกพร่อง เป็นเหตุให้ท่านบิดาเห็นสำคัญจนทุ่มเทถ่ายทอดวิชาให้ต่อมา เพื่อจะได้เป็นวิชาชีพเลี้ยงตัวต่อไปในภายภาคหน้า

ครู ช้อย เป็นครูดนตรีที่มีลูกศิษย์จำนวนมาก ลูกศิษย์บางคนก็กลายเป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียง และมีความสำคัญต่อวงการดนตรีมาก เช่น พระยาประสานดุริยศัพท์ ( แปลก ประสานศัพท์ ) เจ้ากรมปี่พาทย์หลวงในรัชกาลที่ 6 พระยาเสนาะดุริยางค์ ( แช่ม สุนทรวาทิน ) บุตรชายของครูช้อยก็ได้เป็นผู้ช่วยปลัดกรมปี่พาทย์หลวงในรัชกาลที่ 6 นอกจากนี้ก็มี พระประดิบดุริยกิจ ( แหยม วิณิน ) และหลวงบรรเลงเลิศเลอ ( กร กรวาทิน ) และ ลูกศิษย์ตั้งแต่ครั้งอยู่วัดน้อยทองอยู่ ก็ได้เป็นถึงปลัดกรมปี่พาทย์หลวง และนักดนตรีอีกหลายคนของกรมปี่พาทย์หลวงในรัชกาลที่ 6 ก็เป็นลูกศิษย์ของครูช้อยด้วย นอกจากนี้ครูช้อยยังได้รับเชิญเป็นครูดนตรีตามวังเจ้านาย และบ้านของท่านผู้ใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 5 อีกด้วย

ครู ช้อยได้แต่งเพลงที่ล้วนมีทำนองดีเด่นหลายเพลง เช่น เพลงครอบจักรวาล และม้ายองสามชั้น แขกลพบุรีสามชั้น เขมรปี่แก้วสามชั้น ( ทางธรรมดา ) เขมรโพธิสัตว์ โหมโรงมะลิเลื้อย พราหมณ์เข้าโบสถ์ ใบ้คลั่งสามชั้น เพลงอกทะเลสามชั้น ฯลฯ

http://cdans.bpi.ac.th/thaimusic/image/thumbnails/9.jpg

ครูบุญยง เกตุคง

เกิด เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2463 เป็นบุตรนายเที่ยงกับนางเขียน ชาวกรุงเทพมหานคร(ฝั่งธนบุรี) ภรรยาชื่อ พายัพ มีบุตรี 1 คน มีน้องชายชื่อนายบุญยัง เกตุคง เป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียง

นาย บุญยงค์ เกตุคง เริ่มเรียนดนตรีกับครูทองหล่อ(ละม้าย) มีขันทอง ต่อมาได้เรียนและต่อเพลงกับครูดนตรีที่มีชื่อเสียงอีกหลายท่าน เช่น ครูหรั่ง พุ่มทองสุข ครูชื้น ดุริยประณีต ครูชั้น ดุริยประณีต ครูเพชร จรรย์นาฏ ครูเทวาประสิทธิ์ พาทยโกศล หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) และครูพุ่ม ปาปุยวาทย์ รับราชการเป็นนักดนตรีประจำวงกรมประชาสัมพันธ์ ต่อมาประจำสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 บางขุนพรหม แล้วย้ายไปสังกัดกรุงเทพมหานคร และได้เป็นหัวหน้าวงดนตรีไทยกรุงเทพมหานครจนเกษียณอายุ นายบุญยงค์ เกตุคงเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญในทางดนตรีอย่างยิ่ง บรรเลงปี่พาทย์ได้ทุกชนิด โดยเฉพาะระนาดเอกซึ่งได้รับการยกย่องเป็นพิเศษ ร่วมบรรเลงกับวงดนตรีต่างๆ เช่นวงนายทองใบ รุ่งเรือง วงดุริยประณีต วงพาทยโกศล วงนายเพชร จรรย์นาฏ ร่วมมือกับนายบุญยัง และนายบุญสม มีสมวงศ์(พรภิรมย์) จัดตั้งคณะลิเกใช้ชื่อคณะว่า เกตุคงดำรงศิลป์ ได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดลิเกทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อพ.ศ. 2500 ศิษย์ ที่มีชื่อเสียงคือ บรูซ แกสตัน( Bruce Gaston) ซึ่งเป็นนักดนตรีชาวอเมริกัน ได้ร่วมมือกันก่อตั้ง วงฟองน้ำ ขึ้นและจัดทำเพลงชุดต่างๆโดยใช้เครื่องดนตรีไทยผสมเครื่องอื่นๆ

นาย บุญยงค์ เกตุคง ได้แต่งเพลงไว้จำนวนมาก เช่น โหมโรงแว่นเทียนชัย โหมโรงจุฬามณี โหมโรงสามสถาบัน เพลงเทพชาตรี เถา เพลงสร้อยลำปาง เถา เพลงวัฒนาเวียตนาม เถา เพลงชเวดากอง เถา เพลงสยามานุสสติ เถา เพลงนกกระจอกทอง เถา เพลงขอมกล่อมลูก เถา เพลงเดือนหงายกลางป่า เถา และ เพลงตระนาฏราช

นาย บุญยงค์ เกตุคง ได้รับพระราชทานโล่ห์ เกีรยติยศจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะนักดนตรีไทยตัวอย่าง เมื่อพ.ศ.2524 ได้รับยกย่องเชิดชูเกียรติเป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปการแสดง (ดนตรีไทย) ประจำปีพ.ศ.2531 และเป็นภาคีสมาชิกประเภทวิจิตรศิลป์ สำนักศิลปกรรม ราชบัณฑิตยสถาน

http://cdans.bpi.ac.th/thaimusic/image/thumbnails/10.jpg

ครูเลื่อน สุนทรวาทิน

ครู เลื่อน นับเป็นปูชนียบุคคลสำคัญของนักศึกษาและครูอาจารย์ในภาควิชาดนตรี บ้านสมเด็จฯ ท่านอุทิศกำลังกายกำลังใจในการสั่งสอนวิชาดนตรีไทยแก่ศิษย์บ้านสมเด็จอย่าง ไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ครูเลื่อนเป็นธิดาคนที่ 2 ของพระยาเสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน) และคุณหญิงเสนาะดุริยางค์ (เรือน) เกิดเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2453 มีพี่สาวชื่อเลียบ และน้องสาวชื่อเจริญ (อาจารย์เจริญใจ สุนทรวาทิน) บ้านเดิมอยู่บริเวณสระน้ำวิทยาครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ปัจจุบันได้ย้ายไปอยู่ในซอยวัดประดิษฐารามหรือวัดมอญ ครูเลื่อนสมรสกับนายมิ่ง ผลาสินธุ์ มีบุตร 5 คน

ด้านการศึกษา ครูจบชั้นมัธยมปีที่ 6 จากโรงเรียนศึกษานารี และเรียนดนตรีกับบิดาที่บ้านโดยเริ่มจากการฝึกซออู้ ขลุ่ย จะเข้

พ. ศ.2503 ครูเลื่อนได้สอบบรรจุเป็นข้าราชการครู และได้รับการบรรจุที่โรงเรียนศรีอินทราทิตย์ จังหวัดสุโขทัย อยู่ที่นั่น 5 ปีก็ย้ายไปอยู่โรงเรียนบ้านสวน จังหวัดเดียวกัน และสุดท้ายย้ายไปประจำที่โรงเรียนหร่ำวิทยานุกูล จังหวัดปราจีนบุรี อยู่ที่นี่จนเกษียณอายุราชการ

พ. ศ.2526 วิทยาลัยครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ได้เชิญครูมาเป็นอาจารย์พิเศษฝ่ายขับร้องไทย สอนนักศึกษาดนตรีไทย ประจำภาควิชาดนตรีจนถึงปัจจุบัน

http://cdans.bpi.ac.th/thaimusic/image/thumbnails/11.jpg

พระเพลงไพเราะ(โสม สุวาทิต)

ครู โสม เกิดที่ฝั่งธนบุรี เริ่มเรียนระนาดลิเกจากน้าชาย จากนั้นได้เข้าร่วมเป็นนักดนตรีในกองดนตรีของสมเด็จพระบรม (รัชกาลที่ 6) เป็นคนตีระนาดหน้าฉากเวลาละครเปลี่ยนฉาก มีฝีมือในทางระนาดเป็นเยี่ยม ถึงขนาดเคยตีเอาชนะนายชิน ชาวอัพวา ซึ่งเป็นระนาดมือหนึ่งในสมัยนั้นมาแล้ว

นอกจากนั้นยังสามารถตีรับลิเกในเพลงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนได้ด้วย จนพระยาประสานดุริยศัพท์ชมว่า "โสมแกเก่งมาก ครูเองยังจนเลย"
ครั้งหนึ่งเคยได้ตีระนาดเพลงกราวในถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 เมื่อครั้งทรงพระประชวรให้บรรทม ครั้นตื่นพระบรรทมก็ทรงชมว่า "โสม เจ้ายังตีฝีมือไม่ตกเลย" นับว่าการตีปี่พาทย์ประกอบโขนละครในสมัยนั้น (รัชกาลที่ 5-7) ไม่มีใครสู้ครูโสมได้

ท่าน ได้บรรดาศักดิ์เป็นพระ เมื่อ พ.ศ.2460 และถึงแก่กรรมเพราะซ้อมระนาดหนักจนพักผ่อนไม่เพียงพอ และทานอาหารไม่เป็นเวลาจนเป็นโรคกระเพาะ รวมอายุได้ 49 ปี

http://cdans.bpi.ac.th/thaimusic/image/thumbnails/12.jpg

จางวางทั่ว พาทยโกศล

เกิด เมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ.2424 เป็นบุตร หลวงกัลยาณมิตราวาส (ทับ พาทยโกศล) กับนางแสง ชาวกรุงเทพมหานคร(ฝั่งธนบุรี) บิดาเป็นนักดนตรีมีชื่อเสียงและเจ้าของวงพาทยโกศล ส่วนมารดาเป็นผู้มีฝีมือในการดีดจะเข้และเป็นครูสอนดนตรีในราชสำนักรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

จางวาง ทั่ว พาทยโกศล เริ่มเรียนดนตรีกับบิดา มารดา และครูทองดี ชูสัตย์ ต่อมาเรียนระนาดและฆ้องวงกับครูรอด จนเชี่ยวชาญ และยังได้เรียนกับครูต่วน ครูทั่ง ครูช้อย สุนทรวาทิน และพระยาประสานดุริยศัพท์(แปลก ประสานศัพท์) เรียนวิธีเรียบเรียงเสียงประสานกับจอมพลเรือ สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ท่านเป็นผู้บรรเลงฆ้องวงเล็กประจำวงปี่พาทย์ฤาษีซึ่งเป็นวงปี่พาทย์พิเศษใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่โปรดให้บรรเลงหน้าพระที่นั่งอยู่ เสมอ ทรงคัดเลือกเฉพาะผู้มีฝีมือมาประจำวง ได้แก่พระยาประสานดุริยศัพท์(แปลก ประสานศัพท์)(ปี่) หลวงประดิษฐ์ไพเราะ(ศร ศิลปบรรเลง)(ระนาดเอก) นายโถ(ฆ้องวงใหญ่) จางวางทั่ว พาทยโกศล(ฆ้องวงเล็ก) นายเหลือ วัฒนวาทิน(ระนาดทุ้ม) และนายเนตร (กลองสองหน้า) นอกจากนั้นยังเป็นผู้ควบคุมวงปี่พาทย์ของพลงเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ และวงวังบางขุนพรหม เป็นครูดนตรีประจำกองแตรวงทหารเรือและทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ และท่านได้สือบทอดวงพาทยโกศล ต่อจากบิดา ศิษย์ที่มีชื่อเสียง เช่น นายช่อ สุนทรวาทิน จ่าโทฉัตร สุนทรวาทิน นายละม้าย พาทยโกศล นายเทวาประสิทธิ์ พาทยโกศล นายทรัพย์ เซ็นพานิช จ่าสิบเอกยรรยงค์ โปร่งน้ำใจ พันตรีหลวงประสานดุริยางค์ (สุทธิ์ ศรีชยา) ร้อยเอกนพ ศรีเพชรดี นายเฉลิม บัวทั่ง

จางวางทั่ว พาทยโกศล เป็นผู้ที่มีฝีมือในการบรรเลงเครื่องดนตรีได้ทุกชนิดทั้งปี่พาทย์ เครื่องสาย และยังขับร้องได้ดีอีกด้วย ได้แต่งเพลงไว้จำนวนมาก ประเภทเพลงตับ ประเภทเพลงเถา ประเภททางเดี่ยว และทำทางบรรเลงสำหรับวงโยธวาทิตอีกมาก นอกจากนั้นยังได้นำวงปี่พาทย์บรรเลงบันทึกแผ่นเสียงไว้เป็นจำนวนมาก

http://cdans.bpi.ac.th/thaimusic/image/thumbnails/13.jpg

สมเด็จพระปรเมนทรมหาประชาธิปก
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระ บาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๒๓ ได้รับพระราชทานพระนาม สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ต่อมาทรงได้รับการสถาปนาเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมารสืบแทนพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ซึ่งประชวรและเสด็จสวรรคตเมื่อทรงพระเยาว์

ครั้น สมเด็จพระปิยมหาราชเสด็จสรรคต ณ วันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๕๓ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติสืบราชสันตติวงศ์ ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะนั้นทรงมีพระชนมายุ ๓๑ พรรษา พระองค์ทรงครองราชย์ได้ ๑๕ พรรษา ก็ทรงพระประชวรโรคพระโลหิตเป็นพิษ เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๖๘ พระชนมายุ ๔๕ พรรษา ทรงมีพระราชธิดาองค์เดียวคือ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอเจ้าฟ้าเพชรรัตน์ราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ประสูติก่อนพระองค์เสด็จสวรรคต เพียง ๒ ชั่วโมง

พระองค์ ทรงพระราชนิพนธ์เพลงไทย 3 เพลงด้วยกัน คือ เพลงคลื่นกระทบฝั่ง เพลงเขมรละออองค์(เถา) เพลงราตรีประดับดาว(เถา)  และพระองค์ยังทรงบรรเลงดนตรีไทยได้ดีเลิศ

ผู้ ที่ถวายคำแนะนำเรื่องทฤษฎีและปฏิบัติดนตรีไทยแด่พระองค์ท่าน คือหลวงประดิษฐ์ไพเราะ”(ศร ศิลปบรรเลง) ซึ่งพระองค์พระองค์เองก็ทรงมีความสามารถมาก ครั้งแรกทรงหัดซออู้ก่อน ไม่นานนักก็ทรงพระปรีชาสามารถพระราชทานคำแนะนำเรื่องการสีซอด้วงแก่สมเด็จ พระบรมราชีนีได้ ทั้งๆที่ทางซออู้กับซอด้วงบรรเลงคนละวิธีกัน พระองค์ศึกษาอยู่ไม่นานนัก ก็ทรงพระราชนิพนธ์เพลงได้ดีดังกล่าวข้างต้น เพลงทั้ง 3 เพลงนี้มีความไพเราะเพราะพริ้งมาก

http://cdans.bpi.ac.th/thaimusic/image/thumbnails/14.jpg

ครูเตือน พาทยกุล

 

ครู เตือน พาทยกุล เกิดที่จังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันเสาร์ เดือน 3 ขึ้น 3 ค่ำ ปีมะเส็ง ตรงกับพ.ศ.2448 เป็นบุตรของนายพร้อม กับนางตุ่น บิดาเป็นช่างทำทองและเป็นหัวหน้าวงปี่พาทย์ ครูมีน้องสาวชื่อ เติม แต่เสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก

ครู เตือนเริ่มเรียนดนตรีกับบิดาและปู่(ชื่อ แดง)ตั้งแต่อายุประมาณ 7 ปี หลังจากเรียนชั้นประถมปีที่ แล้ว ขณะนั้นอายุประมาณ 10 ปี บิดาก็ฝากให้เรียนดนตรีเพิ่มกับท่านครูจางวางทั่ว พาทยโกศล นอกจาก 3 ท่านที่กล่าวมา ครูเตือนยังได้ไปเรียนดนตรีเพิ่มต่อจากครูอื่นๆอีกหลายท่าน คือ ครูต้ม พาทยกุล(ปู่) พระยาเสนาะดุริยางค์(แช่ม สุนทรวาทิน) พระยาภูมีเสวิน นายเทวาประสิทธิ พาทยโกศล ครูช่อ สุนทรวาทิน ครูแถม สุวรรณเสวก หลวงไพเราะเสียงซอ(อุ่น ดูรยะชีวิน)  ครูเตือนมีความสามารถเล่นดนตรีได้รอบวง ในทางปี่พาทย์จัดว่าได้เรียนถึงระดับสูงสุดแล้ว โดยที่ถนัดสุดคือระนาดเอก

นอก จากนี้ ครูเตือนยังแต่งเพลงไว้หลายเพลง เช่นแขกมอญบางช้าง 2 ชั้นทางเปลี่ยน โหมโรงเพชรศรีอยุธยา นกจาก 2 ชั้น ลาวต่อนก เถา ลาวดำเนินทรายเที่ยวกลับ เป็นต้น

ครู เตือน พาทยกุล ถึงแก่กรรมด้วยโรคติดเชื้อในกระแสโลหิต เนื่องด้วยปอด เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๖ เวลา ๑๓.๔๐ น. ณ โรงพยาบาลศิริราช รวมสิริอายุได้ ๙๘ป

http://cdans.bpi.ac.th/thaimusic/image/thumbnails/15.jpg

คุณหญิงชิ้น ศิลปบรรเลง

คุณ หญิงชิ้น ศิลปบรรเลง เกิดเมื่อวันอังคารที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๙ ปีมะเมีย ที่บ้านหน้าวังบูรพาภิรมย์          กรุงเทพฯ เป็นบุตรีของหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) และนางโชติ มีพี่น้องร่วมบิดา มารดา ๗ คน ความรู้วิชาชีพศิลปะด้านต่างๆ อาทิ วิชาการฝีมือเรียนกับคุณครูนิล และคุณหญิงศรีธรรมราช (เป้า วิมุกตายน), การเขียนลายกนกศิลปะลายไทย เรียนกับหลวงวิศาลศิลปกรรม, การดนตรี เรียนกับท่านบิดาคือ หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง), เดี่ยวซอด้วง เรียนกับท่านครูพระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์), ซอสามสาย เรียนกับเจ้าเทพกัญญา บูรณพิมพ์, ดนตรีสากล (ทฤษฎีโน้ตสากล) เรียนกับพระเจนดุริยางค์, คุณครูโฉลก เนตสูต, การขับร้องโน้ตสากล เรียนกับหลวงประสานบรรณวิทย์ และคุณครูนันทน์ ทรรทรานนท์, ไวโอลิน เรียนกับคุณครูกิจ สาราภรณ์, ได้รับมอบเป็นผู้อ่านโองการพิธีไหว้ครู จากท่านครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปะบรรเลง) ตั้งแต่ปี ๒๔๙๖ และสืบทอดจนตลอดชีวิตของท่าน

คุณ หญิงชิ้นเป็นศิลปินสตรีไทยตัวอย่าง ที่ได้ใช้ความรู้ความสามารถในวิชาครูอันเป็นวิชาพื้นฐานที่ได้ศึกษามาผนวก กับทักษะวิชาการดนตรีไทยที่ได้เล่าเรียนสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ในสายสกุลศิลปบรรเลงผลงานการประพันธ์ทำนองและบทร้องเพลง เป็นจำนวนมากนอกจากจะนำไปใช้ในเชิงศิลปะการแสดงแล้ว ยังก่อให้เกิดคุณประโยชน์ได้อย่างดียิ่งในวงการศึกษา คุณหญิงชิ้น ศิลปบรรเลงถึงแก่กรรมด้วยโรคระบบหายใจล้มเหลว เมื่อวันจันทร์ที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ ท่านได้ปฏิบัติหน้าที่ครูอันยิ่งใหญ่เป็นครั้งสุดท้าย ด้วยการอุทิศศพให้โรงพยาบาลศิริราช เพื่อการศึกษาทางการแพทย์

http://cdans.bpi.ac.th/thaimusic/image/thumbnails/16.jpg

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

พระ บาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ พระองค์ที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 4 ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชการที่ 1 กับกรมสมเด็จพระอัมรินทรามาตย์ พระบรมราชินี
               พระองค์ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทขับร้อง เป็นวรรณคดีที่มีชื่อเสียงหลายเล่ม เช่น อิเหนา รามเกียรติ์ ขุนช้างขุนแผน ทรงมีความ
สามารถในการสีซอสามสายเป็นอย่างดียิ่ง และมีซอคู่พระหัตถ์ชื่อว่า "ซอสายฟ้าฟาด" และได้ทรงพระราชนิพนธ์เพลงที่มีชื่อเสียงมากคือ
"บุหลันลอยเลื่อน" ทรงเป็นผู้ตรากฏหมาย "ตราภูมิคุ้มกัน" ยกเว้นภาษีสวนมะพร้าว   หากส่วนใดมีกะโหลกมะพร้าวทำซอสามสายได้ ให้ยกเว้นภาษี นับเป็นการส่งเสริมพันธุ์ มะพร้าวเพื่อการดนตรีไทย
                พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงครองราชสมบัติเป็นเวลาทั้งสิ้น 15 ปี สวรรคต เมื่อวันที่ 21 กรกฏาคม 2367พระชนมายุ 56 พรรษากับ 5 เดือน

http://cdans.bpi.ac.th/thaimusic/image/thumbnails/17.jpg

ครูเทียบ คงลายทอง

 

เกิด ที่หลังวัดกัลยาณมิตร ฝั่งธนบุรี เริ่มหัดดนตรีตั้งแต่อายุ 12-13ปี ตอนแรกเริ่มหัดฆ้องใหญ่กับคุณปู่ ต่อมาเปลี่ยนมาเล่นเครื่องเป่า โดยหัดปี่ชวากับบิดา หลังจากนั้นได้เป็นศิษย์ของพระยาเสนาะดุริยางค์  ครูรับราชการในกรมมหรสพ ซึ่งต่อมาเป็น กรมปี่พาทย์หลวง ตั้งแต่อายุ 22 ปี

จนเกษียณอาย

http://cdans.bpi.ac.th/thaimusic/image/thumbnails/18.jpg

หลวงบรรเลงเลิศเลอ(กร กรวาทิน)

หลวง บรรเลงเลิศเลอ (กร กรวาทิน) เกิดเมื่อ พ.ศ. 2522 เริ่มเรียนดนตรีมาตั่งแต่อายุ 11 ปี กับวงปี่พาทย์วัดน้อยทองอยู่ ของท่านสมภารแสง เจ้าอาวาสในขณะนั้น ซึ่งมีครูช้อย สุนทรวาทินเป็นผู้สอนและควบคุมวง ต่อมาวงปี่พาทย์วัดน้อยทองอยู่ได้เข้าถวายตัวเป็นมหาดเล็กเรือนนอก ของสมเด็จพระพันปีหลวง (พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ) จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะดำรงพระยศ เป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช มีพระราชประสงค์ จะมีวงปี่พาทย์ไว้เป็นการส่วนพระองค์ จึงทรงขอวงปี่พาทย์วงนี้จากสมเด็จพระพันปีหลวง พร้อมด้วยนักดนตรีอีก 5 ท่านคือ (1) นายนาค วัฒนวาทิน ต่อมาได้บรรดาศักดิ์เป็นหลวงพวงสำเนียงร้อย (2) นายเพิ่ม วัฒนวาทิน ต่อมาได้บรรดาศักดิ์เป็นหลวงสร้อยสำเนียงสน (3) นายแหยม วีณิน ต่อมาได้บรรดาศักดิ์เป็น พระประดับดุริยกิจ (4) นายบุศย์ วีณิน ต่อมาได้บรรดาศักดิ์เป็น ขุนเพลิดเพลงประชัน ซึ่งทำให้หลวงบรรเลงเลิศเลอ ได้เข้ามารับราชการอยู่ในวงเป็นลูกศิษย์ของครูแปลก ประสานศัพท์ด้วย และในปี พ.ศ. 2458 จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นที่ ขุนบรรเลงเลิศเลอ รับราชการอยู่ในกรมมหรสพ และเลื่อนเป็นหลวงบรรเลงเลิศเลอ ในปี พ.ศ. 2466 เครื่องดนตรีที่ท่านถนัดที่สุดคือ ปี่ใน ท่านถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 2521 เมื่ออายุได้ 99 ปี

http://cdans.bpi.ac.th/thaimusic/image/thumbnails/19.jpg

นางเจริญใจ สุนทรวาทิน

นาง เจริญใจ สุนทรวาริน เกิดเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๕๘ เป็นศิลปินผู้เชี่ยวชาญคีตศิลป์และดุริยางคศิลป์ เพียบพร้อมด้วยความรู้ลึกซึ้งในปรัชญาของดนตรีไทย อันเกี่ยวเนื่องด้วยโบราณราชประเพณี วรรณคดี ภาษา และสุนทรียภาพแห่งการผสมผสานระหว่างท่วงทำนองเพลงกับบทร้องและอารมณ์อันสม จริง เป็นผู้รอบรู้ทั้งในเชิงทฤษฎีและปฏิบัติการดนตรีไทย ทั้งในการขับร้อง การบรรเลงเดี่ยวเครื่องดนตรีตลอดจนการประสมวงและการใช้ดนตรีในในกิจกรรมทุก รูปแบบ สามารถอธิบายเหตุผลในการปฏิบัติการดนตรีนั้นๆ ได้อย่างเด่นชัด และด้วยความรู้ความสามารถที่ได้สั่งสมมาจากบรรพบุรุษในสายสกุล สุนทรวาทิน นับตั้งแต่เยาว์วัย ได้ทำหน้าที่นักร้องนักดนตรี และแสดงนาฏศิลป์ทั้งในราชสำนักและสถาบันอันทรงเกียรติตลอดมา เคยได้รับรางวัลนักร้องยอดเยี่ยมระดับชาติ และคงความสามารถนั้นให้เป็นประโยชน์ต่อวงการดนตรีไทยได้อย่างต่อเนื่อง มีผลงานการบันทึกเสียงไว้เป็นตัวอย่างเป็นสมบัติของชาติจำนวนมากได้ทำ หน้าที่อาจารย์สอนดนตรีและขับร้องตลอดระยะเวลากว่า ๕๐ ปี ตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงขั้นอุดมศึกษา ได้รับปริญญาศิลปะศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาดุริยางคศาสตร์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และศิลปกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นับว่าเป็นศิลปินที่ควรแก่การภาคภูมิใจของชาติ
นางเจริญใจ สุนทรวาริน สมควรได้รับเกียรติการประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (คีตศิลป์)ประจำปี พุทธศักราช ๒๕๓๐

http://cdans.bpi.ac.th/thaimusic/image/thumbnails/20.jpg

นายประสิทธิ์ ถาวร

นาย ประสิทธิ์ ถาวร เกิดเมื่อวันที่ ๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๖๔ ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นดุริยางค์ศิลปิน ประจำสำนักแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ข้าราชการบำนาญกรมศิลปากร ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสถาน (สาขาศิลปะ) กรรมการที่ปรึกษาหลักสูตรวิชาดุริยางค์ไทย คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นศิลปินผู้เชี่ยวชาญในวิชาดนตรีไทย ทั้งในด้านทฤษฎี ปฏิบัติการประพันธ์เพลง และปรัชญาสุนทรียศาสตร์ มีความแตกฉานในศาสตร์แห่งดนตรีไทยอย่างลึกซึ้ง มีความสามารถสูงส่งในการบรรเลงระนาดเอก เป็นที่กล่าวขานและยกย่องในหมู่ผู้ชำนาญการดนตรีไทยว่าเป็นผู้มีความสามารถ บรรเลงระนาดเอกได้ทุกรสและทุกรูปแบบยากที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือน เป็นเลิศทั้งในเชิงบรรเลง รวมวง และการบรรเลงเพลงเดี่ยว มีความรู้ความชำนาญอย่างดียิ่งในการปรับวงดนตรีไทย ตลอดจนการวิเคราะห์ดนตรีไทย มีความสามารถยอดเยี่ยมในการอธิบายและพรรณนา เชิงเปรียบเทียบโดยใช้วิธีการอุปมาอุปมัย จนผู้ฟังสามารถเข้าใจเรื่องดนตรีอันล้ำลึกได้อย่างกระจ่าง เป็นผู้เชี่ยวชาญในการถ่ายทอดความรู้ทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติ ไม่ว่าเป็นผู้รับจะเป็นคนกลุ่มอายุใดก็ตาม ด้วยความรู้ความสามารถที่ได้สั่งสมมาแต่เยาว์วัย ในแวดวงของครู อาจารย์ ญาติและมิตร กอปรกับการที่ได้เป็นศิษย์เอกแห่งสำนักดนตรี หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปะบรรเลง) และด้วยความช่างสังเกตศึกษาปฏิบัติทดลองด้วยตนเองจนแตกฉาน

ทำ ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ศิลปินทั้งในเชิงการประกอบอาชีพการอนุรักษ์เผยแพร่ ตลอดจนการถ่ายทอดความรู้ให้แก่อนุชนได้เป็นอย่างดี และทำหน้าที่เป็นครูดนตรีไทยเป็นเวลานานเกือบ ๕๐ ปี มีศิษย์เป็นจำนวนมากทั่วพระราชอาณาจักร และเป็นผู้เริ่มจัดการบรรเลงเพลงไทยแบบมหาดุริยางค์ตามความประสงค์ของ อาจารย์ เป็นผู้มั่นในคุณธรรม ได้ประพฤติตนเป็นตัวอย่างที่ดีแก่นักดนตรีไทยอย่างสม่ำเสมอ
นายประสิทธิ์ ถาวร สมควรได้รับการประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทย) ประจำปี พุทธศักราช ๒๕๓๑


http://cdans.bpi.ac.th/thaimusic/image/thumbnails/21.jpg

นายเฉลิม ม่วงแพรศร

นายเฉลิม ม่วงแพรศรี เกิดเมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๔๘๔ ที่จังหวัดกรุงเทพมหานคร ปัจจุบัน อายุ ๖๑ ปี

บิดาชื่อนายช่วง ม่วงแพรศรี ถึงแก่กรรม มารดาชื่อ นางพร้อม ม่วงแพรศรี อาชีพค้าขาย เป็นบุตรเพียงคนเดียว

เมื่อ นายเฉลิม ม่วงแพรศรีได้เริ่มฝึกซอด้วงกับครูจำลอง อิศรางกูร โดยเริ่มต่อเพลงแป๊ะ สามชั้น เพลงสาลิกาชมเดือน เพลงสารถี เป็นต้น ต่อมานายเฉลิม ม่วงแพรศรีได้มาพบกับหม่อนเจ้าศรีอัปสร วรวุฒิ ศักดิ์เป็นหลานพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านได้เล่นดนตรีไทยอยู่ในวงเตชนะเสนีย์ ท่านได้นำนายเฉลิม ม่วงแพรศรี มาพบครูโองการ กลีบชื่น ซึ่งท่านเป็นครูที่คอยดูแลวงเตชนะเสนีย์อยู่ จึงทำให้นายเฉลิม ม่วงแพรศรีได้ศึกษาและฝึกหัดอยู่กับ ครูโองการ กลีบชื่น เพลงแรกที่ต่อคือเพลงทะแย ซึ่งเป็นเพลงโหมโรง จากนั้นได้ต่อเพลงอีกเช่น เพลงมอญรำดาบ เพลงนางครวญ เพลงสุดสงวน เป็นต้น ครูโองการ กลีบชื่น เป็นครูคนแรกที่ให้โอกาสนายเฉลิม ม่วงแพรศรี ออกงานบรรเลงดนตรีที่สถานีวิทยุหนึ่ง ป.น.เชิงสะพานพุทธ ทำให้นายเฉลิม ม่วงแพรศรี ได้ฝึกฝนและหาประสบการณ์ทางเล่นซอด้วงจากครูโองการ กลีบชื่น ไว้เป็นจำนวนมาก หลังจากที่ได้ฝึกฝนซอด้วงจากครูโองการ กลีบชื่น แล้วจึงได้มาพบกับพระยาภูมิเสวิน ได้ฝึกหัดซอสามสายอย่างจริงจัง ได้ต่อเพลงขับไม้บัณเฑาะว์ ตับต้นเพลงฉิ่ง เพลงสุรินทราหู เป็นต้น ต่อจากนั้นได้รู้จัก ครูหลวงไพเราะ เสียงซอ ครูเทวาประสิทธิ์ พาทย์โกศล ครูประเวช กุมุท แต่ไม่ได้มีโอกาสต่อเพลงโดยตรง เพียงแต่ใช้วิธีฟังเสียงและนำมาเป็นแนวทางฝึกฝนจนมีความชำนาญ เช่น เพลงสุรินทราหู เพลงแขกมอญ เป็นต้น

http://cdans.bpi.ac.th/thaimusic/image/thumbnails/22.jpg

นายถวิล อรรถกฤษณ

นาย ถวิล อรรถกฤษณ์ เป็นบุตรคนที่ ๕ ในจำนวน ๕ คน ของนายใย และนางใหญ่ อรรถกฤษณ์ เกิดเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๔๕๙ สมรสกับนางบุญหลง หิรัญพฤกษ์ มีบุตรและธิดารวม ๖ คน นายถวิล อรรถกฤษณ์ เมื่อเยาววัยก็เริ่มฝึกหัดดนตรีเพราะบรรพบุรุษเป็น นักดนตรีมาตั้งแต่รุ่น ปู่ ย่า และตายาย จนถึงรุ่นบิดา มารดาของนายถวิลเอง ทำให้เกิดความรักดนตรีไทยตั้งแต่ยังเป็นเด็ก

นาย ถวิล อรรถกฤษณ์ เป็นครู เป็นศิลปิน ซึ่งได้รับการถ่ายทอดอย่างไรก็จะอบรมสั่งสอนบุตรหลานและลูกศิษย์อย่างมี ระเบียบแบบแผนตามที่ครู อาจารย์วางไว้ให้ทุกประการ เช่น การเขียนโน๊ตเพลง การแต่งเพลงขึ้นมาใหม่ ทั้งทางร้อง ทำนองดนตรี และบทประพันธ์ พยายามคงรูปแบบเดิมไว้อย่างไพเราะ

จน ถึงปัจจุบันนายถวิล อรรถกฤษณ์ จะอายุครบ ๘๖ ปีแล้วก็ ยังเปิดสอนดนตรีไทยให้กับบุคคลภายนอกที่รักการแสดงดนตรีไทย โดยมิได้ย่อท้อแต่อย่างไร มุ่งมั่น ละคิดเสมอว่าจะทำนุบำรุงรักษาศิลปวัฒนธรรมทางด้านดนตรีไทยซึ่งเป็นมรดกของ แผ่นดินให้คงอยู่ตลอดไป

นาย ถวิล อรรถกฤษณ์ เป็นครูดนตรีที่มีศิษย์มากมาย ทำให้ดนตรีไทยไม่เสื่อมสลาย โดยลูกศิษย์เหล่านี้ช่วยนำออกไปเผยแพร่ อนุรักษ์ ในหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคโรงเรียนหลายแห่งได้เชิญให้นายถวิล อรรถกฤษณ์ไปสอนอยู่เป็นประจำความสามารถทางด้านดนตรีไทยของนายถวิล อรรถกฤษณ์ เป็นที่ชื่นชมของบุคคลทั่วไป และได้รับเชิญให้ไปบรรเลงตามงานพิธีต่าง ๆ อยู่เสมอ

http://cdans.bpi.ac.th/thaimusic/image/thumbnails/23.jpg

นายประเวศ กุมุท

นายประเวศ กุมุท เกิดเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๖๖ ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

เริ่มเรียนดนตรีไทยจนสามารถออกแสดงได้ เมื่ออายุประมาณ ๑๐ ปี เมื่อเข้าเรียนในโรงเรียนนาฏดุริยางค์

กรมศิลปากรได้ ฝึกฝนและร่ำเรียนจนรอบรู้ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติจากบรรดาครูและศิลปินเอกระดับ ชาติมากมายหลายท่าน จนบรรเลงดนตรีไทยได้รอบวง มีฝีมือยอดเยี่ยมในการเดี่ยวซอทุกประเภท เดี่ยวขลุ่ย การขับร้องทุกรูปแบบ เชี่ยวชาญในการสอนแบบวงดนตรีไทยทุกประเภท สามารถประพันธ์เพลงทั้งบทร้องทางบรรเลง และทางขับร้องได้เป็นอย่างดีเลิศนอกจากนี้ยังได้สร้างบทละคร บรรจุเพลง มีผลงานขับร้อง การบรรเลงเพลงเดี่ยว รวมทั้งบันทึกเสียงและบันทึกโน้ตเพลงไทยออกเผยแพร่เป็นจำนวนมาก เป็นผู้รอบรู้ในระเบียบประเพณีของดนตรีไทย สามารถเป็นที่ปรึกษาและเป็นผู้ตัดสินได้เป็นอย่างดี มีผลงานสร้างสรรค์ตลอดมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลายาวนานกว่า ๔๖ ปี และยังมีผลงานอยู่อย่างสม่ำเสมอ ท่านมีลูกศิษย์นักดนตรีไทยพร้อมสร้างแบบแผนแก่วงดนตรีไทยในสถาบันอุดมศึกษา หลายแห่ง นับได้ว่าได้สร้างคุณูปการไว้กับวงการดนตรีไทยร่วมสมัยได้อย่างน่าภาคภูมิใจ ยิ่ง นายประเวศ กุมุท จึงได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทย) ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๓๒

http://cdans.bpi.ac.th/thaimusic/image/thumbnails/24.jpg

นายจำเนียร ศรีไทยพันธ

นาย จำเนียร ศรีไทยพันธ์ เกิดเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๖๓ ที่จังหวัดนครปฐม เป็นบุคคลที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นศิลปินชั้นครู ที่มีความสามารถทางศิลปะการแสดงดนตรีไทยเป็นเลิศ โดยเฉพาะการร้องเพลงไทยและการเล่นเครื่องเป่า (ปี่และขลุ่ย) นับว่าเป็นผู้มีความสามารถสูงยิ่งคนหนึ่ง จนได้รับการยอมรับของวงการดนตรีไทยและนักดนตรีชาวต่างประเทศว่าเป็นเลิศด้าน ศิลปะการระบายลมในลำคอที่มีเทคนิกต่าง ๆ อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง นอกจากเครื่องเป่าแล้ว นายจำเนียร ศรีไทยพันธ์ ยังสามารถบรรเลงเครื่องดนตรีไทยได้ทุกชนิด ทั้งเครื่องสาย เครื่องตี เครื่องหนัง และสามารถบรรเลงเครื่องเป่าดนตรีสากลได้ เช่น ปี่คลาริแน็ต ทรัมเป็ต ฟลู้ท เป็นต้น ทั้งยังมีความสามารถพิเศษอื่น ๆ อีกมากมาย อาทิการประพันธ์เพลง สามารถประพันธ์เพลงได้ทั้งเพลงไทยเพลงลูกทุ่ง เพลงไทยสากล เพลงมาร์ช สามารถขับเสภา พากย์โขน เป็นผู้หนึ่งที่ได้รับการครอบครูและวิชาการอ่านโองการดนตรีไทย ที่มีลีลาน้ำเสียงนุ่มนวลก้องกังวาล ชวนให้ผู้เข้าร่วมพิธีเข้าถึงความศักดิ์สิทธิ์แห่งดนตรีไทยแก่ศิษย์ด้วยใจ รัก มีสัยเรียบง่าย สมถะ และถ่อมตน นายจำเนียร ศรีไทยพันธ์ จึงได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทย) ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๓๖

http://cdans.bpi.ac.th/thaimusic/image/thumbnails/25.jpg

นางเบ็ญจรงค์ ธนโกเศศ

นาง เบ็ญจรงค์ ธนโกเศศ เกิดเมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๔๖๑ ที่กรุงเทพมหานคร เรียนรู้เรื่องดนตรีไทยมาตั้งแต่อายุ ๕ ขวบ มีความถนัดเครื่องมือซอด้วงมากเป็นพิเศษ โดยได้รับสืบสานทางเพลงจากครูดนตรีไทยคนสำคัญ ๆ ในวงการดนตรีไทยจำนวนมาก อาทิ ครูไปล่ วนเขจร, ครูปลั่ง วนเขจร, ครูเชื้อ, ครูละม่อม อิศรางกูร ณ อยุธยา นอกจากนี้ยังได้ฝึกฝนดนตรีไทยกับเพลงสายหลวงประดิษฐ์ไพเราะ เพลงสายจางวางทั่วพาทยโกศล, มีความเชี่ยวชาญเพลงละครประเภทต่าง ๆ เพลงสำหรับบรรเลงการเชิดหุ่นกระบอกเพลงแอ่วเคล้าซอ เพลงหน้าพาทย์ที่ใช้ในการละคร เพลงตับ เพลงเถา ฯลฯ ใช้ความรู้ความสามารถถ่ายทอดดนตรีไทยแก่สถาบันการศึกษาจำนวนมาก และที่ธนาคารกสิกรไทย ได้รับพระมหากรุณาธิคุณถวายการสอนซอด้วงแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นศิลปินและครูซอด้วงที่สีซอได้อ่อนหวาน ไพเราะจับใจ เป็นผู้เชี่ยวชาญการสีซอที่มีฝีมือเป็นเลิศของแผ่นดินที่ยังมีชีวิตและยัง ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่ศิษย์จนถึงปัจจุบัน นางเบ็ญจรงค์ ธนโกเศศ จึงได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทย) ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๔๑


http://cdans.bpi.ac.th/thaimusic/image/thumbnails/26.jpg
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ

สมเด็จ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์  ทรงเป็นราชโอรสองค์ที่ 62  ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 4 ประสูติเมื่อวันอังคารเดือน 6 ขึ้น 11 ค่ำ ปีกุน ตรงกับวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2406 พระมารดาคือ พระสัมพันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพรรณราย (ทรงพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าจิตรเจริญ)
                สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ทรงมีชายา 3 ท่าน ท่านแรกคือ หม่อมราชวงศ์ปลื้มศิริวงศ์  มีธิดาด้วยกัน 1 องค์ คือ หม่อมเจ้าหญิงปลื้มจิตร (เอื้อย จิตรพงศ์) ท่านที่ 2 ได้แก่หม่อมมาลัย  เสวตามร์  มีโอรสด้วยกัน 2 องค์ คือ หม่อมเจ้าชายอ้าย และหม่อมเจ้าชายยี่ และท่านที่ 3 ได้แก่ หม่อมราชวงศ์โต งอนรถ (ธิดาหม่อมเจ้าหญิงแดง งอนรถ) มีพระโอรสธิดารวมด้วยกัน 6 พระองค์ คือ หม่อมเจ้าสาม หม่อมเจ้าประโลมจิตร (อี่ ไชยันต์) หม่อมเจ้าดวงจิตร์ (อาม) หม่อมเจ้ายาใจ (ไส) หม่อมเจ้าเพลารถ (งั่ว) และหม่อมเจ้ากรณิกา (ไอ)
                พระปรีชาสามารถและผลงานด้านดนตรีไทย ทรงรอบรู้ในกิจการและวิชาการหลายสาขาวิชา เช่น ทรงรอบรู้โบราณคดี การช่างศิลปะแบบไทย ทรงศึกษาเรื่องประเพณีต่างๆ ทางตะวันออกและทรงศึกษาทางดุริยางค์ศิลป์ไทย จนมีความรู้ความสามารถอย่างดี
ทางด้านดุริยางค์ศิลป์ ได้ทรงพระราชนิพนธ์เพลงต่างๆ ไว้หลายเพลง ได้แก่ เพลงสรรเสริญพระบารมี ต่อมารัชกาลที่ 6 จึงได้ทรงพระราชนิพนธ์แก้ไขใหม่และโปรดเกล้า ให้ใช้ร้องโดยทั่วไป เพลงมหาชัยแบบสากล และเพลงไทย เช่น เพลงเขมรไทรโยค ช้าประสม

                                               

 

http://cdans.bpi.ac.th/thaimusic/image/thumbnails/27.jpg

สมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์  กรมพระนครสวรรค์วรพินิต

ทรง เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และพระนางเจ้าสุขุมมาลมารศรี พระราชเทวี ประสูติในพระบรมมหาราชวังเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2424 นับเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าชายชั้นสูงสุดเรียงตามพระชนมายุเป็นอันดับที่ 3 รองจากสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ และสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธทรงศึกษาวิชาการชั้นต้น ณ โรงเรียนสวนกุหลาบ จนถึง พ.ศ. 2434 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ให้ทรงกรมเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนมไหสุริยสงขลา ต่อมา พ.ศ. 2438 ทรงได้เสด็จไปศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ แล้วทรงย้ายไปเรียนวิชาทหารบกในประเทศเยอรมันนีเมื่อ พ.ศ. 2439 ศึกษาอยู่ราว 6 ปีเศษ เรียนสำเร็จสอบได้คะแนนยอดเยี่ยม แล้วเสด็จมารับราชการในปี พ.ศ. 2446 พระชันษา 22ปี
ในด้านดนตรี ทูลกระหม่อมบริพัตรฯ ได้รับการยกย่องว่า ทรงเป็นนักดนตรี นักแต่งเพลงยอดเยี่ยมของกรุงรัตนโกสินทร์ นับเป็นคนไทยคนแรกที่แต่งเพลงไทยสากลและเป็นคนไทยคนแรกที่เรียนรู้โดยแยก เสียงประสานถูกต้องตามหลักสากลนิยม ดนตรีไทยที่ทรงคือ สีซอ ได้ตั้งแต่ยังมิได้โสกันต์ (ชันษาน้อยกว่า 10 ปี)  เมื่อเสด็จกลับมาเมืองไทยใน พ.ศ. 2446 ได้ทรงสร้างวังบางขุนพรหม และหาวงปี่พาทย์มาประจำวง  เดิมทีเดียวทรงใช้วงดนตรีจากอัมพวา

http://cdans.bpi.ac.th/thaimusic/image/thumbnails/28.jpg
พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์  กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม

กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม  มีพระนามเดิมว่า  พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์   เป็น พระโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  กับเจ้าจอมมารดารมรกต  ประสูติเมื่อวันที่  13  กันยายน  พ.ศ.  2425   ตรงกับวันพุธ  ขึ้น  7  ค่ำ  เดือน  10  ปีมะเส็ง  รัตนโกสินทร์ศก  101  ทรงศึกษาในประเทศอังกฤษ  เมื่อเสด็จกลับได้ทรงเข้ารับราชการในตำแหน่งผู้ช่วยปลัดทูลฉลองกระทรวงเก ษตราธิการ  ในปี  พ.ศ.  2451  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว    ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ  ตั้งพระเจ้าลูกยาเธอ  พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์  เป็น กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม    
                ความสามารถและผลงาน
                กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม  ทรงสนพระทัยดนตรีไทยมากถึงกับมีวงปีพาทย์วงหนึ่งเรียกกันว่า  “วงพระองค์เพ็ญ”   ทรงเป็นนักแต่งเพลงมราสามารถพระองค์หนึ่ง  โดยได้ทรงแต่งเพลง ลาวดวงเดือน”  ซึ่งเป็นเพลงที่นิยมกันแพร่หลายในปัจจุบัน
สำหรับเพลงลาวดวงเดือนนี้  พระองค์ท่านแต่งขึ้นต้องการให้มีสำเนียงลาว  เนื่องจากโปรดทำนองและลีลาเพลง  “ลาวดำเนินทราย”  เมื่อคราวที่เสด็จตรวจราชการ  ภาคอีสาน  ระหว่างที่ประทับแรมอยู่ตามทางจึงทรงแต่งเพลงลาวดวงเดือนขึ้น  เพื่อให้คู่กับเพลงลาวดำเนินทราย   ประทานชื่อว่า  “เพลงลาวดำเนินเกวียน”   ได้มีผู้กล่าวว่า  แรงบันดาลใจที่พระองค์แต่งนั้นเนื่องจากผิดหวังในความรัก  คือ  เมื่อพระองค์จบการศึกษาจากประเทศอังกฤษ  เสด็จขึ้นไปเที่ยวเชียงใหม่  และได้พบกับเจ้าหญิงชมชื่น  ธิดาเจ้าราชสัมพันธวงศ์  พระองค์สนพระทัยมากจนถึงกับให้ผู้ใหญ่ในมณฑ,พายัพเป็นเถ้าแก่เจรจาสู่ขอแต่ ได้รับคำตอบจากเจ้าราชสัมพันธวงศ์ว่าขอให้เจ้าหญิงชมชื่นอายุ  18  ปีก่อน  เพราะขณะนั้นอายุเพียง  16  ปี  และขอให้ได้รับพระบรมราชนุญาตด้วย  เมื่อกรมหมื่นพิไชยมหินทโรดมกลับถึงกรุงเทพฯ  ก็ได้รับการทัดทานจากพระบรมวงศานุวงศ์มาก  พระองค์ได้รับความผิดหวัง  จึงระบายความรักด้วยความอาลัยลงในพระนิพนธ์บทร้อง  “เพลงลาวดวงเดือน”  ซึ่งเป็นเพลงที่มีความหมายไพเราะอ่อนหวามจับใจผู้ฟังมาจนทุกวันนี้
พระองค์สิ้นพระชนม์ (ประชวนพระโรคปอด)  เมื่อวันที่  11  พฤศจิกายน  พ.ศ. 2452  มีพระชนมายุเพียง  28  พรรษา

 

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
บุญเติม's profile


โพสท์โดย: บุญเติม
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
173 VOTES (4.8/5 จาก 36 คน)
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ประเทศที่ระบบการศึกษา มีมาตรฐานดีเยี่ยมมากที่สุดในปัจจุบันสารก่อมะเร็ง 4 อย่าง ที่ลูกคุณอาจจะได้รับทุกวันจดไว้เลย!! 2ตัวล่าง 78ให้มาตรงๆ 1 เมษายน 2567
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
รพ.แม่ลาน แจง! "บังชาติ"หรือ"แม่หญิงลี" ไม่ได้เป็นบุคลากรรพ.แม่ลาน หลังบุคคลดังกล่าวทำให้เกิดความเข้าใจผิด!อ่านนิยายไร้สาระจริงหรือ"ซีอิ๊วแบบเม็ด" ฉีกทุกกฎของซอส..นวัตกรรมใหม่จาก "เด็กสมบูรณ์""บิ๊กเต่า" รับหลักฐาน "ทนายตั้ม" ลั่น ใหญ่แค่ไหนก็จับ ไม่มีใครใหญ่กว่าประตูห้องขัง9 โรงเรียนหญิงล้วนที่น่าสนใจในประเทศไทย
ตั้งกระทู้ใหม่