การกระทำสัตย์ปฏิญาณสาบานตน ก่อนเข้ารับตำแหน่งที่สำคัญในการบริหารประเทศชาติ
ประเทศต่างๆ เกือบทั่วโลกถือว่า การกระทำสัตย์ปฏิญาณสาบานตน ก่อนเข้ารับตำแหน่งที่สำคัญในการบริหารประเทศชาติ เช่น ตำแหน่งประธานาธิบดี หรือตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นต้องทำ สำหรับประเทศไทยซึ่งมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข นายกรัฐมนตรีหรือบุคคลต่างๆ ที่มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินจะต้องกระทำสัตย์ปฏิญาณก่อนการเข้ารับหน้าที่เช่นกัน พิธีนี้เรียกว่า “การถวายสัตย์ปฏิญาณ” เช่น
ประธานาธิบดีทุกคนของสหรัฐอเมริกาได้กล่าวคำสาบานตนเข้ารับตำแหน่งเป็นการเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
คำสาบานมีอยู่ในมาตรา II ของรัฐธรรมนูญ มันมี 35 คำและไปดังต่อไปนี้:
"ข้าพเจ้าขอสาบาน (หรือยืนยัน) อย่างเคร่งขรึมว่าข้าพเจ้าจะดำเนินการตามตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาอย่างซื่อสัตย์ และจะรักษา คุ้มครอง และปกป้องรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกาอย่างสุดความสามารถ"
สำหรับประเทศไทย ประเพณีการกระทำสัตย์ปฏิญาณสาบานตนมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ประเพณีนี้เรียกว่า “พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา” ในหนังสือพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวชื่อ “พระราชพิธีสิบสองเดือน” เรียกว่า “พระราชพิธีศรีสัจจปานกาล” หรือบางทีเรียกว่า“ถือน้ำพิพัฒน์สัจจา” ภายหลังประเพณีนี้ถูกยกเลิกไปหลังจากที่ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อ พ.ศ. 2475 ต่อมาเมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2512 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ฟื้นฟูพระราชพิธีศรีสัจจปานกาล หรือพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยานี้ขึ้นใหม่ สำหรับผู้ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี ได้แก่ ทหารและตำรวจ ที่ได้ประกอบวีรกรรมด้วยความกล้าหาญ เสียสละ และมีความจงรักภักดีต่อประเทศชาติในการต่อสู้กับศัตรูของบ้านเมือง จนได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีชั้นอัศวิน ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ถึงแม้ว่าพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาครั้งนี้ จะมิได้กระทำกันในบรรดาข้าราชการทั้งหมดดังเช่นเมื่อสมัยก่อนก็ตาม แต่ก็น่าจะถือได้ว่าเป็นการฟื้นฟูพระราชพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
กล่าวกันว่า คำสัตย์ปฏิญาณ หรือคำสาบานของผู้ที่ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาเมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ.2512 ปรากฏเป็นถ้อยคำที่ได้ปรับแต่งขึ้นใหม่ ทั้งนี้เพื่อให้สมกับกาลสมัย เพราะเดิมนั้น ใช้ถ้อยคำที่เป็นภาษาไทยโบราณ สำหรับการอ่านโองการแช่งน้ำและการชุบพระแสงศาสตราวุธนั้น พระราชครูพราหมณ์เป็นผู้กระทำโดยขอให้น้ำพระพิพัฒน์สัตยา มีฤทธิ์มีอำนาจ อาจบันดาลให้ผู้ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาเป็นไปตามคำสาบานแล้ว ยังสาปแช่งผู้ที่คิดทรยศไม่ซื่อตรง แต่ได้ให้พรต่อผู้ที่ตั้งอยู่ในความซื่อสัตย์สุจริต และมีความกตัญญู ส่วนคำสัตย์ปฏิญาณนั้น มีผู้อ่านนำ โดยให้ผู้ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาเป็นผู้ว่าตาม เพื่อที่จะให้มีความซื่อตรงจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ต่อชาติบ้านเมือง และต่อหน้าที่การงาน เมื่อจบแล้วให้นำพระแสงศาสตราวุธต่างๆ ลงชุบในน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ครั้นแล้ว ให้นำน้ำซึ่งผ่านพิธีกรรมต่างๆ แล้วนั้น ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายให้เสวยด้วย ถ้วยสำหรับตักน้ำพระพิพัฒน์สัตยานั้นเคยปรากฏจารึกเป็นอักษรขอมว่า “สจฺจํ เว อมตา วาจา” ฉะนั้นผู้ที่ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาจึงต้องถือว่าตนเป็นผู้ที่ได้ดื่มน้ำสาบานร่วมกับพระมหากษัตริย์ผู้เป็นจอมทัพ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้กำหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับการถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนการเข้ารับตำแหน่งขององคมนตรี รัฐมนตรี ผู้พิพากษาและศาล ไว้ดังนี้
มาตรา 15 บัญญัติว่า
“ก่อนเข้ารับหน้าที่ องคมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำดังต่อไปนี้
“ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”
มาตรา 175 บัญญัติว่า
“ก่อนเข้ารับหน้าที่ รัฐมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำดังต่อไปนี้
“ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”








