โปแลนด์ประกาศแผนอาวุธนิวเคลียร์.
มีหนาว....โปแลนด์ประกาศแผนพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ สร้างความตกตะลึงให้กับยุโรป
นั่นส่อให้เห็นว่า การที่ยูเครนหยิบอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมาอีกครั้งไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก มันเป็นเพราะไม่มีเวลาและพื้นที่ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ยากที่จะหยิบขึ้นมา
แต่...สนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์เป็นเพียงโครงการรักษาหน้า(ตา)เท่านั้น ดูเหมือนมีประโยชน์ แต่ใช้งานอะไรไม่ได้ ประเทศใดก็ตามที่มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์สามารถประกอบหัวรบนิวเคลียร์ของตนเองได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง
ขึ้นอยู่กับว่าเทคโนโลยีขีปนาวุธ/จรวดสามารถยิงได้ไกลแค่ไหน เร็วแค่ไหน และแม่นยำแค่ไหน นั่นน่ากลัวกว่า...ผลกระทบจากความล้มเหลวของสหรัฐและยูเครนในการลงนามข้อตกลงด้านแร่ธาตุและการทะเลาะวิวาทระหว่างสองประธานาธิบดียังคงทวีความรุนแรงมากขึ้น
ประเด็นที่ชัดเจนที่สุดคือประเทศต่างๆ ในยุโรปได้หารือกันถึงประเด็นการส่งทหารไปยังยูเครน การเพิ่มความช่วยเหลือ และการปรับปรุงการป้องกันประเทศของตนเองบ่อยขึ้นเรื่อยๆ
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง เรียกรัสเซียว่าเป็น “ภัยคุกคามโดยตรงต่อฝรั่งเศสและยุโรป”และเสนอแนวคิดที่จะนำประเทศต่างๆ ในยุโรปมาอยู่ภายใต้ “ร่มนิวเคลียร์” ของฝรั่งเศส
ที่น่าเป็นห่วงและต้องให้ความสนใจ คือ โปแลนด์ เด็กน่าสงสารคนนี้ ประสบทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายมามากมาย และถูกทำลายมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง!
นี่เป็นผลจากการไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีในสนธิสัญญาฉบับเดิม ชาวโปแลนด์สังเกตเห็นว่าบันทึกข้อตกลงบูดาเปสต์นั้นไร้ประโยชน์ ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าเหล็กจะต้องผ่านการชุบแข็งเสียก่อนจึงจะแกร่งได้
แน่นอน...หลังจากโปแลนด์แล้ว จะต้องมีประเทศอื่นๆ(แอบ)ตามหลังมาอย่างแน่นอน โดยเฉพาะประเทศที่อยู่ติดชายแดนหรืออยู่ติดกับกลุ่มเสี่ยง แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ประกาศเรื่องนี้ต่อสาธารณะ แต่พวกเขาจะแอบทำอย่างลับๆ จะเห็นได้ว่าสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์นั้นตายไปแล้วในนามเท่านั้น
โปแลนด์เสนอแผนพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ นายกรัฐมนตรีโปแลนด์ ดอนัลต์ ตุสก์ (Donald Tusk) กล่าวว่า ประธานาธิบดีทรัมป์แสดงความไม่มั่นใจเกี่ยวกับพันธมิตรของสหรัฐฯ
การเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ของสหรัฐฯ อย่างรุนแรงครั้งนี้ ทำให้โปแลนด์และยูเครนอยู่ใน“สถานการณ์ที่เพิ่มความยากลำบากยิ่งขึ้น”
เขากล่าวว่า โปแลนด์จำเป็นต้องเพิ่มขนาดกองทัพอย่างมีนัยสำคัญ และ “แสวงหาโอกาสที่เกี่ยวข้องกับอาวุธนิวเคลียร์”
นั่นคือ โปแลนด์ กำลังกุมอำนาจใหม่ของอาวุธนิวเคลียร์และการขยายกำลังทหาร
เมื่อวันที่ 7 มีนาคม ตามเวลาท้องถิ่น นายกรัฐมนตรีโปแลนด์ ไม่ได้เสนอการพัฒนาคลังอาวุธนิวเคลียร์อย่างชัดแจ้งในสุนทรพจน์โดยละเอียด
เกี่ยวกับประเด็นด้านความปลอดภัยต่อรัฐสภาโปแลนด์ เขากล่าวเพียงว่า "ตอนนี้เป็นเวลาที่เราจะต้องพิจารณาความเป็นไปได้ในการครอบครองอาวุธที่ทันสมัยที่สุดอย่างกล้าหาญ "และได้สำรวจทางเลือกของอาวุธนิวเคลียร์
และ "อาวุธสมัยใหม่ที่ไม่ธรรมดา" ตุสก์ ยังกล่าวเสริมด้วยว่ารัฐบาลโปแลนด์กำลัง "หารืออย่างจริงจัง" กับฝรั่งเศส ซึ่งเป็นมหาอำนาจด้านนิวเคลียร์เพียงประเทศเดียวของยุโรป นอกเหนือจากอังกฤษและรัสเซีย เกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการขยายขอบเขตอำนาจนิวเคลียร์ของฝรั่งเศสไปยังประเทศอื่นๆ ในยุโรป
หากกลับไปเมื่อวันที่ 5 มกราคม มาครงเคยกล่าวในสุนทรพจน์ทางโทรทัศน์ว่า ฝรั่งเศสจะต้องเตรียมพร้อมหากสหรัฐฯ ไม่สนับสนุนฝรั่งเศสอีกต่อไป เขากล่าวเสริมอีกว่าความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนได้กลายมาเป็น "ความขัดแย้งระดับโลก"
และเขาวางแผนที่จะเปิดการอภิปรายเกี่ยวกับแนวคิดในการขยาย "ร่มนิวเคลียร์" ของฝรั่งเศสไปยังพันธมิตรในยุโรป
เกี่ยวกับสนธิสัญญาฉบับนี้ โปแลนด์เป็นผู้ลงนามในสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งห้ามประเทศที่ไม่อยู่ในกลุ่มมหาอำนาจด้านนิวเคลียร์ 5 อันดับแรกจากการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ และมีการหารือกันเป็นระยะๆ ในโปแลนด์เกี่ยวกับการพยายามเข้าร่วมชมรมนิวเคลียร์
เมื่อสนธิสัญญามีผลใช้บังคับในปีพ.ศ. 2513 แต่อิสราเอล อินเดีย และปากีสถาน ที่ไม่(เคย)ลงนามห้าม และเกาหลีเหนือที่ถอนตัวจากสนธิสัญญา ต่างเร่งกันพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์กันอย่างเมามันส์...
แต่ จาโรสลาฟ คาซินสกี(Jaroslav Kaczynski) อดีตหัวหน้าพรรครัฐบาลของโปแลนด์ กลับเห็นต่างและกล่าวเมื่อปี 2565 ว่า "ในฐานะพลเมือง" เขาอยากเห็นโปแลนด์ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์เขายังกล่าวเสริมว่า "แต่ในฐานะนักการเมืองที่มีความรับผิดชอบ ฉันต้องถือว่าแนวคิดนี้เป็นไปได้ยาก"
ทางด้านเจ้าหน้ารัสเซีย ได้ให้คำใบ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าพวกเขาอาจใช้อาวุธนิวเคลียร์ในการต่อสู้กับยูเครน (ซึ่งไม่ใช่สมาชิกนาโต) โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากชาติตะวันตกเพิ่มความช่วยเหลือทางทหารให้กับยูเครน แต่การช่วยเหลือที่เพิ่มขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่ายังไม่สามารถกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองดังกล่าวได้
ซึ่งสอดคล้องกับ สถาบันด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของฝรั่งเศสเตือนในรายงานเมื่อปีที่แล้วว่า "ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนอาจเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ได้ เนื่องจากแสดงให้เห็นว่ามหาอำนาจนิวเคลียร์เองสามารถโจมตีฝ่ายตรงข้ามด้วยขีดความสามารถแบบธรรมดาได้ ขณะเดียวกันก็สนับสนุนการกระทำของตนด้วยการคุกคามด้วยนิวเคลียร์เพื่อยับยั้งไม่ให้บุคคลที่สามเข้ามาแทรกแซง" รายงานยังระบุด้วยว่า "ความขัดแย้งยังส่งสัญญาณว่าอาวุธนิวเคลียร์ยังคงเป็นเครื่องรับประกันความมั่นคงของชาติที่จำเป็น"
ว่าไปแล้ว ...โปแลนด์ก็เป็นมหาอำนาจทางทหารที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาอดีตสมาชิกของกลุ่มพันธมิตรทางทหารสนธิสัญญาวอร์ซอที่นำโดยสหภาพโซเวียต และปัจจุบันได้เป็นสมาชิกของนาโต้
โปแลนด์มีประเพณีอันยาวนานในด้านความเชี่ยวชาญด้านนิวเคลียร์ โดยผมขอย้อนไปถึงมารี คูรี (Marie Curie) นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสที่เกิดในโปแลนด์ ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์และเคมีจากผลงานบุกเบิกในการค้นพบกัมมันตภาพรังสีและธาตุกัมมันตภาพรังสีในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 นอกจากนั้น ยังมี สตานิสลาฟ อูห์ลาน( Stanislaw Uhlan )นักคณิตศาสตร์และนักฟิสิกส์ชาวโปแลนด์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในโครงการระเบิดปรมาณูลับของอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
รวมถึง โครงการแมนฮัตตัน และการประดิษฐ์ระเบิดไฮโดรเจนที่ตามมา ในช่วงยุคคอมมิวนิสต์ โปแลนด์ฝึกอบรมวิศวกรนิวเคลียร์จำนวนมากเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เริ่มก่อสร้างด้วยความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียต ...แต่ไม่เคยสร้างเสร็จ และเมื่อปีที่แล้ว โปแลนด์อนุมัติแผนการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งแรกภายใต้สัญญากับบริษัท Westinghouse Electric ของสหรัฐอเมริกา
ในสุนทรพจน์ของเขา ตุสก์ พูดถึงสถานการณ์ด้านความมั่นคงใหม่ที่เกิดจากการที่ทรัมป์พลิกกลับหลักการของนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ อย่างกะทันหัน
นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง “เราไม่สามารถปฏิเสธข้อเท็จจริงเหล่านี้ได้” เขากล่าว “หากพูดกันตามตรง สถานการณ์ในโปแลนด์และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยูเครนในปัจจุบันยากลำบากกว่าเมื่อไม่กี่เดือนก่อน และเราต้องเผชิญกับข้อเท็จจริงนี้” แต่ ตุสก์ ไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์โดยตรง และกล่าวว่าการรักษา “ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดที่สุด” กับสหรัฐฯ ยังคงเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากการพูดคุยเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ ตุสก์ยังกล่าวอีกว่าโปแลนด์จำเป็นต้องให้แน่ใจว่าชายวัยผู้ใหญ่ทุกคนต้องได้รับการ "ฝึกฝนในสถานการณ์สงคราม" เขากล่าวว่าโปแลนด์จะขยายกองทัพ รวมถึงกำลังสำรอง เป็นประมาณ 500,000 นายมากกว่าขนาดปัจจุบันมากกว่าสองเท่า
และเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมเป็นร้อยละ 5 ของผลผลิตทางเศรษฐกิจ และตุสก์ ตัดสินใจที่จะไม่ส่งทหารโปแลนด์ไปยูเครนที่ให้ "เป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังสำรอง" ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นการปฏิเสธข้อเสนอของฝรั่งเศสที่ให้ประเทศต่างๆ ในยุโรปส่งทหารเข้าร่วมกองกำลังรักษาความปลอดภัยในอนาคต หากความพยายามของสหรัฐฯ ในการไกล่เกลี่ยข้อตกลงสันติภาพประสบผลสำเร็จ
โดยทั่วไปแล้ว...โปแลนด์ก็ถือเป็นประเทศที่ใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศมากที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป มีค่าใช้จ่ายประมาณร้อยละ 4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศในปีที่แล้ว ซึ่งมากกว่าร้อยละ 2 ของจำนวนเงินขั้นต่ำที่ประเทศสมาชิก NATO กำหนดไว้ถึงสองเท่า “ผมขอพูดซ้ำอีกครั้งถึงสิ่งที่ดูเหลือเชื่อแต่เป็นความจริง ชาวยุโรป 500 ล้านคนกำลังขอร้องชาวอเมริกัน 300 ล้านคนให้ปกป้องเราจากชาวรัสเซีย 180 ล้านคน ซึ่งไม่สามารถรับมือกับชาวอูเครน 40 ล้านคนมาเป็นเวลา 3 ปีแล้ว” ตุสก์ กล่าว
เขากล่าวเสริมว่ายุโรปมีวิธีการป้องกันตัวเอง แต่จำเป็นต้อง “ขจัดจุดอ่อนสำคัญ” ซึ่งได้แก่ “การขาดเจตจำนงในการดำเนินการ ความไม่แน่นอน และบางครั้งถึงกับต้องเรียกว่า.....ความขี้ขลาด”

















