พร่างพราวกลางใจ
ชื่อเรื่อง: “พร่างพราวกลางใจ”
ในยามค่ำคืนที่แสงดาวทอประกายบนฟากฟ้า ราเชนท์ ชายหนุ่มผู้ชอบมานั่งดูดาวที่ทุ่งกว้างแห่งหนึ่งในชนบท ยามเมื่อโลกสงบและความเงียบเข้าปกคลุม ความคิดของเขาก็มักลอยไกลไปยังห้วงจักรวาลอันเวิ้งว้าง เขาไม่เคยคิดว่าวันหนึ่ง ช่วงเวลานี้จะนำพาเขาสู่บางสิ่งที่ไม่เคยคาดฝัน
คืนนั้น แสงดาวสว่างวาบเจิดจรัสบนท้องฟ้าเป็นประกายมากกว่าทุกครั้ง ราเชนท์นั่งมองดวงดาวด้วยความสงสัย ก่อนที่แสงนั้นจะค่อย ๆ ก่อตัวเป็นร่างหญิงสาวผู้หนึ่ง ท่ามกลางรัตติกาล เธอปรากฏตัวขึ้นพร้อมดวงตาสีเงินสดใสที่ทอดมองราเชนท์อย่างอ่อนโยน
“ข้ามาจากดินแดนอันห่างไกล” เธอกล่าวเสียงนุ่มนวล มันเป็นน้ำเสียงที่ราวกับลมหายใจของแสงดาว ราเชนท์ไม่เข้าใจแต่กลับรู้สึกถึงความอบอุ่น ความรู้สึกที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อนในชีวิต
“เธอชื่ออะไร” เขาถามเบา ๆ กลัวว่าถ้าเสียงดังกว่านี้เธอจะหายไป
“ข้าเรียกตัวเองว่า อารินดา” เธอตอบ รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้า ผิวของเธอเปล่งประกายเรืองรองเหมือนประกายแสงอ่อน ๆ ของจันทร์ เธอบอกเขาว่าดาวของเธออยู่ไกลเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้ เป็นดินแดนที่มีแสงสีเงินทอเต็มท้องฟ้าทั้งกลางวันและกลางคืน ดาวที่ส่องสว่างให้เห็นทุกสิ่งได้แม้ในยามมืดมิดที่สุด
เมื่อคำพูดนั้นพรั่งพรูจากปากของเธอ ราเชนท์ไม่อาจละสายตาจากอารินดาได้ ราวกับเธอเป็นดวงดาวแห่งชีวิต ที่แม้จะไกลเกินฝันแต่ก็ส่องสว่างให้หัวใจเขามีชีวิตชีวา เขารู้ทันทีว่าความรู้สึกในใจนี้ คือความรัก ความรักที่ไม่ได้เกิดจากการพบกันด้วยเหตุบังเอิญ แต่เป็นการพบกันด้วยโชคชะตาที่ลิขิต
นับตั้งแต่วันนั้น ราเชนท์และอารินดาพบกันทุกค่ำคืนใต้แสงดาว พวกเขาพูดคุยถึงโลกของกันและกัน อารินดาพาเขาไปสัมผัสเรื่องราวของดวงดาวไกลโพ้น ที่ซึ่งเธอเกิดและเติบโต มีทุ่งหญ้าสีเงินที่แสงสว่างอ่อนโยนสาดส่องอยู่เสมอ ราเชนท์พาเธอชมโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ น้ำตา ความฝัน และความเสียใจ เขาพาเธอไปชมแสงอาทิตย์ยามเช้า ดอกไม้ที่บานสะพรั่ง และผืนดินที่ให้ชีวิตใหม่ในทุก ๆ ฤดูกาล
แต่แล้ววันหนึ่ง อารินดาก็เล่าให้ฟังว่า เวลาของเธอบนโลกใบนี้ใกล้จะหมดลง ดาวของเธออยู่ไกลเกินกว่าที่จะอยู่นานได้ และภารกิจของเธอในการสำรวจดาวเคราะห์นี้ก็ใกล้เสร็จสมบูรณ์ ราเชนท์รู้สึกเจ็บปวด เขาไม่เคยคิดว่าจะต้องพรากจากเธอไป เขาเฝ้าฝันว่าเธอจะอยู่กับเขาเสมอ
คืนสุดท้ายที่พวกเขาได้อยู่ด้วยกัน ราเชนท์มองอารินดาอย่างเงียบ ๆ เขาไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรได้ดีไปกว่าการมองเธอด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก อารินดาจ้องมองเขาด้วยดวงตาสีเงินอันเศร้าหมอง ก่อนที่เธอจะพูดด้วยเสียงกระซิบที่เบาเหมือนสายลม
“ราเชนท์…ข้าอาจจะไม่ได้อยู่กับเจ้า แต่จงเชื่อเถิดว่า หัวใจของข้าจะอยู่ที่นี่ตลอดไป…แม้จะไม่ได้อยู่ในร่างนี้ แต่แสงของข้าจะส่องมาถึงเจ้าในทุกคืนที่ดวงดาวส่องสว่าง”
และเมื่อแสงจันทร์จางหายไป อารินดาก็ลับหายไปพร้อมกับแสงดาวที่พร่างพราวบนฟ้า ราเชนท์ได้แต่มองฟากฟ้าและหลั่งน้ำตา เขารู้ว่ารักของเขากับอารินดาจะไม่มีวันเป็นไปได้อีกแล้ว แต่ในหัวใจของเขาก็ยังคงเก็บความทรงจำเหล่านั้นไว้ ราวกับเธอยังอยู่เคียงข้าง ราวกับว่าแสงดาวที่ส่องสว่างนั้นคือสายตาอันอบอุ่นของเธอที่มองเขาจากห้วงอวกาศไกลโพ้น
นับจากวันนั้น ทุกคืนราเชนท์จะมานั่งมองดาว คิดถึงอารินดาและแสงอันอบอุ่นของเธอ แม้ว่าจะไม่มีโอกาสได้พบเจอกันอีกแล้วก็ตาม แต่ความรักของเขาจะยังคงอยู่ ตราบที่ยังมีดวงดาวส่องสว่างกลางฟ้า