มารู้จัก "ดาวหาง" กันให้มากขึ้นดีกว่า
ในอดีตที่ผ่านมานั้น มนุษย์เรารู้จักดาวหางเพียงแค่ว่ามันเป็นวัตถุก้อนกลม ๆ อยู่บนฟ้าที่ทอดหางยาว คนในยุคนั้น ส่วนใหญ่จะมองดาวหางไปในทางที่อัปมงคล และยังมีความเชื่อกันอีกว่า เมื่อได้พบเห็นดาวหางจะเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงลางร้าย เป็นทูตแห่งความตายและสงครามต่างๆ นานา หรือแม้แต่กระทั่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการทำนายพยากรณ์ต่างๆ ในเชิงวิทยาศาสตร์นั้น ความรู้เกี่ยวกับดาวหางมีความก้าวหน้าไปอย่างเชื่องช้า เริ่มตั้งแต่ในปี 635 ก่อนคริสต์ศักราช โดยมีนักดาราศาสตร์จีนได้ตั้งข้อสังเกตว่า หางของดาวหางชี้ออกจากดวงอาทิตย์เสมอ แต่อย่างไรก็ ตามคนในยุคแรกก็ยังคงมีความเชื่อว่า ดาวหางน่าจะเป็นวัตถุที่อยู่ในชั้นบรรยากาศของโลก เนื่องจากดาวหางมีรูปร่างที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วชนิดวันต่อวันเลยทีเดียว ซึ่งก็ต่างจากวัตถุบนท้องฟ้าชนิดอื่นๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ การศึกษาดาวหางอย่างเป็นระบบน่าจะเริ่มขึ้นในศตวรรษที่ 16 เมื่อ "ทีโค บราห์" ได้วัดระยะห่างของดาวหางด้วยวิธีแพรัลแลกซ์ จนได้ข้อสรุปที่ว่าดาวหางเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเหนือบรรยากาศโลก และโคจรรอบดวงอาทิตย์
"ดาวหาง" เป็นวัตถุชนิดหนึ่งในระบบสุริยะที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ มีส่วนที่ระเหิดเป็นแก๊สเมื่อโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดชั้นฝุ่น และแก๊สที่ฝ้ามัวอยู่ล้อมรอบ จึงเกิดเป็นส่วนที่ทอดเหยียดออกไปภายนอก จนมองดูด้วยตามีลักษณะคล้ายหาง ลักษณะเช่นนี้เกิดจากปรากฏการณ์การแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ไปบนนิวเคลียสของดาวหางนั่นเอง และส่วนของนิวเคลียส หรือที่เรียกว่าใจกลางดาวหางนั้นจะประกอบไปด้วย "ก้อนหิมะสกปรก" และเต็มไปด้วยน้ำแข็ง ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน แอมโมเนีย และมีฝุ่นกับหินแข็งปะปนรวมกันอยู่มากมาย ซึ่งทั้งหมดนี้เมื่อนำมาประกอบรวมกัน จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ไม่กี่กิโลเมตร ไปจนถึงหลายสิบกิโลเมตร และเมื่อมีแรงภายนอกมากระทำ เช่น ซูเปอร์โนวา (Supernova) หรือดาวฤกษ์ระเบิด ดาวหางก็จะหลุดออกจากถิ่นกำเนิด และถูกแรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์ดึงดูดมาเป็นบริวาร วงโคจรของดาวหางจึงยาวไกล และมีความรีมาก ไม่อยู่ในระนาบสุริยวิถี เนื่องจากเมฆออร์ทมีลักษณะเป็นทรงกลมที่ห่อหุ้มดวงอาทิตย์ ดาวหางจึงเคลื่อนที่เข้าดวงอาทิตย์ได้จากทุกทิศทาง
ส่วนประกอบหลักของดาวหาง แบ่งได้เป็น 3 ส่วน คือ
- ส่วนที่เป็นของน้ำแข็ง หรือที่เรียกว่า นิวเคลียส (Nucleus) จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อดาวหางเคลื่อนที่เข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น
- น้ำแข็งจากนิวเคลียสส่วนหนึ่งจะละลายกลายเป็นบรรยากาศที่ปกคลุมนิวเคลียส เรียกว่า โคมา (Coma)
- ส่วนหางของดาวหางที่แบ่งเป็น 2 ส่วนย่อยคือ หางไอออน (ion tail) ซึ่งเป็นอนุภาคมีประจุจากส่วนโคมาที่ถูกลมสุริยะพัดทำให้มีทิศชี้ออกจากดวงอาทิตย์ หางส่วนที่สองเรียกว่า หางฝุ่น (dust tail) เกิดจากอนุภาคที่ไม่มีประจุจากโคมา โดยส่วนของหางฝุ่นนี้จะโค้งตามการเคลื่อนที่ของดาวหางด้วย
การศึกษาดาวหาง อาจช่วยให้เราสามารถมองเห็นการกำเนิดระบบสุริยะได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และสามารถอธิบายแหล่งที่มาเกี่ยวกับน้ำบนโลกได้ รวมถึงอาจตอบคำถามได้ว่า สิ่งมีชีวิตบนโลกเกิดขึ้นได้อย่างไร ดาวหางอาจมีบทบาทเป็นผู้ให้ชีวิตบนดาวเคราะห์โลก ในทางกลับกัน วันหนึ่งข้างหน้าอาจจะมีดาวหางบางดวงพุ่งตรงมายังโลก ยุติชีวิตทั้งหมดบนดาวเคราะห์ดวงนี้ก็เป็นได้ จึงต้องมีการเฝ้าระวัง ติดตาม และเตรียมการหาวิธีหลีกเลี่ยงภัยที่อาจเกิดขึ้นจากดาวหาง ด้วยเหตุนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังคงต้องศึกษาดาวหางต่อไป












