ฉีด Sculptra เหมาะกับใคร ช่วยเรื่องอะไร? พร้อมเปรียบเทียบกับหัตถการอื่น ๆ
Sculptra คือการฉีดสาร PLLA เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนังชั้นลึก ช่วยฟื้นฟูปริมาตรผิว ลดริ้วรอย และยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย โดยผลลัพธ์จะอยู่ได้นาน 2-3 ปี
เมื่อพูดถึงวิธีช่วยชะลอวัย หลายคนอาจคุ้นเคยกับการฉีดโบท็อกหรือฟิลเลอร์ที่แก้ปัญหาริ้วรอยและเพิ่มความเต่งตึงให้กับผิวได้ง่าย ๆ แต่สำหรับผู้ที่มองหาวิธีดูแลผิวแบบยั่งยืน การกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติด้วย Sculptra กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะ Sculptra ไม่ได้เป็นแค่การเติมเต็มผิวในระยะสั้น แต่เป็นการปลุกผิวให้กลับมาสร้างคอลลาเจนใหม่ ลดปัญหาผิวหย่อนคล้อย ผิวบางอ่อนแอ และริ้วรอยลึกอย่างเห็นผลชัดเจน พร้อมช่วยให้ผิวหน้าดูสดใสและอ่อนเยาว์ยาวนานขึ้น แล้ว Sculptra คืออะไร Sculptra ช่วยอะไรได้บ้าง หรือการฉีด Sculptra เหมาะกับใคร มาทำความรู้จักกันในบทความนี้!
การฉีด Sculptra คืออะไร
Sculptra (สเกาต้า) เป็นสารฉีดในกลุ่ม Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ที่ปลอดภัยและสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติในร่างกาย โดยได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) ว่ามีประสิทธิภาพและปลอดภัยในการใช้เพื่อแก้ไขปัญหาริ้วรอยลึกและฟื้นฟูโครงสร้างผิวที่หย่อนคล้อย
จุดเด่นของ Sculptra คือการทำงานที่แตกต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไป เพราะไม่ได้เป็นการเติมเต็มชั้นผิวทันที แต่จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติของร่างกาย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผิวมีความเต่งตึงและยืดหยุ่น เมื่อมีอายุมากขึ้นคอลลาเจนในผิวจะลดลง ทำให้เกิดปัญหาผิวหย่อนคล้อย ริ้วรอย และผิวบางลง
การฉีด Sculptra จะเข้าไปช่วยฟื้นฟูคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรงขึ้นและดูอ่อนเยาว์ โดยผลลัพธ์จากการฉีด Sculptra ไม่ได้เกิดขึ้นทันที แต่จะค่อย ๆ ปรากฏให้เห็นชัดเจนขึ้นในช่วง 6-12 สัปดาห์ หลังการฉีด และสามารถอยู่ได้นานถึง 2-3 ปี เมื่อได้รับการฉีดในปริมาณที่เหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์
การฉีด Sculptra ช่วยฟื้นฟูผิวได้อย่างไร
กระบวนการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหลังฉีด Sculptra เป็นดังนี้ เมื่อฉีด Sculptra เข้าสู่ชั้นใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Layer) สาร PLLA จะกระจายตัวในบริเวณที่ฉีดโดยสาร Poly-L-Lactic Acid (PLLA) จะไปกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ ซึ่งเป็นเซลล์ที่รับผิดชอบในการผลิตคอลลาเจนและอิลาสติน ทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิว ส่งผลให้ร่างกายตอบสนองต่อ PLLA โดยการส่งเม็ดเลือดขาวชนิดแมคโครฟาจ (Macrophage) มาที่บริเวณที่ฉีด ซึ่งจะช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพิ่มเติม
กระบวนการนี้เรียกว่า คอลลาเจเนซิส (Collagenesis) ซึ่งเป็นการสร้างเส้นใยคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นและความแข็งแรงมากขึ้น การสร้างคอลลาเจนใหม่นี้จะช่วยเติมเต็มและยกกระชับผิว ทำให้ริ้วรอยลดลง และผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น โดยผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานถึง 2 ปีหรือมากกว่านั้น
ข้อดีของการฉีด Sculptra มีอะไรบ้าง
การฉีด Sculptra มีข้อดีหลากหลายอย่างนอกเหนือจากการฟื้นฟูและปรับปรุงสภาพผิว ด้วยคุณสมบัติดังต่อไป จึงทำให้ Sculptra กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาผิวอย่างตอบโจทย์และยั่งยืน
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง โดยสาร Sculptra จะไปกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนชนิดที่ 1 ในผิวเพิ่มขึ้นกว่า 66.5% หลังฉีดไปแล้ว 3 เดือน
- หลังการฉีด Sculptra ผลลัพธ์สามารถคงสภาพได้นานกว่า 2 ปี
- หลังฉีด Sculptra สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ อาจมีรอยแดงเล็กน้อยที่หายได้ใน 1-2 วัน
- ช่วยให้ผิวที่เหี่ยวหรือหย่อนคล้อยกลับมาแน่น อิ่มฟู และช่วยลดเลือนริ้วรอยร่องลึกได้ เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ริ้วรอยบนหน้าผาก
- เหมาะสำหรับผู้ที่ผิวอ่อนแอหรือผิวบางลงจากอายุที่เพิ่มขึ้น หรือการถูกทำร้ายจากแสงแดด
- ช่วยให้ผิวดูเด็กลง และช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น
- Sculptra ช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติและต่อเนื่อง
- ความปลอดภัยสูง เนื่องจาก Sculptra เป็นผลิตภัณฑ์ Collagen Biostimulator ตัวแรกและตัวเดียวของโลกที่ผ่านการรับรองจาก US FDA
เปรียบเทียบ Sculptra กับหัตถการกระตุ้นคอลลาเจนอื่น ๆ
การฟื้นฟูผิวด้วยการฉีดสารกระตุ้นเพื่อสร้างคอลลาเจนมีหลายวิธีที่ได้รับความนิยม ในแต่ละวิธีต่างก็มีข้อดี-ข้อเสียและการให้ผลลัพธ์ที่ไม่เหมือนกัน เราลองมาเปรียบเทียบ Sculptra กับหัตถการกระตุ้นคอลลาเจนอื่น ๆ เช่น
Sculptra VS Radiesse
Sculptra และ Radiesse ต่างก็ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน แต่ Sculptra จะใช้สารเติมเต็มที่เรียกว่า Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ฉีดเข้าไปในชั้นผิวระดับลึก (Dermis) เพื่อฟื้นฟูปริมาตรผิวและยกกระชับ โดยผลลัพธ์อยู่ได้นาน 2-3 ปี ในขณะที่ Radiesse ใช้สารชื่อว่า Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ที่สามารถฉีดได้ทั้งในชั้นลึกและใต้ผิวหนัง (Subcutaneous) โดยจะเน้นไปที่การเติมเต็มร่องลึกมากกว่า และผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12-18 เดือน
Sculptra VS Rejuran
Sculptra ใช้สารเติมเต็มที่ชื่อว่า PLLA ช่วยฟื้นฟูผิวและลดเลือนริ้วรอยลึก โดยจะฉีดลงในผิวหนังชั้นลึก ส่วนการฉีด Rejuran ใช้สารที่เรียกว่า Polynucleotide (PN) ซึ่งสกัดมาจาก DNA ปลาแซลมอน เพื่อฟื้นฟูสภาพผิว เพิ่มความชุ่มชื้น และลดริ้วรอยตื้น ๆ โดยฉีดในชั้นผิวตื้น ผลลัพธ์ของ Sculptra อยู่ได้นาน 2-3 ปี ขณะที่ Rejuran ต้องฉีดซ้ำทุก 3-4 เดือน และผลลัพธ์คงอยู่ประมาณ 6-12 เดือน
Sculptra VS Ulthera
Sculptra เป็นการฉีดสารเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนังลึก ในขณะที่ Ulthera เป็นการใช้พลังงานอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูง เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดยกกระชับใบหน้า ทำให้หัตถการ Ulthera เป็นการยกกระชับผิวได้โดยไม่ต้องผ่าตัด และผลลัพธ์คงอยู่ประมาณ 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
ขั้นตอนการฉีด Sculptra มีอะไรบ้าง
การฉีด Sculptra ควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและในสถานพยาบาลที่ได้รับการรับรอง เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ โดยมีขั้นตอนการฉีด Sculptra ดังนี้
- เริ่มแรกแพทย์จะทำการประเมินสภาพผิว พร้อมเช็คปัญหาสภาพผิวของเรา เพื่อวางแผนการรักษาให้เหมาะสมต่อไป
- ก่อนฉีด Sculptra ให้ทำความสะอาดผิวหน้าและเช็ดเครื่องสำอางออกทั้งหมด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- จากนั้นแพทย์จะทายาชาหรือฉีดยาชาในบริเวณที่ต้องการฉีด เพื่อลดความเจ็บระหว่างการรักษา
- แพทย์ทำการผสม Sculptra กับน้ำเกลือและยาชาในปริมาณที่เหมาะสม
- จากนั้นแพทย์จะฉีด Sculptra ลงไปในชั้นผิวระดับลึก (Dermis) หรือชั้นไขมันใต้ผิว (Subcutaneous) โดยใช้เทคนิคการฉีดเฉพาะเพื่อให้กระจายตัวได้ดี
- หลังฉีด Sculptra เสร็จ แพทย์จะทำการนวดบริเวณที่ฉีดเพื่อกระจายสารให้ทั่วถึง ลดโอกาสการเกิดก้อนใต้ผิว
- ขั้นตอนสุดท้าย แพทย์จะทำความสะอาดบริเวณที่ฉีดและทายาฆ่าเชื้อให้ เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อได้
- แพทย์อาจจะนัดติดตามผลและประเมินว่าต้องฉีดเพิ่มเติมหรือไม่ในช่วงเวลาที่กำหนด
การดูแลตนเองหลังฉีด Sculptra ทำได้อย่างไร
หลังฉีด Sculptra เรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการดูแลตนเอง เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจตามมาได้ หากดูแลรักษาแผลบริเวณที่ฉีดได้ไม่ดี อาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อได้ โดยการดูแลตนเองหลังฉีด Sculptra สามารถทำได้ง่าย ๆ ดังนี้
- นวดบริเวณที่ฉีดวันละ 5 ครั้ง ครั้งละ 5 นาที เป็นเวลา 5 วัน เพื่อช่วยกระจายสาร Sculptra และลดความเสี่ยงการเกิดก้อนใต้ผิวหนัง
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรง หรือการทำกิจกรรมที่ทำให้ผิวสัมผัสกับความร้อนสูง เช่น ซาวน่า อาบน้ำร้อน หรือออกกำลังกายหนัก ๆ ในช่วง 1 สัปดาห์แรก
- หลีกเลี่ยงการแตะใบหน้า หรือกดนวดแรง ๆ นอกเหนือจากการนวดที่แพทย์แนะนำ เพื่อลดความเสี่ยงในการเคลื่อนตัวของสาร Sculptra
- หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจก่อให้เกิดการอุดตันในช่วง 24 ชั่วโมงแรก
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ในช่วง 1-2 วันแรก เพื่อช่วยลดการอักเสบและเร่งการฟื้นฟูของผิว
- ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว และช่วยกระตุ้นคอลลาเจนหลังฉีด Sculptra
- งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA, BHA, Retinol หรือสารที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวในช่วง 1 สัปดาห์แรก
- ประคบเย็นในบริเวณที่ฉีด Sculptra เพื่อลดอาการบวมในช่วง 1-2 วันแรก และหลีกเลี่ยงการประคบร้อน
- หากมีอาการผิดปกติ เช่น บวมแดงมากเกินไป เจ็บปวด หรือมีก้อนแข็งที่ผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
Sculptra ตัวช่วยฟื้นฟูผิวลึกจากภายใน เพื่อผิวที่ดูอ่อนเยาว์ในระยะยาว
Sculptra คือหัตถการที่ใช้ Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนังชั้นลึก เพื่อฟื้นฟูปริมาตรผิวที่สูญเสียไป ลดเลือนริ้วรอยลึก และยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย ผลลัพธ์จะค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายใน 4-6 สัปดาห์หลังการรักษา และสามารถอยู่ได้นานถึง 2-3 ปี โดยต้องฉีดซ้ำ 2-3 ครั้งในช่วงแรกเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง
Sculptra จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวในระยะยาว และเน้นการแก้ไขปัญหาผิวที่ต้นเหตุ นั่นคือ การเพิ่มการผลิตคอลลาเจนของผิวตามธรรมชาติ เพื่อให้ผิวกลับมามีชีวิตชีวาและดูอ่อนเยาว์ได้อีกครั้ง
![](https://us-fbcloud.net/hottopic/data/1101/1101260.x4186jk507r.n2.webp)
![](https://us-fbcloud.net/hottopic/data/1101/1101495.x45atyfmv7c.n2.webp)
![](https://us-fbcloud.net/hottopic/data/1101/1101342.x433hgyty8d.n2.webp)
![](https://us-fbcloud.net/hottopic/data/1101/1101435.x44pvj145g0t.s2.webp)